ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ค.ศ. 1929: บทเรียนจากวิกฤตที่ยังคงมีความสำคัญ
สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน วันนี้เราจะพาคุณย้อนเวลาไปศึกษาหนึ่งในเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ที่เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1929 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงแค่ประวัติศาสตร์ในหนังสือเรียน แต่ยังเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่ช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงในโลกการเงินและเศรษฐกิจยุคปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น
ในฐานะนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือเป็นผู้มีประสบการณ์ที่ต้องการทำความเข้าใจภาพรวมของเศรษฐกิจโลกให้ลึกซึ้งขึ้น การเรียนรู้จากวิกฤตการณ์ในอดีตจะช่วยให้คุณมองเห็นสัญญาณเตือนภัย ประเมินความเสี่ยง และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต บทความนี้จะทำหน้าที่เหมือนคู่มือพาคุณสำรวจทุกแง่มุมของวิกฤตครั้งนั้น ตั้งแต่จุดเริ่มต้น สาเหตุที่ซับซ้อน ผลกระทบที่รุนแรง ไปจนถึงแนวทางการฟื้นฟูและบทเรียนที่เรายังคงนำมาใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ครับ
พร้อมแล้วหรือยังครับ ที่จะเจาะลึกเข้าไปในปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจโลกไปตลอดกาล?
๑. ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ คืออะไร? และเริ่มต้นอย่างไร?
ก่อนอื่นเลย เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่” หรือ The Great Depression นั้นมีความหมายอย่างไร ค.ศ. 1929
มันคือช่วงเวลาของ วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่มีความรุนแรงและยาวนานที่สุดเท่าที่โลกอุตสาหกรรมตะวันตกเคยเผชิญมา วิกฤตนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ได้ลุกลามขยายวงกว้างไปทั่วโลก แม้ความรุนแรงและช่วงเวลาจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศก็ตาม
จุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์นี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเงิน นั่นคือเหตุการณ์ ตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทตก ในปี ค.ศ. 1929 ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1929 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “ทศวรรษรุ่งโรจน์” (Roaring Twenties) ตลาดหุ้นเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนมากเข้ามาเก็งกำไรในตลาด โดยมักจะกู้ยืมเงินมาลงทุน (Margin Trading) ความเชื่อมั่นที่สูงเกินจริงนี้ได้ผลักดันให้ราคาหุ้นพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เกิดภาวะที่เรียกว่า “ฟองสบู่ทางการเงิน” ขึ้นในตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่ย่อมมีวันแตก และมันก็แตกออกอย่างรวดเร็วและรุนแรง เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ “พฤหัสทมิฬ” (Black Thursday) ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1929 ซึ่งเป็นวันที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กประสบภาวะหุ้นตกอย่างหนักเป็นประวัติการณ์ ตามมาด้วย “อังคารทมิฬ” (Black Tuesday) ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1929 ซึ่งเป็นการร่วงลงที่รุนแรงยิ่งกว่า
การล่มสลายของตลาดหุ้นในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปรับฐานของราคา แต่คือการสูญสลายของมูลค่าหลักทรัพย์จำนวนมหาศาลภายในเวลาอันสั้น มีการประเมินว่ามูลค่าตลาดหุ้นที่เสียหายไปในช่วงเวลาดังกล่าวสูงกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับงบประมาณทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐฯ และเยอรมนีรวมกันในเวลานั้นเลยทีเดียว
แม้ว่าการตกของตลาดหุ้นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ แต่เราต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดของ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ มันเป็นเพียงจุดชนวนที่ทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่ก่อนแล้วปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง แล้วปัญหาเหล่านั้นคืออะไรบ้างล่ะ?
