การเทรดคืออะไร? ทำไมต้องรู้ประเภทการเทรด?
การเทรดหมายถึงกิจกรรมซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สกุลเงิน คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยจุดมุ่งหมายหลักคือการสร้างกำไรจากการแกว่งไกวของราคาในช่วงเวลาสั้นไปจนถึงระดับกลาง ซึ่งต่างจากการลงทุนที่มักเน้นการถือยาวเพื่อรอให้มูลค่าเติบโตหรือรับผลตอบแทนอื่นๆ เช่น เงินปันผลจากหุ้น

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น การทำความเข้าใจว่าการเทรดแบ่งออกเป็นประเภทไหน และแต่ละแบบมีลักษณะเด่นอย่างไรนั้น ถือเป็นก้าวแรกที่ขาดไม่ได้ เพราะช่วยให้คุณค้นพบรูปแบบที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ตัวเองได้ การรู้จักประเภทเหล่านี้ไม่เพียงช่วยประเมินระดับความเสี่ยง เวลาที่ต้องทุ่มเท ทุนที่จำเป็น แต่ยังช่วยกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากมองข้ามส่วนนี้ อาจนำไปสู่การเลือกสไตล์ที่ไม่เหมาะสม สุดท้ายก่อให้เกิดความผิดหวังหรือขาดทุนหนัก การเทรดไม่ใช่เรื่องเสี่ยงโชค แต่เป็นศาสตร์ที่พึ่งพาความรู้ วินัย และการจัดการความเสี่ยงอย่างมีระบบ การศึกษาประเภทต่างๆ จะวางรากฐานที่มั่นคงให้คุณก้าวสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในที่สุด

ประเภทการเทรดแบ่งตามกรอบเวลา (Timeframe-Based Trading Types)
หนึ่งในการแบ่งประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการพิจารณาจากกรอบเวลา เนื่องจากเป็นองค์ประกอบหลักที่กำหนดกลยุทธ์และความถี่ในการเข้า-ออกตลาด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อรูปแบบการทำงานของคุณ

1. การเทรดแบบ Day Trade (Day Trading)
เดย์เทรดคือการเปิดและปิดตำแหน่งทั้งหมดภายในวันเดียวกัน โดยไม่ยอมถือยาวข้ามคืน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือข่าวสารที่อาจเกิดขึ้นเมื่อตลาดพักเบรก เทรดเดอร์ในสไตล์นี้มักอาศัยกราฟระยะสั้น เช่น 5 นาทีหรือ 15 นาที เพื่อจับจังหวะความผันผวนรายวันและทำกำไรจากมัน
* **ลักษณะ:** ทุกการซื้อขายเสร็จสิ้นในวันเดียว เน้นกำไรจากความเคลื่อนไหวราคาระยะสั้น
* **ข้อดี:** ลดโอกาสเจอเซอร์ไพรส์ข้ามคืน สร้างโอกาสกำไรหลายรอบต่อวัน
* **ข้อเสีย:** ต้องจับตาหน้าจอเกือบทั้งวัน สร้างความเครียดและต้องตัดสินใจฉับไว ค่าคอมมิชชั่นอาจพอกพูนหากเทรดบ่อย
* **เหมาะสำหรับ:** คนที่มีเวลาว่างเต็มเปี่ยม วินัยแน่น มีทักษะวิเคราะห์ทางเทคนิค และทนความเสี่ยงสูงได้
2. การเทรดแบบ Scalping (Scalping)
สแคปปิ้งคือรูปแบบที่รวดเร็วกว่าเดย์เทรด โดยมุ่งหากำไรเล็กๆ น้อยๆ จากการแกว่งไกวเพียงไม่กี่จุด แต่ทำซ้ำหลายสิบหรือหลายร้อยครั้งต่อวัน มักใช้กราฟระดับ 1 นาทีหรือแม้แต่ tick chart เพื่อความแม่นยำในการเข้า-ออกที่รวดเร็ว
