บทนำ: ทำความเข้าใจ ‘Pending Order’ ในบริบทต่างๆ
คำว่า ‘Pending Order’ หรือที่แปลว่าคำสั่งที่กำลังรอการดำเนินการ ถือเป็นศัพท์สำคัญในสองด้านหลักๆ นั่นคือ การซื้อขายในตลาดการเงินอย่าง Forex และ CFD รวมถึงระบบการชำระเงินออนไลน์หรือการค้าขายผ่านอีคอมเมิร์ซ แม้ทั้งสองจะใช้คำว่า ‘Pending’ ในความหมายที่คล้ายกันคือรอการประมวลผล แต่รายละเอียดและวิธีการทำงานนั้นต่างกันอย่างชัดเจน ถ้าคุณเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ จะช่วยให้จัดการทั้งการลงทุนและธุรกรรมออนไลน์ได้ดีขึ้น บทความนี้จะอธิบายลึกซึ้งเกี่ยวกับความหมาย ประเภท การนำไปใช้ และเคล็ดลับในการจัดการ Pending Order ในทั้งสองบริบท เพื่อให้คุณมีข้อมูลครบถ้วนและพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
Pending Order ในตลาด Forex และ CFD: คำสั่งซื้อขายล่วงหน้าคืออะไร?
ในวงการการเงินอย่างตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือ Forex และสัญญาซื้อขายส่วนต่างหรือ CFD Pending Order หมายถึงคำสั่งที่นักลงทุนตั้งไว้ล่วงหน้า รอให้ราคาในตลาดเคลื่อนไปถึงจุดที่กำหนด ก่อนจะเปิดตำแหน่งซื้อขายจริง แทนที่จะทำทันทีตามราคาปัจจุบัน เครื่องมือนี้ช่วยให้นักลงทุนวางแผนการเข้า-ออกจากตลาดได้อย่างละเอียด โดยไม่จำเป็นต้องจับตาหน้าจอตลอดเวลา ส่งผลให้การเทรดมีวินัยมากขึ้นและลดผลกระทบจากอารมณ์ที่อาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
เหตุผลที่ต้องใช้ Pending Order ในการเทรด
นักลงทุนหลายคนเลือกใช้ Pending Order เพราะมันนำมาซึ่งข้อดีหลายประการ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยากมีอิสระและควบคุมการเทรดให้ดีกว่าเดิม
- ประหยัดเวลา: ไม่ต้องนั่งเฝ้าตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง แค่ตั้งคำสั่งไว้ล่วงหน้า ระบบจะจัดการให้เมื่อราคาถึงเงื่อนไขที่ต้องการ
- เสริมวินัย: ช่วยให้ยึดติดกับแผนที่วางไว้ ไม่ปล่อยให้อารมณ์หรือการตัดสินใจ impulsively มาทำลายกลยุทธ์
- จุดเข้าแม่นยำ: สามารถกำหนดจุดซื้อหรือขายที่ชัดเจน เช่น ที่แนวรับ แนวต้าน หรือจุดพลิกกลับของแนวโน้ม
- จัดการความเสี่ยง: เมื่อจับคู่กับ Stop Loss เพื่อตัดขาดทุนและ Take Profit เพื่อล็อกกำไร Pending Order จะช่วยให้ควบคุมความเสี่ยงและผลตอบแทนได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ Pending Order จึงกลายเป็นส่วนสำคัญในเครื่องมือของนักลงทุนมืออาชีพที่ต้องการความยืดหยุ่นในการวางแผน
ประเภทของ Pending Order ที่คุณต้องรู้
ในตลาด Forex และ CFD Pending Order แบ่งออกเป็นสี่ประเภทหลัก แต่ละประเภทออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน การรู้จักและเข้าใจแต่ละแบบจะช่วยให้คุณนำไปปรับใช้ในกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Buy Limit: ซื้อเมื่อราคาลดลง
Buy Limit คือคำสั่งซื้อที่ตั้งราคาไว้ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน เหมาะสำหรับกรณีที่คุณเชื่อว่าราคาจะย่อตัวลงก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาใหม่ เป้าหมายคือซื้อในราคาที่ถูกลง เพื่อรอขายทำกำไรเมื่อราคาฟื้นตัว