๒. สาเหตุซับซ้อนที่นำไปสู่วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลรวมของปัจจัยหลายๆ อย่างที่ซับซ้อนและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ลองมาเจาะลึกถึงต้นตอของปัญหากันครับ
ประการแรก ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว การ ร่วงลงอย่างมากของราคาหุ้นในสหรัฐฯ หลังช่วงที่ตลาดหุ้นขยายตัวเร็วเกินจริง (ฟองสบู่) เป็นปัจจัยจุดชนวนโดยตรง ผู้คนและสถาบันการเงินที่ลงทุนในตลาดหุ้นประสบความเสียหายอย่างหนัก สูญเสียความมั่งคั่งและความเชื่อมั่นไปอย่างมหาศาล
ประการที่สอง มีปัญหาที่เรียกว่า “โรคระบาดทางการเงิน” เกิดขึ้น เมื่อราคาหุ้นตก ธนาคารที่ปล่อยกู้ให้นักลงทุนหรือลงทุนในหุ้นเองก็ประสบปัญหา เกิดหนี้เสียจำนวนมาก ความกังวลทำให้ผู้ฝากเงินแห่ถอนเงินออกจากธนาคาร (Bank Run) ซึ่งนำไปสู่การ ล้มละลายของธนาคารหลายพันแห่ง ทั่วประเทศ เมื่อธนาคารล้ม ระบบสินเชื่อก็หยุดชะงัก ธุรกิจต่างๆ ไม่สามารถกู้ยืมเงินเพื่อดำเนินงานหรือขยายการลงทุนได้
ประการที่สาม ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาคการเงิน แต่มีปัญหาเชิงโครงสร้างใน ภาคเศรษฐกิจจริง ด้วย
- ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ: หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรมีรายได้ลดลงมาก และหลายรายกู้ยืมเงินมาลงทุนในช่วงราคาดี ทำให้เกิดหนี้สินจำนวนมากที่ไม่สามารถชำระคืนได้
- การกู้ยืมมากและอัตราดอกเบี้ยสูง: ในช่วงทศวรรษ 1920s การกู้ยืมทั้งของภาครัฐ เอกชน และครัวเรือนมีจำนวนมาก ประกอบกับนโยบายการเงินที่บางช่วงทำให้อัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมสูงขึ้น
- ต้นทุนการผลิตสูงและความต้องการสินค้าลดลง: ภาคอุตสาหกรรมมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ในขณะที่กำลังซื้อของประชาชนลดลงเนื่องจากปัญหาในภาคเกษตรและรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้นตามการผลิต
- ผู้ประกอบการงดลงทุน: เมื่อความต้องการสินค้าลดลงและระบบสินเชื่อมีปัญหา ธุรกิจต่างๆ ก็ชะลอหรือยกเลิกการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งทำให้การจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมลดลง
ประการที่สี่ ปัญหาเรื่อง การผูกขาดภาคการผลิตและการขาดกฎระเบียบ ทำให้ระบบเศรษฐกิจขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัว และเปิดช่องให้เกิดการเก็งกำไรและการฉ้อโกงในตลาดหุ้นโดยไร้การควบคุม
ประการที่ห้า เกิด วิกฤตการผลิตเกินกำลัง เมื่อสินค้าที่ผลิตออกมาไม่สอดคล้องกับอุปสงค์ที่แท้จริงและความสามารถในการซื้อของครัวเรือน (รายได้ครัวเรือนต่ำ) สินค้าค้างสต็อกจำนวนมาก ทำให้โรงงานต้องลดการผลิตและปลดคนงานออก
ผู้เชี่ยวชาญบางท่านมองว่า วิกฤตครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ระบบทุนนิยมหยุดการกำกับตนเอง และต้องการการแทรกแซงจากภาครัฐเพื่อแก้ไขความล้มเหลวของตลาด (Market Failure) โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤตที่ ธนาคารและนักธุรกิจขาดความเชื่อมั่น และพยายามเรียกคืนหนี้หรือรักษาสภาพคล่องของตนเอง ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
จะเห็นได้ว่าสาเหตุของ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ มีรากฐานมาจากทั้งปัญหาในภาคการเงิน ปัญหาในภาคเศรษฐกิจจริง และปัญหาเชิงโครงสร้างและนโยบาย ซึ่งทั้งหมดได้รวมตัวกันและนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครับ
๓. คลื่นยักษ์ที่ขยายวง: การแพร่กระจายไปทั่วโลก