* **ลักษณะ:** กำไรน้อยแต่บ่อย ถือตำแหน่งแค่ไม่กี่วินาทีหรือนาที
* **ข้อดี:** โอกาสกำไรสูงถ้ามีระบบและวินัยดี ไม่ต้องกังวลเรื่องค้างคืน
* **ข้อเสีย:** ต้องโฟกัสสูงสุด ค่าสเปรดและค่าธรรมเนียมอาจกัดกินกำไร ต้องนั่งเฝ้าจอแทบทุกนาที
* **เหมาะสำหรับ:** เทรดเดอร์มือฉมังที่ตัดสินใจไวและมีจิตใจมั่นคง
3. การเทรดแบบ Swing Trade (Swing Trading)
สวิงเทรดคือการถือตำแหน่งนานกว่าเดย์เทรด โดยอาจข้ามวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ เพื่อจับการแกว่งไกวหรือแนวโน้มระยะกลาง เทรดเดอร์มักวิเคราะห์จากกราฟ 1 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง หรือรายวัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเฝ้าจอตลอดเวลา ทำให้ยืดหยุ่นกว่า
* **ลักษณะ:** ถือตั้งแต่ 2-3 วันยาวไปถึงสัปดาห์ เน้นกำไรจากแนวโน้มกลาง
* **ข้อดี:** ไม่ต้องติดหน้าจอทั้งวัน มีเวลาคิดวิเคราะห์ ค่าธรรมเนียมกระทบน้อย
* **ข้อเสีย:** เสี่ยงจากเหตุการณ์ข้ามคืน อาจติดตำแหน่งนานถ้าราคาไม่เป็นใจ
* **เหมาะสำหรับ:** คนเวลาจำกัด ชอบวิเคราะห์เทคนิค ทนเสี่ยงระดับกลาง
4. การเทรดแบบ Position Trade (Position Trading)
โพซิชั่นเทรดคือสไตล์ที่ถือยาวที่สุด อาจเป็นเดือน ไตรมาส หรือปี โดยเน้นวิเคราะห์พื้นฐานและแนวโน้มเศรษฐกิจใหญ่ เพื่อเก็งกำไรจากทิศทางระยะยาว
* **ลักษณะ:** ถือยาวเดือนถึงปี เน้นแนวโน้มใหญ่
* **ข้อดี:** ไม่ต้องเฝ้าจอ เครียดน้อย ค่าธรรมเนียมต่ำ ไม่สนใจความผันผวนสั้น
* **ข้อเสีย:** ทุนต้องเยอะ ต้องอดทนรอ อาจพลาดโอกาสสั้น
* **เหมาะสำหรับ:** คนเข้าใจพื้นฐาน มีความอดทน ทุนหนา ทนเสี่ยงต่ำ-กลาง
ตารางเปรียบเทียบประเภทการเทรดตามกรอบเวลา
ประเภท | กรอบเวลาถือครอง | ความถี่ในการเทรด | ความเครียด | เวลาเฝ้าจอ |
---|---|---|---|---|
Scalping | วินาที-นาที | สูงมาก | สูงมาก | เกือบตลอดเวลา |
Day Trade | นาที-ชั่วโมง (ภายในวัน) | สูง | สูง | สูง |
Swing Trade | วัน-สัปดาห์ | ปานกลาง | ปานกลาง | ปานกลาง (ตรวจเช็คเป็นระยะ) |
Position Trade | เดือน-ปี | ต่ำ | ต่ำ | ต่ำ (นานๆ ครั้ง) |
ประเภทการเทรดแบ่งตามตลาด (Market-Based Trading Types)
ยิ่งไปกว่านั้น การเลือกตลาดที่เทรดก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เพราะแต่ละตลาดมีลักษณะเฉพาะที่ส่งผลต่อกลยุทธ์และโอกาสของคุณ
1. การเทรดหุ้น (Stock Trading)
การเทรดหุ้นคือการซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ซึ่งเป็นตลาดยอดฮิตและมีกฎเกณฑ์ชัดเจนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) (ก.ล.ต.)