- วิธีทำงาน: สมมติว่าราคาตลาดอยู่ที่ 1.0500 ถ้าคุณอยากซื้อตอนราคาลงมาที่ 1.0450 ก็ตั้ง Buy Limit ที่ระดับนั้น
- เหมาะกับสถานการณ์ไหน: ในแนวโน้มขาขึ้นที่คาดว่าจะมีการปรับฐานลงมาสัมผัสแนวรับ ก่อนที่จะขึ้นต่อ โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแกว่งตัว
ประเภทนี้ช่วยให้นักลงทุนจับโอกาสในช่วงที่ราคาย่อตัว โดยไม่ต้องรีบร้อนเข้าไปก่อนเวลา
Sell Limit: ขายเมื่อราคาสูงขึ้น
Sell Limit คือคำสั่งขายที่ตั้งราคาสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ใช้เมื่อคาดว่าราคาจะขึ้นไปแตะจุดสูงสุดก่อนจะหันหัวลงมา หวังขายในราคาที่แพงขึ้น แล้วรอราคาลงเพื่อทำกำไร
- วิธีทำงาน: ถ้าราคาตลาดอยู่ที่ 1.0500 และคุณอยากขายตอนขึ้นไป 1.0550 ก็ตั้ง Sell Limit ที่ 1.0550
- เหมาะกับสถานการณ์ไหน: ในแนวโน้มขาลงที่อาจมี反弹 ขึ้นไปชนแนวต้านชั่วคราว ก่อนจะลงต่อ โดยช่วยจับจุดสูงสุดได้แม่นยำ
นอกจากนี้ Sell Limit ยังเหมาะสำหรับนักลงทุนที่อยากล็อกกำไรในจุดที่ราคาใกล้จะพลิกผัน
Buy Stop: ซื้อเมื่อราคาทะลุขึ้น
Buy Stop คือคำสั่งซื้อที่ตั้งราคาสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ใช้เมื่อเชื่อว่าราคาจะทะลุแนวต้านขึ้นไปและจะไปต่อในทิศทางขาขึ้น เป็นการตามโมเมนตัมของตลาดหลัง breakout
- วิธีทำงาน: ถ้าราคาตลาด 1.0500 และแนวต้านอยู่ที่ 1.0520 คุณตั้ง Buy Stop ที่ 1.0520 เพื่อเข้าเมื่อทะลุ
- เหมาะกับสถานการณ์ไหน: เมื่อราคาใกล้ทะลุแนวต้านสำคัญ สัญญาณบ่งบอกถึงการเริ่มแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
กลยุทธ์นี้ช่วยให้คุณไม่พลาดการเคลื่อนไหวใหญ่ โดยรอการยืนยันก่อนเข้า
Sell Stop: ขายเมื่อราคาทะลุลง
Sell Stop คือคำสั่งขายที่ตั้งราคาต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ใช้เมื่อคาดว่าราคาจะทะลุแนวรับลงไปและจะลงต่อในแนวโน้มขาลง ตามโมเมนตัมหลังจาก breakout ลง
- วิธีทำงาน: ถ้าราคาตลาด 1.0500 และแนวรับ 1.0480 ตั้ง Sell Stop ที่ 1.0480 เพื่อขายเมื่อทะลุ
- เหมาะกับสถานการณ์ไหน: เมื่อราคาใกล้ทะลุแนวรับสำคัญ แสดงถึงการเริ่มแนวโน้มขาลงที่รุนแรง
ประเภทนี้ช่วยปกป้องพอร์ตโดยการออกจากตำแหน่งทันทีที่แนวโน้มเปลี่ยน
ตารางสรุปประเภทของ Pending Order
| ประเภทคำสั่ง | ทิศทาง | ตำแหน่งราคาเทียบกับราคาตลาดปัจจุบัน | วัตถุประสงค์ |
|---|---|---|---|
| Buy Limit | ซื้อ | ต่ำกว่า | ซื้อเมื่อราคาลดลงสู่จุดที่กำหนด (หวังกลับตัวขึ้น) |
| Sell Limit | ขาย | สูงกว่า | ขายเมื่อราคาสูงขึ้นสู่จุดที่กำหนด (หวังกลับตัวลง) |
| Buy Stop | ซื้อ | สูงกว่า | ซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป (หวังไปต่อ) |
| Sell Stop | ขาย | ต่ำกว่า | ขายเมื่อราคาทะลุแนวรับลงไป (หวังไปต่อ) |
ตารางนี้ช่วยให้เห็นภาพรวมชัดเจน หากนำไปใช้ควบคู่กับการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะยิ่งเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ
วิธีตั้งค่า Pending Order บนแพลตฟอร์ม MT4 และ MT5 (พร้อมภาพประกอบ)
การตั้ง Pending Order บน MetaTrader 4 หรือ MT4 และ MetaTrader 5 หรือ MT5 นั้นไม่ยุ่งยาก แต่ต้องทำอย่างละเอียดเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
