บทนำ: ทำความเข้าใจ “หุ้น Value” คืออะไร?
ในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและโอกาสมากมาย หุ้นคุณค่าหรือหุ้น Value ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่เชื่อถือได้และพิสูจน์ตัวเองผ่านเวลาว่า สามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นแค่กระแสชั่วคราว แต่เป็นหลักการลงทุนที่ยึดโยงกับพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งสืบทอดมาจากยอดฝีมืออย่าง Benjamin Graham และ Warren Buffett ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก

บทความนี้จะพาคุณสำรวจเข้าไปสู่แก่นสารของหุ้น Value ตั้งแต่ความหมาย คุณลักษณะหลัก วิธีค้นหา การวิเคราะห์ และการนำไปประยุกต์ใช้จริงในตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว คุณจะได้เครื่องมือในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

หุ้น Value หมายถึงหุ้นของบริษัทที่ราคาในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการนั้นๆ หรือพูดง่ายๆ คือ ราคาที่ซื้อขายอยู่นั้นถูกกว่าศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรในอนาคตที่แท้จริงมาก นักลงทุนที่ชื่นชอบแนวทางนี้มักมองหาธุรกิจคุณภาพดีที่ตลาดอาจมองข้ามไปชั่วคราว เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่ไม่กระทบต่อรากฐานของบริษัท พวกเขาจะเข้าซื้อในราคาที่คุ้มค่า แล้วรอให้ตลาดตระหนักถึงคุณค่าจริงในที่สุด

แนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Benjamin Graham ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ผ่านหนังสือคลาสสิกอย่าง The Intelligent Investor และถูกพัฒนาต่อโดย Warren Buffett ลูกศิษย์ผู้กลายเป็นตำนานด้านการลงทุน สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย การเข้าใจหลักการเหล่านี้คือกุญแจสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน โดยต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่ละเอียดและความอดทนในการรอคอย
ลักษณะสำคัญของหุ้น Value: องค์ประกอบที่นักลงทุนควรรู้
การระบุหุ้นที่เป็นหุ้นคุณค่าไม่ได้มองแค่ราคาถูกอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาหลายมุมที่สะท้อนถึงพื้นฐานที่มั่นคงและศักยภาพในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น
อัตราส่วนทางการเงินที่น่าสนใจ
หุ้น Value โดยทั่วไปจะแสดงสัญญาณทางการเงินที่บ่งบอกว่าถูกประเมินค่าต่ำกว่าศักยภาพจริง เช่น
- อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ต่ำ: บอกว่านักลงทุนจ่ายเงินน้อยเพื่อแลกกับกำไรแต่ละบาทของบริษัท ซึ่งมักต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมหรือตลาดทั้งหมด
- อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV Ratio) ต่ำ: แสดงว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น หากต่ำกว่า 1 ครั้ง มักถือว่าราคาถูกเมื่อเทียบกับสินทรัพย์สุทธิ
งบการเงินที่แข็งแกร่ง
บริษัทเหล่านี้มักมีงบการเงินที่มั่นคงและผลงานที่สม่ำเสมอ โดยดูจาก
- กำไรที่มั่นคงและสม่ำเสมอ: สามารถสร้างกำไรต่อเนื่องโดยไม่ผันผวนมาก แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว
- งบดุล (Balance Sheet) ที่แข็งแกร่ง: หนี้สินน้อย เงินสดและสินทรัพย์สภาพคล่องสูง
- งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) ที่ดี: กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกและเพียงพอสำหรับการลงทุนหรือชำระหนี้
สิ่งเหล่านี้ช่วยยืนยันว่าบริษัทมีฐานะที่พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต
ผลตอบแทนเงินปันผลที่สม่ำเสมอ
ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หุ้น Value หลายตัวมีประวัติการจ่ายปันผลที่เชื่อถือได้ อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่สูงและคงที่ ดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดไม่ค่อยเป็นใจ
ธุรกิจที่มีความมั่นคงและมี Moat
หุ้นคุณค่ามักมาจากธุรกิจที่มั่นคงและเป็นที่ต้องการของตลาด มีคู่แข่งจำกัดหรือมีข้อได้เปรียบที่ยั่งยืน เช่น แบรนด์ที่แข็งแกร่ง สิทธิพิเศษจากรัฐ เทคโนโลยีเฉพาะทาง หรือเครือข่ายที่กว้างขวาง ซึ่งช่วยปกป้องกำไรในระยะยาวและทำให้บริษัทแตกต่างจากผู้อื่น
หุ้น Value vs หุ้น Growth: เลือกแบบไหนให้เหมาะสมกับสไตล์คุณ?