* **ลักษณะ:** ซื้อขายหุ้นบริษัทต่างๆ
* **ข้อดี:** ข้อมูลพื้นฐานบริษัทหาง่าย สภาพคล่องดี มีกฎหมายคุ้มครองชัดเจน อาจได้เงินปันผลเพิ่ม
* **ข้อเสีย:** ทุนเริ่มต้นค่อนข้างสูง ผันผวนตามเศรษฐกิจและข่าวบริษัท
* **เหมาะสำหรับ:** คนอยากผสมการลงทุนกับเทรด สนใจศึกษาธุรกิจ
2. การเทรด Forex (Forex Trading)
ตลาดฟอเร็กซ์คือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณซื้อขายมหาศาลรายวัน เทรดเดอร์ทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนคู่สกุลเงิน เช่น EUR/USD หรือ USD/JPY
* **ลักษณะ:** ซื้อขายคู่สกุลเงิน
* **ข้อดี:** เปิด 24 ชั่วโมง 5 วัน สภาพคล่องสุดยอด ใช้เลเวอเรจได้ (แต่เสี่ยงสูงตาม)
* **ข้อเสีย:** ซับซ้อน ผันผวนแรง ไม่มีหน่วยกลางกำกับในหลายประเทศ รวมไทย
* **เหมาะสำหรับ:** คนสนใจเศรษฐกิจใหญ่ ทนเสี่ยงสูง
3. การเทรดคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency Trading)
การเทรดคริปโตคือการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ (BTC) หรืออีเธเรียม (ETH) ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ตลาดนี้บูมในช่วงปีหลังๆ แต่ผันผวนรุนแรง
* **ลักษณะ:** ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไร้ตัวตน
* **ข้อดี:** กำไรสูงจากความผันผวน เปิด 24/7 เข้าถึงง่าย
* **ข้อเสีย:** ผันผวนสุดๆ เสี่ยงหนัก กฎเกณฑ์ยังคลุมเครือในหลายที่ เสี่ยงไซเบอร์
* **เหมาะสำหรับ:** คนทนเสี่ยงสูง สนใจบล็อกเชน
4. การเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Trading)
การเทรดสินค้าโภคภัณฑ์คือการซื้อขายวัตถุดิบหลัก เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือสินค้าเกษตร โดยเก็งกำไรจากราคาที่เปลี่ยนแปลง
* **ลักษณะ:** ซื้อขายวัตถุดิบหลัก
* **ข้อดี:** ป้องกันเงินเฟ้อได้ดี (โดยเฉพาะทอง) ได้รับผลจากอุปสงค์-อุปทานชัด
* **ข้อเสีย:** กระทบจากภูมิรัฐศาสตร์และอากาศ ทุนสูงสำหรับบางสินค้า
* **เหมาะสำหรับ:** คนเข้าใจเศรษฐกิจและการเมืองโลก สนใจตลาดเฉพาะ
ตารางเปรียบเทียบตลาดการเทรดหลัก
ตลาด | สินทรัพย์ที่เทรด | ความผันผวน | สภาพคล่อง | การกำกับดูแลในไทย |
---|---|---|---|---|
หุ้น | หุ้นบริษัทจดทะเบียน | ปานกลาง-สูง | สูง | ก.ล.ต. (ชัดเจน) |
Forex | คู่สกุลเงิน | สูง | สูงมาก | ยังไม่ชัดเจนสำหรับรายย่อย |
คริปโตเคอร์เรนซี | สินทรัพย์ดิจิทัล | สูงมาก | สูง | ก.ล.ต. (อยู่ระหว่างการพัฒนา) |
สินค้าโภคภัณฑ์ | ทองคำ, น้ำมัน, อื่นๆ | ปานกลาง-สูง | สูง | ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) |
ประเภทการเทรดแบ่งตามวิธีและกลยุทธ์ (Strategy-Based Trading Types)
นอกเหนือจากกรอบเวลาและตลาดแล้ว ยังมีรูปแบบการเทรดที่เน้นกลยุทธ์เฉพาะ ซึ่งช่วยให้คุณปรับแต่งวิธีการให้เหมาะกับสไตล์ส่วนตัวมากขึ้น
1. การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading)
การเทรดอัลกอริทึมคือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ตั้งค่าล่วงหน้าเพื่อวิเคราะห์ตลาดและสั่งซื้อขายอัตโนมัติ ตามเงื่อนไขเช่นราคา ปริมาณ หรืออินดิเคเตอร์เทคนิค ซึ่งช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วและปราศจากอารมณ์