- เปิดหน้าต่างสั่งซื้อใหม่:
- คลิกขวาที่คู่เงินในหน้าต่าง Market Watch แล้วเลือก New Order
- หรือใช้ปุ่ม New Order บนแถบเครื่องมือ
- กดคีย์ลัด F9 ก็ได้
- เลือกประเภทคำสั่ง:
- เปลี่ยนจาก Instant Execution หรือ Market Execution เป็น Pending Order ในช่อง Type
- เลือกประเภท Pending Order:
- เลือก Buy Limit, Sell Limit, Buy Stop หรือ Sell Stop ในส่วน Type ด้านล่าง
- กำหนดราคาเข้า:
- ใส่ราคาที่ต้องการให้คำสั่งทำงาน
- ตั้ง Stop Loss และ Take Profit:
- ใส่ราคา Stop Loss เพื่อจำกัดขาดทุน
- ใส่ราคา Take Profit เพื่อล็อกกำไร
แม้ไม่บังคับ แต่แนะนำให้ตั้งเสมอเพื่อความปลอดภัย
- กำหนดวันหมดอายุ:
- เลือก GTC เพื่อให้คำสั่งอยู่จนกว่าจะยกเลิกเอง
- หรือ Specify เพื่อตั้งวันที่และเวลาหมดอายุ
- ยืนยันและส่ง:
- ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด แล้วคลิก Place เพื่อส่งคำสั่ง
(ควรแทรกภาพหน้าจอแต่ละขั้นตอนบน MT4/MT5 เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่)
หลังตั้งเสร็จ คุณสามารถตรวจสอบสถานะในแท็บ Trade ได้ตลอดเวลา
กลยุทธ์การเทรดด้วย Pending Order: เพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยง
Pending Order จะยิ่งทรงพลังเมื่อนำมารวมกับกลยุทธ์การเทรดและการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- ตามแนวโน้ม: ใช้ Buy Stop ในขาขึ้นและ Sell Stop ในขาลง เพื่อยืนยัน breakout ที่แนวรับหรือแนวต้านสำคัญ
- สวนแนวโน้มหรือรอการกลับตัว: Buy Limit ที่แนวรับเพื่อรอเด้งขึ้น และ Sell Limit ที่แนวต้านเพื่อรอร่วงลง
- เทรด breakout: ตั้ง Buy Stop หรือ Sell Stop ใกล้ระดับราคาสำคัญ เพื่อจับการเคลื่อนไหวแรงๆ หลังทะลุ
- บริหารความเสี่ยง: อย่าลืมตั้ง Stop Loss และ Take Profit ควบคู่กัน พร้อมคำนวณขนาด position ให้เหมาะกับระดับขาดทุนที่ยอมรับได้ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงในการเทรด
ตัวอย่างเช่น ในตลาด Forex ที่ผันผวนสูง การใช้ Pending Order ร่วมกับอินดิเคเตอร์อย่าง Moving Average จะช่วยกรองสัญญาณได้ดี
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Pending Order (สำหรับเทรดเดอร์ไทย)
ถึงแม้ Pending Order จะมีประโยชน์ แต่เทรดเดอร์ในไทยมักเจอปัญหาเหล่านี้ที่ควรหลีกเลี่ยง
- ลืมตั้ง Stop Loss: ข้อผิดพลาดหลักที่ทำให้ขาดทุนหนัก ถ้าราคาไปผิดทางโดยไม่ตัดขาดทุน
- ปรับคำสั่งบ่อย: เปลี่ยนราคาตามอารมณ์หรือข่าวระยะสั้น ทำลายวินัยและเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
- สับสนประเภท: อย่าง Buy Limit กับ Buy Stop อาจทำให้เปิดตำแหน่งผิดทิศทาง
- ปัญหา spread: Buy Limit หรือ Sell Stop อาจ trigger จากราคา Bid/Ask ที่รวม spread ไม่ตรงกับกราฟ
- มองข้ามข่าว: ข่าวใหญ่ทำให้ราคาแกว่งแรง คำสั่งอาจเปิดในราคาที่ไม่คาดคิด
เพื่อป้องกัน แนะนำให้ทดลองในบัญชี demo ก่อนนำไปใช้จริง โดยเฉพาะในช่วงข่าวเศรษฐกิจสำคัญของไทย
‘Pending’ ในบริบทการชำระเงินออนไลน์และ E-commerce: สถานะนี้หมายถึงอะไร?