การลงทุนในหุ้นมีหลากหลายแนวทาง แต่สองแนวที่มักถูกนำมาเปรียบเทียบคือหุ้น Value กับหุ้น Growth หรือหุ้นเติบโต การรู้จักความต่างจะช่วยให้คุณเลือกแนวทางที่ตรงกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ความแตกต่างด้านนิยามและเป้าหมาย
- หุ้น Value: มุ่งซื้อธุรกิจดีๆ ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริง มักเป็นบริษัทใหญ่ที่เติบโตช้าแต่แน่นอน มีกระแสเงินสดแข็งแกร่งและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ หวังกำไรจากราคาที่ปรับขึ้นสู่มูลค่าที่สมควร
- หุ้น Growth: เน้นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูง กำไรคาดว่าจะพุ่งกระฉูดในอนาคต มักอยู่ในอุตสาหกรรมนวัตกรรมหรือขยายตัวเร็ว หวังกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นตามการเติบโตของกำไร
ทั้งสองแนวต่างกันตรงที่ Value ให้ความสำคัญกับความมั่นคง ในขณะที่ Growth เน้นศักยภาพระเบิด
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนแต่ละประเภท
ลักษณะ | หุ้น Value (หุ้นคุณค่า) | หุ้น Growth (หุ้นเติบโต) |
---|---|---|
ข้อดี | ความผันผวนน้อยกว่า, มี Safety Margin สูง, จ่ายปันผลสม่ำเสมอ, เหมาะสำหรับลงทุนระยะยาว | ศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูงมาก, มักเป็นบริษัทนวัตกรรม, ตลาดตอบรับดีในช่วงตลาดขาขึ้น |
ข้อเสีย | ผลตอบแทนอาจไม่หวือหวา, ราคาอาจถูกกดดันนาน, อาจพลาดโอกาสในหุ้นที่เติบโตเร็ว | ความผันผวนสูง, ความเสี่ยงสูงหากการเติบโตไม่เป็นไปตามคาด, อาจไม่มีเงินปันผล, ราคาแพง |
หุ้นปันผล (Dividend Stock) และ Defensive Stock คืออะไร?
นอกจาก Value และ Growth แล้ว ยังมีหุ้นอีกประเภทที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย
- หุ้นปันผล (Dividend Stock): หุ้นจากบริษัทที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอและให้ผลตอบแทนดี หุ้น Value หลายตัวก็เข้าข่ายนี้ เพราะมีกำไรแน่นอนและเงินสดเหลือเฟือ
- Defensive Stock: หุ้นจากบริษัทที่ทนทานต่อเศรษฐกิจถดถอย มักอยู่ในอุตสาหกรรมจำเป็น เช่น สาธารณูปโภค อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งผันผวนน้อยกว่าตลาด และบางตัวก็เป็นหุ้น Value ชั้นดี
การเลือกแนวทางขึ้นอยู่กับอายุ ความอดทนต่อความเสี่ยง และเป้าหมายทางการเงิน หากต้องการความมั่นคงและรายได้ประจำ หุ้น Value กับหุ้นปันผลน่าจะเหมาะ แต่ถ้าชอบความตื่นเต้นและผลตอบแทนสูง หุ้น Growth อาจตอบโจทย์กว่า
วิธีการค้นหาและวิเคราะห์หุ้น Value ในตลาดหุ้นไทยอย่างมืออาชีพ
การหาและประเมินหุ้น Value ในตลาดหุ้นไทยต้องใช้ทั้งเครื่องมือช่วยและการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อให้แน่ใจว่าคุณลงทุนในธุรกิจดีๆ ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล
เริ่มต้นด้วยการสแกนหุ้น (Stock Screener)
เครื่องมือสแกนหุ้นช่วยคัดกรองหุ้นนับพันใน SET ให้เหลือตัวที่น่าสนใจตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้
- แพลตฟอร์มที่แนะนำ: นักลงทุนไทยมักใช้ SETTRADE ซึ่งเป็นเครื่องมืออย่างเป็นทางการจากตลาดหลักทรัพย์ หรือแอปจากโบรกเกอร์ เช่น Streaming
- เงื่อนไขการตั้งค่า:
- P/E Ratio ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม หรือต่ำกว่า 10-15 เท่า
- P/BV Ratio ต่ำกว่า 1-2 เท่า
- อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงกว่า 3-5%
- อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูงกว่า 10-15% อย่างสม่ำเสมอ
- หนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio) ไม่สูงเกินไป