* **ลักษณะ:** ระบบคอมพิวเตอร์ตัดสินใจและสั่งซื้อขาย
* **ข้อดี:** เร็วและแม่น ลดอคติอารมณ์ ทำงานต่อเนื่อง
* **ข้อเสีย:** ต้องรู้โปรแกรมมิ่งหรือระบบ อาจล้มเหลว ต้องอัปเดตบ่อย
* **เหมาะสำหรับ:** คนถนัดเทคโนโลยี อยากลดผลกระทบจากอารมณ์
2. การเทรดตามข่าว (News Trading)
การเทรดตามข่าวคือกลยุทธ์ที่อาศัยข่าวเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์บริษัท เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคา โดยต้องตีความข่าวไวและตัดสินใจเข้า-ออกอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบติดตามเหตุการณ์โลก
* **ลักษณะ:** ซื้อขายตามข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญ
* **ข้อดี:** กำไรสูงจากความผันผวนข่าว ไม่ต้องเจาะลึกกราฟ
* **ข้อเสีย:** เสี่ยงหนัก ต้องตัดสินใจภายใต้แรงกดดัน ข่าวอาจพลิกผัน
* **เหมาะสำหรับ:** คนตามข่าวใกล้ชิด ทนเสี่ยงสูง
เลือกประเภทการเทรดแบบไหนดี? (How to Choose Your Trading Type?)
การเลือกสไตล์การเทรดที่ใช่คือกุญแจสู่ความสำเร็จระยะยาว ไม่มีรูปแบบไหนดีเลิศสำหรับทุกคน แต่ต้องหาที่ลงตัวกับตัวคุณเองมากที่สุด เพื่อให้การเทรดกลายเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ที่ยั่งยืน
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกสไตล์การเทรด (Factors to Consider)
1. **เวลาที่มี (Time Availability):**
* **มีเวลาเต็มที่/ว่างงาน:** อาจเหมาะกับ Scalping, Day Trade ที่ต้องเฝ้าหน้าจอ
* **ทำงานประจำ/มีเวลาน้อย:** ควรพิจารณา Swing Trade หรือ Position Trade ที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอมาก
2. **เงินทุนเริ่มต้น (Starting Capital):**
* **เงินทุนน้อย:** อาจเริ่มต้นกับ Forex หรือคริปโตฯ ที่สามารถใช้เงินทุนเริ่มต้นไม่สูงมากได้ แต่ต้องระวังเรื่อง Leverage ที่สูง
* **เงินทุนมาก:** มีอิสระในการเลือกประเภทการเทรดมากขึ้น รวมถึง Position Trade ที่ต้องใช้เงินทุนเยอะเพื่อทำกำไรในระยะยาว
3. **ความเสี่ยงที่รับได้ (Risk Tolerance):**
* **รับความเสี่ยงสูง:** Scalping, Day Trade, คริปโตฯ
* **รับความเสี่ยงปานกลาง:** Swing Trade, หุ้น, Forex
* **รับความเสี่ยงต่ำ:** Position Trade (แม้จะยังมีความเสี่ยงอยู่)
4. **ลักษณะนิสัยและความถนัด (Personality & Aptitude):**
* **ใจร้อน, ชอบความตื่นเต้น:** อาจเหมาะกับ Scalping, Day Trade
* **ใจเย็น, มีวินัย, ชอบวิเคราะห์:** เหมาะกับ Swing Trade, Position Trade
* **ชอบเทคโนโลยี:** Algorithmic Trading
5. **เป้าหมายทางการเงิน (Financial Goals):**
* **ต้องการสร้างรายได้เสริมรายวัน/รายสัปดาห์:** Day Trade, Swing Trade
* **ต้องการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว:** Position Trade, หุ้น (ควบคู่การลงทุน)
คำแนะนำสำหรับมือใหม่หัดเทรดในประเทศไทย (Advice for Thai Beginner Traders)
1. **เริ่มจากเงินน้อย (Start Small):** อย่าเพิ่งทุ่มเงินก้อนใหญ่ในการเทรดครั้งแรก ควรเริ่มจากเงินจำนวนน้อยที่คุณยอมรับการสูญเสียได้ เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจตลาด
2. **ฝึกฝนด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account):** แพลตฟอร์มการเทรดส่วนใหญ่มีบัญชีทดลองให้ใช้ฝึกฝนโดยไม่ต้องใช้เงินจริง ใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับระบบและทดสอบกลยุทธ์ของคุณในสภาพแวดล้อมที่ไร้ความเสี่ยง
3. **ศึกษาหาความรู้ต่อเนื่อง (Continuous Learning):** โลกของการเทรดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การอ่านหนังสือ บทความ เข้าร่วมสัมมนา หรือเรียนคอร์สออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทักษะ
4. **บริหารความเสี่ยง (Risk Management):** นี่คือหัวใจของการเทรด! กำหนด Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) เสมอ, อย่าเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนในแต่ละเทรด, และอย่าใช้ Leverage เกินตัว
5. **ทำความเข้าใจแพลตฟอร์มและกฎระเบียบในไทย:**
* **หุ้น:** ใช้ SET Trade (SET Trade) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
* **คริปโตฯ:** เลือกแพลตฟอร์มที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ของไทย เช่น Bitkub, Satang Pro เพื่อความปลอดภัยและถูกกฎหมาย
* **Forex:** ในประเทศไทย การเทรด Forex กับโบรกเกอร์ต่างประเทศยังไม่ได้รับการกำกับดูแลโดย ก.ล.ต. โดยตรง ผู้เทรดต้องศึกษาความเสี่ยงและเลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือด้วยตัวเองอย่างรอบคอบ
สรุป: เส้นทางสู่การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพเริ่มต้นที่การเข้าใจตนเอง
การเทรดครอบคลุมรูปแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเดย์เทรด สแคปปิ้ง สวิงเทรด หรือโพซิชั่นเทรด รวมถึงตลาดหุ้น ฟอเร็กซ์ คริปโต และสินค้าโภคภัณฑ์ สิ่งที่กำหนดความสำเร็จคือการรู้จักตัวเองดี ทั้งเรื่องเวลา ทุน ความทนเสี่ยง และบุคลิกภาพ การเลือกสไตล์ที่ตรงกับปัจจัยเหล่านี้จะเพิ่มโอกาสชนะให้สูงขึ้น
จำไว้ว่า การเทรดคือทักษะที่ต้องฝึกฝนด้วยความรู้ วินัย และการควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มงวด สำหรับมือใหม่ในไทย ควรเริ่มช้าๆ ศึกษาลึก ฝึกในเดโม และติดตามกฎตลาดที่สนใจ เพื่อสร้างเส้นทางสู่การเป็นเทรดเดอร์อาชีพที่มั่นคง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเทรด (FAQs about Trading)
มือใหม่หัดเทรดในประเทศไทย ควรเริ่มต้นจากประเภทไหนดีที่สุด?
สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นจากประเภทที่มีความเครียดและเวลาเฝ้าจอน้อย เช่น Swing Trade หรือ Position Trade ในตลาดหุ้นไทย (SET) ที่มีข้อมูลบริษัทชัดเจนและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. การใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญก่อนเริ่มเทรดจริง
การเทรด Day Trade กับ Swing Trade อันไหนเหมาะกับคนทำงานประจำมากกว่ากัน?
Swing Trade เหมาะกับคนทำงานประจำมากกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา สามารถวิเคราะห์และวางแผนหลังจากเลิกงานได้ และถือครองสถานะข้ามวันหรือสัปดาห์ ในขณะที่ Day Trade ต้องใช้เวลาเฝ้าหน้าจอเกือบทั้งวันซึ่งไม่เหมาะกับคนทำงานประจำ
การเทรด Forex ในประเทศไทยถูกกฎหมายหรือไม่ ต้องระวังอะไรบ้าง?