เวลาซื้อของออนไลน์บน Lazada หรือ Shopee หรือโอนเงินผ่าน PayPal คุณอาจเห็นสถานะ ‘Pending’ สำหรับคำสั่งซื้อหรือการชำระเงิน ในที่นี้ ‘Pending’ หมายถึงกระบวนการที่กำลังรอการยืนยัน อนุมัติ หรือประมวลผลให้เสร็จสิ้น ยังไม่สมบูรณ์
สาเหตุหลักที่ทำให้ติดสถานะนี้ ได้แก่
- ตรวจสอบจากธนาคารหรือเกตเวย์: อาจใช้เวลา verify ธุรกรรม โดยเฉพาะยอดสูงหรือข้ามประเทศ ดูรายละเอียดธุรกรรมรอดำเนินจากกสิกรไทย
- เช็คสต็อก: ผู้ขายต้องยืนยันสินค้ามีของจริงก่อน
- ตรวจสอบจากผู้ขาย: เพื่อป้องกันการโกง โดยบางรายเช็คด้วยตัวเอง
- ปัญหาเทคนิค: เช่น การเชื่อมต่อระบบชำระเงินกับธนาคารล้มเหลว
- รอชำระส่วนที่เหลือ: ถ้าต้องจ่ายเงินเพิ่ม คำสั่งจะค้างรอ
สถานะนี้ปกติเกิดขึ้นชั่วคราว แต่ถ้านานเกินไป ควรตรวจสอบเพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้า
จะทำอย่างไรเมื่อคำสั่งซื้อหรือการชำระเงินของคุณอยู่ในสถานะ ‘Pending’? (สำหรับผู้ใช้งานในไทย)
ถ้าเจอ Pending อย่าตกใจ ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อแก้ไข
- เช็คอีเมล: มักมีแจ้งเตือนหรือขอข้อมูลเพิ่มจากผู้ขายหรือระบบ
- รอสักพัก: บางทีแค่ 15-30 นาที หรือนานถึง 24-48 ชั่วโมง โดยเฉพาะวันหยุดธนาคารหรือโอนข้ามธนาคารในไทย
- ดูยอดบัญชี: เช็คว่าเงินหักหรือยัง ถ้าหักแต่ยังค้าง ติดต่อทันที
- โทรหาฝ่ายบริการ:
- E-commerce: ติดต่อ Lazada, Shopee หรือผู้ขาย
- ชำระเงิน: โทร PayPal หรือธนาคารอย่างไทยพาณิชย์ กรุงเทพ เพื่อถามสถานะ
- ยืนยันข้อมูล: ตรวจว่าข้อมูลชำระเงินถูกต้องครบ
เคล็ดลับสำหรับคนไทยคือ ใช้แอปธนาคารเพื่อ track ธุรกรรมแบบเรียลไทม์ จะช่วยลดความสับสนได้มาก
สรุป: ควบคุมการเทรดและการชำระเงินของคุณด้วยความเข้าใจ Pending Order
ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์ Forex ที่หาวิธีเข้า市场อย่างมีระบบ หรือผู้ซื้อของออนไลน์ที่เจอปัญหาชำระเงินค้าง การรู้จัก Pending Order จะช่วยได้มาก ในด้านการเทรด มันทำให้ควบคุมจุดเข้า-ออกได้แม่นยำ ลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทน ส่วนใน E-commerce Pending ช่วยให้เข้าใจสถานะและแก้ปัญหาได้เร็ว ไม่ต้องเครียด การนำความรู้นี้ไปใช้ จะทำให้จัดการการเงินและการลงทุนได้อย่างมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Pending Order (FAQ)
Pending Order คืออะไร และแตกต่างจาก Instant Execution อย่างไร?