หนึ่งในลักษณะสำคัญของ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ คือการที่วิกฤตนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ได้ ขยายตัวไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมโยงของระบบเศรษฐกิจโลกในเวลานั้น และมีปัจจัยสำคัญบางอย่างที่เร่งให้วิกฤตแพร่กระจายไปทั่วโลก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้วิกฤตแพร่กระจายคือ มาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ระบบการเงินระหว่างประเทศในเวลานั้นผูกค่าเงินสกุลต่างๆ ไว้กับทองคำและผูกระหว่างกัน การที่สหรัฐฯ ประสบปัญหาและมีเงินทุนไหลออกจากประเทศ ทำให้ประเทศอื่นๆ ที่ใช้มาตรฐานทองคำต้องปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกัน เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาระดับทองคำสำรอง ซึ่งนโยบายเหล่านี้ยิ่งทำให้เศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแออยู่แล้วย่ำแย่ลงไปอีก
นอกจากนี้ การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและผู้ซื้อรายใหญ่ของโลกประสบปัญหา ทำให้ ความต้องการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลดลงอย่างมาก ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หรือพึ่งพาเงินกู้จากสหรัฐฯ (เช่น เยอรมนีที่ใช้เงินกู้จากสหรัฐฯ มาชำระหนี้สงครามโลกครั้งที่ 1) ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงตามไปด้วย
วิกฤตได้แพร่กระจายไปยัง
- ประเทศในยุโรป: โดยเฉพาะเยอรมนีที่ประสบปัญหาหนี้สินและภาวะเงินเฟ้อสูงมากก่อนหน้าวิกฤต และประเทศอื่นๆ ที่มีการค้าขายใกล้ชิดกับสหรัฐฯ
- ประเทศในละตินอเมริกา: ที่ส่วนใหญ่พึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรหรือวัตถุดิบ ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากราคาที่ตกต่ำและความต้องการที่ลดลง
- ประเทศในเอเชีย: เช่น ญี่ปุ่น ที่เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเช่นกัน
แม้ความรุนแรงและช่วงเวลาของวิกฤตจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ภาพรวมคือ การค้าโลกลดลงอย่างรุนแรง การผลิตหดตัว และอัตราว่างงานพุ่งสูงขึ้นเกือบทั่วโลก เป็นเครื่องยืนยันว่าในโลกที่เชื่อมโยงถึงกัน วิกฤตในประเทศหนึ่งสามารถลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง
๔. ชีวิตภายใต้วิกฤต: ผลกระทบต่อผู้คนและสังคม
ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดของ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ คือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันของผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา วิกฤตครั้งนี้ได้สร้างความยากลำบากแสนสาหัสและเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางสังคมไปอย่างสิ้นเชิง
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือ อัตราว่างงานที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ที่จุดสูงสุดของวิกฤตในปี ค.ศ. 1933 เกือบ 25% ของแรงงานทั้งหมดในสหรัฐฯ ไม่มีงานทำ นั่นหมายถึงผู้ใหญ่ 1 ใน 4 คนไม่มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ในบางเมืองหรือบางอุตสาหกรรม อัตราว่างงานยิ่งสูงกว่านี้มาก ลองจินตนาการดูนะครับว่าหากเพื่อนร่วมงาน 4 คนของคุณ มีถึง 1 คนที่ต้องตกงาน สถานการณ์จะตึงเครียดและสิ้นหวังขนาดไหน
เมื่อผู้คนตกงาน โรงงานปิดตัวลง ฟาร์มถูกยึดคืน (เนื่องจากเกษตรกรไม่สามารถจ่ายหนี้ได้) และบ้านจำนวนมากถูกธนาคารยึดไป ผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สินและแหล่งรายได้ พวกเขาต้องเผชิญกับความยากจนและความอดอยาก
เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “เมืองคนจน” (Hoovervilles) ขึ้นทั่วประเทศ เมืองเหล่านี้เป็นที่พักชั่วคราวที่สร้างขึ้นจากเศษวัสดุต่างๆ โดยคนไร้บ้านและคนว่างงาน ชื่อ “Hoovervilles” เป็นการเหน็บแนมถึงประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงเริ่มต้นของวิกฤต
นอกจากนี้ ยังมีการ เคลื่อนย้ายประชากรจำนวนมาก เพื่อหางานทำ ผู้คนนับแสนต้องเดินทางออกจากบ้านเกิดเมืองนอน มุ่งหน้าไปยังรัฐที่เชื่อว่ายังมีโอกาสในการทำงาน เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า “Hobos” ซึ่งมักเดินทางโดยการเกาะไปกับขบวนรถไฟขนสินค้าอย่างผิดกฎหมาย