ปัจจุบันในประเทศไทย การเทรด Forex กับโบรกเกอร์ต่างประเทศยังไม่ได้รับการกำกับดูแลโดยตรงจาก ก.ล.ต. และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ให้ความเห็นว่าการชักชวนให้ลงทุนใน Forex โดยไม่มีใบอนุญาตอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ดังนั้น ผู้เทรดควรศึกษาความเสี่ยงและเลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง มีใบอนุญาตจากต่างประเทศที่น่าเชื่อถือ และตระหนักถึงความเสี่ยงด้านกฎหมายและการถูกฉ้อโกง
การเทรดคริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูงกว่าการเทรดหุ้นจริงหรือ?
โดยทั่วไปแล้ว การเทรดคริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงสูงกว่าการเทรดหุ้น เนื่องจากตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนของราคาสูงกว่ามากและยังเป็นตลาดใหม่ที่มีกฎระเบียบไม่ครอบคลุมเท่าตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม โอกาสในการทำกำไรก็สูงขึ้นตามความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
ถ้ามีเงินทุนน้อย ควรเลือกประเภทการเทรดแบบไหนดี?
หากมีเงินทุนน้อย คุณอาจพิจารณา Swing Trade หรือ Day Trade ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น Forex หรือคริปโตฯ ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินจำนวนไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม การใช้ Leverage สูงเพื่อเพิ่มขนาดการเทรดก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน ควรบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด
“การเทรดคือการพนัน” เป็นความจริงหรือไม่?
ไม่เป็นความจริงทั้งหมด การเทรดโดยไม่มีความรู้ ไม่มีแผน ไม่มีวินัย และบริหารความเสี่ยงไม่เป็น ก็ไม่ต่างจากการพนัน แต่หากเทรดโดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูล วางแผนกลยุทธ์ บริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และมีวินัย การเทรดก็คือการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ต้องใช้ทักษะและความเข้าใจในตลาด
มีแพลตฟอร์มเทรดไหนบ้างที่ได้รับความนิยมและน่าเชื่อถือในประเทศไทย?
สำหรับ หุ้นไทย แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมคือ SET Trade ผ่านโบรกเกอร์ต่างๆ สำหรับ คริปโตเคอร์เรนซี แพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในไทย เช่น Bitkub และ Satang Pro สำหรับ Forex มักจะเป็นโบรกเกอร์ต่างประเทศที่มีชื่อเสียง (โปรดศึกษาความน่าเชื่อถือด้วยตนเอง)
ควรใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) นานแค่ไหนก่อนเริ่มเทรดจริง?
ไม่มีระยะเวลาที่ตายตัว แต่ควรใช้บัญชีทดลองจนกว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในบัญชีทดลองเป็นเวลาอย่างน้อย 1-3 เดือน และรู้สึกคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มและกลยุทธ์ของคุณ การฝึกฝนกับสถานการณ์ตลาดจริงแต่ไม่มีความเสี่ยงจะช่วยสร้างความมั่นใจและวินัย
เทรดทอง กับ Forex ต่างกันอย่างไร และควรเลือกเทรดอะไรดี?
เทรดทอง คือการซื้อขายราคาทองคำ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์ ส่วน Forex คือการซื้อขายคู่สกุลเงิน ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินของแต่ละประเทศและตัวเลขเศรษฐกิจ การเลือกเทรดอะไรขึ้นอยู่กับความสนใจและปัจจัยที่คุณถนัดในการวิเคราะห์ หากชอบวิเคราะห์ปัจจัยเศรษฐกิจภาพรวมและชอบสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง อาจเหมาะกับทองคำ แต่ถ้าสนใจนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ และชอบความผันผวนสูง Forex อาจเหมาะกว่า
การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading) เหมาะกับมือใหม่หรือไม่?
โดยทั่วไปแล้วไม่เหมาะกับมือใหม่ เพราะ Algorithmic Trading ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม การสร้างระบบเทรด การทดสอบย้อนหลัง (Backtesting) และการปรับแต่งระบบ ซึ่งซับซ้อนเกินกว่าที่มือใหม่จะเริ่มต้นได้ง่ายๆ ควรมีประสบการณ์ในการเทรดด้วยตนเองและเข้าใจกลยุทธ์ต่างๆ เป็นอย่างดีก่อน