Pending Order คือคำสั่งซื้อขายที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อรอให้ราคาถึงระดับที่กำหนดในอนาคต โดยที่คำสั่งจะถูกดำเนินการก็ต่อเมื่อราคาตลาดไปถึงจุดนั้น ในทางกลับกัน Instant Execution (หรือ Market Execution) คือคำสั่งซื้อขายที่ดำเนินการทันที ณ ราคาตลาดปัจจุบันที่คุณเห็นบนหน้าจอ ดังนั้น ความแตกต่างหลักอยู่ที่จังหวะการเข้าสู่ตลาด: ทันที (Instant) หรือ รอเงื่อนไข (Pending) นั่นเอง
ฉันสามารถยกเลิก Pending Order ที่ตั้งไว้บน MT4/MT5 ได้หรือไม่? และมีขั้นตอนอย่างไร?
ได้ คุณสามารถยกเลิก Pending Order ที่ตั้งไว้ได้ตลอดเวลา ตราบใดที่คำสั่งนั้นยังไม่ถูกดำเนินการบน MT4/MT5:
- ไปที่แท็บ “Trade” ในหน้าต่าง “Terminal” (หรือ “Toolbox” ใน MT5)
- คุณจะเห็นรายการคำสั่งที่รอดำเนินการของคุณ
- คลิกขวาที่คำสั่งที่คุณต้องการยกเลิก แล้วเลือก “Delete Order”
- ยืนยันการยกเลิก
คำสั่งจะถูกลบออกจากระบบทันที
Pending Order มีวันหมดอายุไหม? หรือจะคงอยู่ตลอดไปจนกว่าจะถูกดำเนินการ?
Pending Order สามารถตั้งค่าให้มีวันหมดอายุได้หรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของคุณ:
- GTC (Good Till Canceled): คำสั่งจะคงอยู่ตลอดไปจนกว่าจะถูกดำเนินการหรือคุณยกเลิกด้วยตนเอง
- Specify: คุณสามารถกำหนดวันที่และเวลาที่แน่นอนที่คำสั่งจะหมดอายุ หากราคายังไม่ถึงจุดที่กำหนดภายในเวลาดังกล่าว คำสั่งจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ
แนะนำให้ตรวจสอบการตั้งค่า “Expiration” เมื่อคุณวาง Pending Order เสมอ
ถ้าตั้ง Pending Order แล้วราคาไม่เคยถึงจุดที่กำหนด คำสั่งซื้อขายนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?
หากคุณตั้ง Pending Order และราคาตลาดไม่เคยถึงจุดที่กำหนด คำสั่งซื้อขายนั้นจะยังคงอยู่ในสถานะ “Pending” ไปเรื่อยๆ จนกว่า:
- คุณจะยกเลิกคำสั่งด้วยตนเอง
- คำสั่งนั้นจะหมดอายุตามวันที่คุณได้ตั้งค่าไว้ (หากไม่ใช่ GTC)
หากเงื่อนไขเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น คำสั่งก็จะยังคงรอการดำเนินการอยู่เสมอ
สถานะ ‘Pending’ ในการชำระเงินออนไลน์หรือแพลตฟอร์ม E-commerce อย่าง Lazada/Shopee หมายถึงอะไร และฉันต้องทำอย่างไร?
สถานะ ‘Pending’ ใน Lazada หรือ Shopee หมายถึงคำสั่งซื้อหรือการชำระเงินของคุณกำลังรอการตรวจสอบหรือดำเนินการให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ระบบกำลังตรวจสอบการชำระเงิน, ผู้ขายกำลังเตรียมพัสดุ หรือมีปัญหาทางเทคนิคชั่วคราว
สิ่งที่คุณควรทำ:
- ตรวจสอบการแจ้งเตือน: ดูในอีเมลหรือแอปพลิเคชันว่ามีการแจ้งเตือนหรือขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่
- รอ: บางครั้งอาจใช้เวลาสักครู่ (2-24 ชั่วโมง) ในการประมวลผล
- ติดต่อฝ่ายสนับสนุน: หากสถานะยังคง Pending นานผิดปกติ ให้ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของ Lazada, Shopee หรือผู้ขายโดยตรง
Bracket Order คืออะไร และมีความเกี่ยวข้องกับการใช้ Pending Order ในการบริหารความเสี่ยงอย่างไร?