ความยากลำบากนี้ไม่ได้ส่งผลแค่ทางเศรษฐกิจ แต่ยังก่อให้เกิด ผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมที่รุนแรง ความเครียดและความสิ้นหวังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ความสัมพันธ์ในครอบครัว และโครงสร้างทางสังคม ความเชื่อมั่นในสถาบันต่างๆ รวมถึงรัฐบาลและระบบทุนนิยมลดลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ ผู้คนก็ยังคงมีความพยายามที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของจิตใจมนุษย์ แม้ภาพรวมของสังคมในช่วง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ จะเต็มไปด้วยความมืดหม่นและสิ้นหวัง แต่เรื่องราวของผู้คนที่อดทนและต่อสู้เพื่อความอยู่รอดก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์นี้เช่นกัน
๕. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ: ตัวเลขและตัวชี้วัด
เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ได้ชัดเจนขึ้น ลองมาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สะท้อนความเสียหายที่เกิดขึ้นกันครับ
ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว การ ล่มสลายของตลาดหุ้น ในปี ค.ศ. 1929 ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์เสียหายไปกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลาอันสั้น นี่คือความมั่งคั่งที่หายไปในพริบตา
ผลกระทบต่อระบบการเงินคือการ ล้มละลายของธนาคารหลายพันแห่ง ทำให้ผู้ฝากเงินจำนวนมากสูญเสียเงินออมทั้งหมด และระบบสินเชื่อหยุดชะงัก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ตัวชี้วัด | ค่าปัจจุบัน | การเปลี่ยนแปลง |
---|---|---|
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) | ลดลงประมาณ 30% | ระหว่าง ค.ศ. 1929–1933 |
การผลิตภาคอุตสาหกรรม | ลดลงถึง 47% | ในช่วงวิกฤต |
ราคาค้าส่ง | ลดลงประมาณ 33% | ในช่วงเวลาเดียวกัน |
นอกจากนี้ รายได้ในระบบเศรษฐกิจโดยรวมก็ลดลงอย่างมาก ทั้งในส่วนของค่าจ้าง ค่าเช่า เงินปันผล และกำไรของบริษัท ทำให้กำลังซื้อของประชาชนยิ่งลดน้อยลงไปอีก
ผลลัพธ์คือภาพของโรงงานที่ปิดตัวลง ฟาร์มและบ้านที่ถูกยึด เหมืองที่ถูกทิ้งร้าง และธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากที่ต้องปิดกิจการลง เป็นภาพที่สะท้อนถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจในวงกว้างที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของผู้คนทุกคนในสังคม
๖. พลิกสถานการณ์: การตอบสนองของรัฐบาลและนโยบาย New Deal
เมื่อสถานการณ์วิกฤตเลวร้ายลงเรื่อยๆ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) หรือที่รู้จักกันในนาม FDR ได้ตัดสินใจดำเนินมาตรการครั้งใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤต ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ นโยบาย New Deal
ก่อนหน้า New Deal รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีฮูเวอร์มีแนวคิดที่จะไม่แทรกแซงเศรษฐกิจมากนัก โดยเชื่อว่าตลาดจะสามารถฟื้นตัวได้เอง แต่เมื่อวิกฤตทวีความรุนแรงขึ้น FDR ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในปี ค.ศ. 1933 ได้นำเสนอแนวคิดที่แตกต่างออกไป นั่นคือการให้รัฐบาลมีบทบาทเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
นโยบาย New Deal ไม่ใช่ชุดมาตรการเดียว แต่เป็นโครงการขนาดใหญ่และหลากหลายที่ครอบคลุมหลายด้าน มีเป้าหมายหลัก 3 ประการที่มักเรียกกันว่า “3 R’s”:
- Relief (การบรรเทาทุกข์): ให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต เช่น การจัดหาอาหารและที่พักพิง การสร้างงานชั่วคราว
- Recovery (การฟื้นฟู): ฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับสู่สภาวะปกติ ด้วยการกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม
- Reform (การปฏิรูป): ปฏิรูประบบการเงินและเศรษฐกิจเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ลักษณะเดียวกันขึ้นอีกในอนาคต
การเริ่มต้นของ New Deal มีความรวดเร็วและเด็ดขาด ในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง FDR ได้ออกกฎหมายและจัดตั้งหน่วยงานใหม่ๆ ขึ้นมากมายเพื่อรับมือกับวิกฤต