การตั้งค่าเหล่านี้ช่วยกรองหุ้นที่ดูมีศักยภาพเบื้องต้น ก่อนเจาะลึกต่อไป
เจาะลึกงบการเงินและอัตราส่วนทางการเงิน
เมื่อได้รายชื่อหุ้นแล้ว ให้ตรวจสอบงบการเงินอย่างละเอียด ซึ่งประกอบด้วย
- งบดุล (Balance Sheet): ดูสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อประเมินความแข็งแกร่งทางการเงิน
- งบกำไรขาดทุน (Income Statement): วิเคราะห์รายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรสุทธิ เพื่อเห็นความสามารถในการทำกำไร
- งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement): ตรวจกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การลงทุน และการหาเงิน เพื่อเข้าใจสภาพคล่องจริง
นอกจากนี้ ยังควรดูอัตราส่วนอื่นๆ เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพื่อวัดความเสี่ยง และอัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) เพื่อดูการชำระหนี้ระยะสั้น โดยรวมแล้วจะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ: ประเมินธุรกิจและผู้บริหาร
ตัวเลขอย่างเดียวไม่พอ การวิเคราะห์เชิงคุณภาพสำคัญไม่แพ้กัน
- คุณภาพของธุรกิจ: บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีอนาคตไหม? คู่แข่งเยอะแค่ไหน? มีข้อได้เปรียบที่ยั่งยืน (Moat) อะไรบ้าง?
- คุณภาพของผู้บริหาร: ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญ ซื่อสัตย์ และมีวิสัยทัศน์ชัดเจนไหม? มีการกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) ที่โปร่งใสหรือไม่?
- ปัจจัยภายนอก: นโยบายรัฐบาล เศรษฐกิจใหญ่ และการเปลี่ยนแปลงสังคม อาจกระทบธุรกิจในระยะยาว
การผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ จะทำให้การตัดสินใจลงทุนแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของตลาดไทยที่อาจมีปัจจัยเฉพาะเจาะจง
กรณีศึกษา: หุ้น Value ที่น่าสนใจในตลาดหุ้นไทย
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูตัวอย่างหุ้นใน SET ที่มักถูกมองว่าเป็นหุ้นคุณค่า
ตัวอย่างที่ 1: หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (เช่น BBL – ธนาคารกรุงเทพ)
ธนาคารใหญ่ในไทยเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ มีความมั่นคงสูง หุ้นเหล่านี้มักมี P/E และ P/BV ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับศักยภาพกำไรและสินทรัพย์ พร้อมจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้
- ลักษณะ Value: ขนาดใหญ่ เครือข่ายกว้าง ฐานลูกค้าแข็งแกร่ง และเป็นผู้นำตลาด
- การประเมิน: แม้แข่งขันดุเดือด แต่ข้อได้เปรียบด้านขนาดและทุนทำให้ทนทานต่อวิกฤต โดยเฉพาะในระบบเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาธนาคารเหล่านี้
ตัวอย่างที่ 2: หุ้นกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (เช่น PTT – บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน))
บริษัทในกลุ่มนี้มีรายได้ค่อนข้างแน่นอน เพราะเกี่ยวข้องกับความจำเป็นพื้นฐานของชีวิตและเศรษฐกิจ
- ลักษณะ Value: มีสิทธิพิเศษหรือผูกขาดบางส่วน ทำให้กำหนดราคาได้และมีกำไรสม่ำเสมอ พร้อมปันผลดี
- การประเมิน: ราคาอาจแกว่งตามน้ำมันโลก แต่พื้นฐานแข็งแกร่งจากธุรกิจหลากหลาย และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอะไรทำให้หุ้นเหล่านี้เป็น Value และคุณสามารถนำไปวิเคราะห์หุ้นอื่นในตลาดไทยได้ โดยพิจารณาจากบริบทปัจจุบัน เช่น การฟื้นตัวหลังโควิดที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ภาคธนาคารและพลังงาน
ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยง “Value Trap” และความเสี่ยงอื่นๆ