Bracket Order คือชุดคำสั่งซื้อขายที่ออกแบบมาเพื่อจัดการความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ โดยมักจะประกอบด้วยคำสั่งหลัก (Market หรือ Pending Order) หนึ่งคำสั่ง และคำสั่งรองอีกสองคำสั่งคือ Stop Loss และ Take Profit ที่จะถูกตั้งค่าโดยอัตโนมัติทันทีที่คำสั่งหลักถูกดำเนินการ
ความเกี่ยวข้องกับ Pending Order คือ: คุณสามารถใช้ Pending Order เป็นคำสั่งหลักใน Bracket Order ได้ เมื่อ Pending Order ของคุณถูกทริกเกอร์และเปิดสถานะ ระบบจะตั้ง Stop Loss และ Take Profit ให้ทันที ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกการเทรดจะมีแผนการบริหารความเสี่ยงกำกับอยู่เสมอโดยอัตโนมัติ
Stop Limit Order คืออะไร และแตกต่างจาก Stop Order หรือ Limit Order ทั่วไปอย่างไร?
Stop Limit Order เป็นคำสั่งที่รวมคุณสมบัติของ Stop Order และ Limit Order เข้าไว้ด้วยกัน มีสองราคาสำคัญ:
- Stop Price: เมื่อราคาตลาดถึง Stop Price คำสั่งจะกลายเป็น Limit Order ที่รอดำเนินการ
- Limit Price: คือราคาที่คุณต้องการให้คำสั่ง Limit Order ถูกดำเนินการ (หรือดีกว่า)
ความแตกต่าง:
- Stop Order: เมื่อราคาถึง Stop Price จะกลายเป็น Market Order และดำเนินการทันทีที่ราคาตลาด
- Limit Order: ดำเนินการที่ราคาที่กำหนดหรือดีกว่าเสมอ แต่จะไม่ถูกทริกเกอร์จนกว่าราคาจะถึงจุดนั้น
- Stop Limit Order: ให้การควบคุมที่มากขึ้นโดยการระบุราคาสูงสุด/ต่ำสุดที่คุณยินดีที่จะซื้อ/ขายหลังจากที่ Stop Price ถูกทริกเกอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินการที่ราคาที่ไม่พึงประสงค์ในตลาดที่มีความผันผวนสูง
การใช้ Pending Order มีข้อควรระวังหรือความเสี่ยงอะไรบ้างที่เทรดเดอร์ไทยควรรู้?
เทรดเดอร์ไทยควรตระหนักถึงข้อควรระวังและปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้เมื่อใช้ Pending Order:
- Slippage (ราคาคลาดเคลื่อน): ในช่วงที่มีความผันผวนสูงหรือมีข่าวสำคัญ ราคาที่คำสั่งของคุณถูกดำเนินการอาจคลาดเคลื่อนจากราคาที่ตั้งไว้เล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Stop Order
- Gap (ช่องว่างราคา): หากตลาดเปิดทำการด้วยราคาที่กระโดดข้ามจุดที่คุณตั้ง Pending Order ไป คำสั่งอาจถูกดำเนินการที่ราคา Gap นั้นแทน ทำให้ผลลัพธ์ต่างจากที่คาดการณ์
- การตั้งค่าไม่ถูกต้อง: การสับสนระหว่าง Buy Limit/Stop และ Sell Limit/Stop อาจทำให้เกิดการเปิดสถานะในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจไว้
- การไม่ตรวจสอบคำสั่ง: ควรตรวจสอบคำสั่งที่รอดำเนินการของคุณเป็นประจำว่ายังคงเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันหรือไม่
- การใช้เลเวอเรจสูงเกินไป: แม้จะมี Pending Order แต่การใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไปโดยไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงหลักที่อาจนำไปสู่การขาดทุนจำนวนมากได้