หนึ่งในมาตรการแรกและสำคัญที่สุดคือ “Banking Holiday” (การประกาศปิดทำการธนาคารทั่วประเทศชั่วคราว) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1933 เพื่อหยุดยั้งภาวะ Bank Run และให้เวลารัฐบาลในการประเมินฐานะของธนาคารต่างๆ ก่อนจะอนุญาตให้ธนาคารที่แข็งแรงพอเปิดทำการอีกครั้ง มาตรการนี้ช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบธนาคารได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ New Deal ยังมีการจัดตั้งหน่วยงานต่างๆ ที่มักถูกเรียกว่า “Alphabet Agencies” เนื่องจากชื่อย่อที่เป็นตัวอักษรจำนวนมาก หน่วยงานเหล่านี้รับผิดชอบภารกิจที่แตกต่างกันไป เช่น
- AAA (Agricultural Adjustment Administration) ช่วยฟื้นฟูภาคเกษตรกรรม
- CCC (Civilian Conservation Corps) สร้างงานให้คนหนุ่มสาวในการอนุรักษ์ธรรมชาติและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
- TVA (Tennessee Valley Authority) พัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคหุบเขาเทนเนสซี ผ่านการสร้างเขื่อนและผลิตไฟฟ้า
- FERA (Federal Emergency Relief Administration) ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่รัฐบาลท้องถิ่นเพื่อนำไปบรรเทาทุกข์ผู้ยากไร้
- WPA (Works Progress Administration) สร้างงานในโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ เช่น การสร้างถนน อาคารสาธารณะ
- NRA (National Recovery Administration) พยายามควบคุมอุตสาหกรรมและกำหนดมาตรฐานราคาและค่าจ้าง (แต่มาตรการนี้ไม่ประสบความสำเร็จมากนักและถูกศาลฎีกาวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญในภายหลัง)
นโยบาย New Deal เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสามารถมีบทบาทอย่างแข็งขันในการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และวางรากฐานสำหรับรัฐสวัสดิการและกฎระเบียบทางการเงินหลายอย่างที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
๗. โครงการสำคัญภายใต้ New Deal ที่คุณควรรู้
เพื่อให้นักลงทุนอย่างเราเห็นภาพว่ารัฐบาลในยุคนั้นใช้เครื่องมืออะไรในการต่อสู้กับวิกฤต ลองมาทำความรู้จักกับ Alphabet Agencies บางส่วนภายใต้ New Deal ให้มากขึ้นอีกนิดนะครับ
นอกเหนือจาก Banking Holiday ที่ช่วยกู้วิกฤตความเชื่อมั่นในระบบธนาคารแล้ว โครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านของวิกฤต:
- Civilian Conservation Corps (CCC): คุณลองนึกภาพคนหนุ่มสาวหลายแสนคน ที่เดิมว่างงานและไร้ทิศทาง ถูกส่งไปทำงานในโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น ปลูกป่า ป้องกันการพังทลายของดิน สร้างสวนสาธารณะ โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้พวกเขามีงานทำ มีรายได้ และมีทักษะ แต่ยังเป็นการลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศในระยะยาวด้วย
- Agricultural Adjustment Administration (AAA): ปัญหาใหญ่ของเกษตรกรคือราคาผลผลิตตกต่ำเนื่องจากอุปทานส่วนเกิน AAA มีเป้าหมายที่จะลดอุปทานโดยการจ่ายเงินอุดหนุนให้เกษตรกรลดพื้นที่เพาะปลูกหรือฆ่าสัตว์บางส่วน เพื่อดันราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น มาตรการนี้ค่อนข้าง controversial แต่ก็ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ในระดับหนึ่ง
- Tennessee Valley Authority (TVA): นี่เป็นโครงการพัฒนาภูมิภาคขนาดใหญ่ที่ใช้ภาครัฐเป็นกลไกหลัก มีการสร้างเขื่อนหลายแห่งในลุ่มน้ำเทนเนสซี เพื่อควบคุมอุทกภัย ผลิตไฟฟ้า สร้างงาน และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ยากจน โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการลงทุนภาครัฐขนาดใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