แม้หุ้น Value จะมั่นคง แต่ก็มีอุปสรรคที่ต้องระวัง โดยเฉพาะ Value Trap ที่อาจทำให้เสียหาย
ทำความเข้าใจ “Value Trap”
Value Trap คือหุ้นที่ดูราคาถูกจาก P/E หรือ P/BV ต่ำ แต่จริงๆ แล้วพื้นฐานกำลังย่ำแย่หรืออุตสาหกรรมกำลังถดถอย ทำให้ราคายังตกต่อไป
สาเหตุหลัก ได้แก่
- ธุรกิจที่กำลังถดถอย: จากเทคโนโลยีใหม่ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน หรือแข่งขันรุนแรง จนกำไรหดหาย
- ปัญหาภายในองค์กร: การบริหารล้มเหลว คอร์รัปชัน หรือหนี้ล้น
- การประเมินมูลค่าที่ผิดพลาด: มองข้ามความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่หรือประเมินมูลค่าผิด
ในตลาดไทย Value Trap มักเกิดในอุตสาหกรรมเก่าที่ไม่ปรับตัว เช่น บางธุรกิจค้าปลีกที่ถูก e-commerce กัดกิน
ความเสี่ยงอื่นๆ ในการลงทุนหุ้น Value
- ตลาดซบเซา: หุ้น Value อาจถูกกดราคานาน หากตลาดโดยรวมตกต่ำหรือนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
- ความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค: ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ หรือนโยบายรัฐ อาจกระทบผลประกอบการ
- ปัจจัยเฉพาะของตลาดไทย: ความไม่แน่นอนทางการเมืองหรือนโยบายเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงบ่อย อาจส่งผลต่อบางภาคส่วน
เพื่อลดความเสี่ยง ควรศึกษาละเอียด วิเคราะห์รากฐานธุรกิจให้ถี่ถ้วน และกระจายการลงทุนไปหลายอุตสาหกรรมเพื่อความสมดุล
สรุป: สร้างพอร์ตโฟลิโอหุ้นคุณค่าเพื่อความมั่งคั่งระยะยาว
การลงทุนหุ้น Value ไม่ใช่แค่ไล่ซื้อของถูก แต่คือการเลือกธุรกิจคุณภาพในราคาที่สมควร โดยยึดหลักจาก Benjamin Graham และ Warren Buffett ที่เน้นความอดทน การวิเคราะห์รอบคอบ และวินัย
จุดสำคัญคือการหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ผ่านการประเมินทั้งตัวเลขจากงบการเงิน อัตราส่วนต่างๆ และมุมคุณภาพจากธุรกิจกับผู้บริหาร ซึ่งจะช่วยให้คุณค้นพบหุ้น Value จริงๆ ในตลาดหุ้นไทย
การสร้างพอร์ตหุ้นคุณค่าต้องเข้าใจความต่างจากหุ้น Growth รู้จัก Value Trap และเสี่ยงอื่นๆ เพื่อจัดการพอร์ตได้ดีและสร้างผลตอบแทนทบต้นในระยะยาว โดยเฉพาะในตลาดไทยที่การเติบโตทางเศรษฐกิจยังมีโอกาสมาก หากเลือกถูก
ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการเป็นนักลงทุนแนวคุณค่า!
1. หุ้น Value คืออะไร และต่างจากหุ้น Growth Stock อย่างไรในตลาดหุ้นไทย?
หุ้น Value คือหุ้นของบริษัทที่ตลาดประเมินราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง มักมี P/E และ P/BV ต่ำ มีผลการดำเนินงานมั่นคง และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ส่วนหุ้น Growth Stock คือหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตของกำไรสูงมากในอนาคต มักมี P/E สูง และอาจไม่จ่ายปันผล ความแตกต่างหลักคือ หุ้น Value เน้นความมั่นคงและราคาถูก ส่วนหุ้น Growth เน้นการเติบโตและศักยภาพในอนาคต
2. นักลงทุนไทยจะสามารถค้นหาหุ้น Value ที่น่าสนใจได้จากแหล่งข้อมูลใดบ้าง?
3. มีตัวอย่างหุ้น Value ที่ประสบความสำเร็จในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ไหม?
มีหลายบริษัทใน SET ที่ถูกจัดเป็นหุ้น Value และสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (เช่น BBL, SCB), หุ้นกลุ่มพลังงาน (เช่น PTT) หรือหุ้นกลุ่มค้าปลีกบางรายที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ การเลือกหุ้นเหล่านี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์รายบริษัทอย่างละเอียด
4. การลงทุนในหุ้น Value มีความเสี่ยงอะไรบ้างที่นักลงทุนไทยควรรู้และจัดการอย่างไร?