- Works Progress Administration (WPA): นี่คือโครงการสร้างงานสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดภายใต้ New Deal WPA ได้ว่าจ้างคนงานจำนวนมาก รวมถึงศิลปิน นักดนตรี นักเขียน ให้ทำงานในโครงการต่างๆ ตั้งแต่การสร้างถนน สะพาน อาคารสาธารณะ ไปจนถึงการสร้างงานศิลปะและการบันทึกประวัติศาสตร์ เป็นการสร้างงานโดยตรงจำนวนมหาศาลเพื่อลดอัตราว่างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกำลังซื้อของประชาชน
นอกจากโครงการเหล่านี้ New Deal ยังมีการปฏิรูปที่สำคัญอื่นๆ เช่น การจัดตั้ง Securities and Exchange Commission (SEC) เพื่อกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์และป้องกันการฉ้อโกง การจัดตั้ง Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) เพื่อประกันเงินฝากของประชาชนในธนาคาร ซึ่งช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบธนาคารได้อย่างมาก และการออกกฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน เช่น การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำและสิทธิในการรวมตัวกัน
มาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะใช้เครื่องมือทางนโยบายที่หลากหลาย ทั้งการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อสร้างงาน การช่วยเหลือกลุ่มที่เปราะบาง การกำกับดูแลภาคการเงิน และการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อนำพาประเทศออกจากวิกฤตการณ์ครั้งเลวร้าย
๘. เส้นทางสู่การฟื้นตัว: การกระตุ้นเศรษฐกิจและสงครามโลกครั้งที่ 2
แม้ว่านโยบาย New Deal จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และวางรากฐานการปฏิรูปที่สำคัญได้ แต่การฟื้นตัวจาก ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลานาน
ในช่วงปลายทศวรรษ 1930s เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายอยู่ แม้อัตราว่างงานจะลดลงจากจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 1933 แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงมาก และเศรษฐกิจก็ยังมีความเปราะบาง มีช่วงที่กลับไปชะลอตัวอีกครั้ง (Recession within the Depression)
ในช่วงนี้เองที่แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) เริ่มเข้ามามีอิทธิพล เคนส์เสนอว่าในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลควรเข้ามามีบทบาทในการ กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายภาครัฐแบบขาดดุล (Deficit Spending) เพื่อชดเชยการลดลงของการใช้จ่ายและการลงทุนในภาคเอกชน แนวคิดนี้เริ่มถูกนำมาใช้มากขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1930s
สำหรับบางประเทศในยุโรป การ ยกเลิกมาตรฐานทองคำ ในช่วงต้นทศวรรษ 1930s ได้ช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย หรือการลดค่าเงิน ซึ่งมีส่วนช่วยเร่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้เร็วกว่าสหรัฐฯ ที่ยังคงยึดติดกับมาตรฐานทองคำอยู่พักหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลกส่วนใหญ่ ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ คือ สงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อสหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามในปลายปี ค.ศ. 1941 รัฐบาลได้เพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหารขึ้นอย่างมหาศาล มีการระดมกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการทำสงคราม
- การใช้จ่ายภาครัฐที่พุ่งสูงขึ้นนี้เป็นการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
- โรงงานต่างๆ หันมาผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ แทนที่จะผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค
- ชายหนุ่มจำนวนมากเข้าร่วมกองทัพ
- การผลิตภาคอุตสาหกรรมพุ่งสูงขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในภาวะสงคราม
ผลลัพธ์คือ อัตราว่างงานลดลงอย่างรวดเร็ว และเศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะ เต็มจ้างงาน (Full Employment) ภายในเวลาไม่กี่ปี การผลิตโดยรวมของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แม้จะต้องเผชิญกับภาวะขาดดุลการคลังครั้งใหญ่เพื่อเป็นเงินทุนในการทำสงคราม
ดังนั้น แม้นโยบายภายในอย่าง New Deal จะมีความสำคัญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการฟื้นตัวขั้นสุดท้ายและเต็มที่จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้รับแรงขับเคลื่อนอย่างมีนัยสำคัญจากความต้องการทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
๙. บทเรียนจากประวัติศาสตร์: การป้องกันวิกฤตในอนาคต
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้มากมาย แต่ก็ทิ้งบทเรียนอันล้ำค่าไว้ให้เราได้ศึกษาและนำไปปรับใช้ในปัจจุบัน วิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญว่าระบบเศรษฐกิจโลกมีความเปราะบาง และต้องการการกำกับดูแลและการบริหารจัดการที่ดี
บทเรียนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือความจำเป็นของการ กำกับดูแลภาคการเงิน การเก็งกำไรที่มากเกินไป การปล่อยกู้โดยขาดความรับผิดชอบ และการขาดความโปร่งใสในระบบการเงินสามารถนำไปสู่วิกฤตการณ์ที่รุนแรงได้ การจัดตั้งหน่วยงานอย่าง SEC และ FDIC หลังวิกฤต แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีกฎระเบียบที่เข้มงวดเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับระบบการเงิน
อีกบทเรียนคือความสำคัญของ การแก้ปัญหาความไม่สมดุลในภาคเศรษฐกิจจริง เช่น ปัญหาการผลิตล้นเกิน ปัญหาหนี้สินในภาคส่วนต่างๆ และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ปัญหาเหล่านี้สามารถสะสมและกลายเป็นชนวนให้เกิดวิกฤตได้หากไม่ได้รับการแก้ไข
นอกจากนี้ วิกฤตครั้งนี้ยังตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของ ภาครัฐในการตอบสนองต่อวิกฤต แนวคิดที่ว่าตลาดจะแก้ไขตัวเองได้เสมออาจไม่เพียงพอในสถานการณ์ที่รุนแรง การที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงด้วยนโยบายการคลัง (การใช้จ่ายภาครัฐ) และนโยบายการเงินสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบ สร้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ แม้จะต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงขนาดและขอบเขตของการแทรกแซงก็ตาม
การเปรียบเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2007-2009 (Great Recession) ซึ่งมักถูกนำมาเปรียบเทียบกับ Great Depression แสดงให้เห็นว่า แม้สาเหตุและรายละเอียดจะแตกต่างกัน แต่ปัญหาพื้นฐานหลายอย่าง เช่น ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงิน การเก็งกำไร และการขาดกฎระเบียบ ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่นำไปสู่วิกฤตได้ การที่รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกในยุคหลังวิกฤต 2008 เข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าในทศวรรษ 1930s ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการเรียนรู้บทเรียนจาก Great Depression นั่นเองครับ
สำหรับนักลงทุนอย่างเรา บทเรียนจาก Great Depression สอนให้เราต้องตระหนักถึงความเสี่ยงในระบบ (Systemic Risk) ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงของสินทรัพย์รายตัว ต้องเข้าใจว่าภาวะฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์สามารถเกิดขึ้นได้ และมีผลกระทบที่รุนแรงได้ การมีวินัยในการลงทุน การกระจายความเสี่ยง และการไม่ใช้ Leverage มากเกินไป คือสิ่งสำคัญในการปกป้องเงินทุนของเรา
๑๐. ทำความเข้าใจ “ภาวะเงินฝืด” ในมุมมองของ Great Depression
หนึ่งในปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจและสร้างความเสียหายอย่างมากในช่วง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ คือ ภาวะ “เงินฝืด” (Deflation) ซึ่งหมายถึงภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดลงอย่างต่อเนื่อง ในยุค Great Depression ราคาค้าส่งลดลงไปถึง 33% ในเวลาไม่กี่ปี แล้วทำไมเงินฝืดถึงเป็นปัญหาล่ะ?