ความเสี่ยงหลักคือ “Value Trap” (กับดักหุ้นคุณค่า) ซึ่งคือหุ้นที่ดูเหมือนถูกแต่พื้นฐานกำลังแย่ลง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะตลาดซบเซา ความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ การจัดการความเสี่ยงทำได้โดยการวิเคราะห์พื้นฐานอย่างรอบคอบ ไม่รีบร้อนลงทุน และกระจายความเสี่ยงในหลายอุตสาหกรรม
5. “Value Trap” คืออะไร และนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงกับดักนี้ในตลาดหุ้นไทยอย่างไร?
Value Trap คือหุ้นที่มี P/E หรือ P/BV ต่ำ แต่เป็นเพราะธุรกิจมีปัญหาพื้นฐาน กำลังถดถอย หรืออุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดว่าเป็นหุ้นถูกและเข้าไปซื้อ นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงด้วยการวิเคราะห์เชิงคุณภาพของธุรกิจอย่างละเอียด พิจารณาแนวโน้มอุตสาหกรรม และดูประวัติผลการดำเนินงานย้อนหลัง รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัท
6. หุ้นคุณค่าเหมาะกับนักลงทุนประเภทไหนในประเทศไทย และต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการเห็นผล?
หุ้นคุณค่าเหมาะกับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาว มีความอดทน ไม่ต้องการผลตอบแทนที่หวือหวาในระยะสั้น และต้องการความมั่นคงของพอร์ตโฟลิโอ การลงทุนในหุ้น Value มักต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปี หรือนานกว่านั้น เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและตลาดปรับตัวรับรู้มูลค่าที่แท้จริง
7. นอกจาก P/E และ P/BV แล้ว มีอัตราส่วนทางการเงินใดอีกบ้างที่สำคัญต่อการวิเคราะห์หุ้น Value ในบริบทของไทย?
นอกจาก P/E และ P/BV แล้ว อัตราส่วนอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่
- ROE (Return on Equity): วัดความสามารถในการทำกำไรจากส่วนของผู้ถือหุ้น
- D/E Ratio (Debt-to-Equity Ratio): วัดความเสี่ยงด้านหนี้สิน
- Current Ratio: วัดสภาพคล่องระยะสั้น
- Dividend Yield: วัดผลตอบแทนจากเงินปันผล
การวิเคราะห์อัตราส่วนเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้เห็นภาพรวมของสุขภาพทางการเงินของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น
8. หุ้น Value กับหุ้นปันผล (Dividend Stock) เหมือนหรือต่างกันอย่างไร และควรเลือกแบบไหนดี?
หุ้น Value คือหุ้นที่ราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง ขณะที่หุ้นปันผลคือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ หุ้น Value หลายตัวมักเป็นหุ้นปันผลด้วย เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีกำไรมั่นคงและมีกระแสเงินสดดี อย่างไรก็ตาม หุ้นปันผลบางตัวอาจไม่ใช่หุ้น Value (ราคาแพงเกินไป) และหุ้น Value บางตัวอาจไม่จ่ายปันผล นักลงทุนควรเลือกตามเป้าหมาย หากต้องการกระแสรายได้เลือกหุ้นปันผล หากต้องการการเติบโตของมูลค่าในระยะยาวและซื้อในราคาถูก เลือกหุ้น Value
9. มีเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มใดบ้างที่ช่วยนักลงทุนไทยในการคัดกรองและวิเคราะห์หุ้นคุณค่า?
เครื่องมือหลักคือ SETTRADE Stock Screener ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีข้อมูลและตัวกรองที่ครบครัน นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชัน Streaming by SET ที่สามารถดูข้อมูลพื้นฐานได้ และแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้นของโบรกเกอร์แต่ละแห่ง รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสารการเงินและบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ
10. การลงทุนหุ้น Value ในระยะยาวมีข้อดีอย่างไร และควรเตรียมตัวอย่างไรสำหรับการถือครองระยะยาว?
ข้อดีคือลดความผันผวน สร้างผลตอบแทนทบต้น ลดความเสี่ยงจากการเก็งกำไร และส่งเสริมวินัยการลงทุน การเตรียมตัวสำหรับการถือครองระยะยาวคือ
- ศึกษาธุรกิจอย่างลึกซึ้ง
- ติดตามข่าวสารบริษัทและอุตสาหกรรมอย่างสม่ำเสมอ
- มีเงินเย็นที่สามารถลงทุนได้โดยไม่กระทบสภาพคล่อง
- และที่สำคัญคือมีความอดทน ไม่ตื่นตระหนกไปกับความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น