สำหรับคนทั่วไป การที่ราคาสินค้าถูกลงอาจฟังดูเป็นเรื่องดี แต่ในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์มหภาค ภาวะเงินฝืดที่รุนแรงและต่อเนื่องเป็นสัญญาณของปัญหาและสามารถทำให้วิกฤตเลวร้ายลงไปอีกได้ครับ
ลองนึกภาพตามนะครับ เมื่อผู้คนคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงอีกในอนาคต พวกเขาก็จะ ชะลอการใช้จ่าย หรือการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน รอให้ราคาถูกลง ซึ่งการชะลอการใช้จ่ายนี้เองทำให้ความต้องการสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจยิ่งลดลง
เมื่อความต้องการลดลง ธุรกิจก็ขายสินค้าได้น้อยลง ต้องลดการผลิต ลดต้นทุน ซึ่งมักจะนำไปสู่การ ลดค่าจ้างหรือปลดคนงานออก ซึ่งทำให้รายได้ของประชาชนยิ่งลดลงไปอีก ทำให้กำลังซื้อและความต้องการสินค้าลดลงไปอีก เป็นวงจรป้อนกลับที่เลวร้าย (Deflationary Spiral)
นอกจากนี้ ภาวะเงินฝืดยังทำให้ ภาระหนี้สินที่แท้จริงเพิ่มขึ้น สมมติว่าคุณมีหนี้อยู่จำนวนหนึ่ง รายได้ของคุณได้มาจากการขายสินค้า เมื่อราคาสินค้าลดลง รายได้ของคุณก็น้อยลงตามไปด้วย แต่จำนวนเงินที่คุณต้องชำระคืนเจ้าหนี้ยังคงเท่าเดิมเมื่อคิดเป็นตัวเงิน นั่นหมายความว่า เมื่อเทียบกับรายได้ที่ลดลง หนี้ของคุณกลับดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น ทำให้การชำระคืนหนี้ยิ่งยากลำบาก ซึ่งปัญหานี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั้งเกษตรกร ธุรกิจ และประชาชนทั่วไป และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดหนี้เสียจำนวนมากและธนาคารล้มละลาย
ธนาคารกลางในปัจจุบันเรียนรู้บทเรียนนี้เป็นอย่างดี พวกเขาจะพยายามอย่างยิ่งที่จะป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืดขึ้น โดยมักจะตั้งเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำแต่เป็นบวก (เช่น 2%) เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักของภาวะเงินฝืดและกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการใช้จ่ายและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
๑๑. ทำไมเราต้องศึกษาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในวันนี้?
คุณอาจสงสัยว่า ทำไมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้วถึงยังมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับเราในฐานะนักลงทุนยุคปัจจุบัน?
เหตุผลแรกเลยก็คือ ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย แม้รายละเอียดจะแตกต่างกันไป แต่กลไกพื้นฐานบางอย่างที่นำไปสู่วิกฤต เช่น ภาวะฟองสบู่ การเก็งกำไรที่ขาดสติ ปัญหาหนี้สินที่มากเกินไป และการขาดความเชื่อมั่นในระบบ ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในยุคสมัยใหม่ การศึกษา Great Depression ช่วยให้เรามองเห็นสัญญาณเตือนเหล่านี้ได้ชัดเจนขึ้น
ประการที่สอง การศึกษา Great Depression ช่วยให้เรา เข้าใจบทบาทของนโยบายเศรษฐกิจและภาครัฐ ได้ดีขึ้น เราได้เห็นว่านโยบายการเงินและการคลังสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหาภาคได้อย่างมหาศาล ทั้งในทางที่ดีและทางที่เลวร้าย การทำความเข้าใจว่ารัฐบาลและธนาคารกลางอาจตอบสนองต่อวิกฤตอย่างไร ช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์แนวโน้มทางเศรษฐกิจกาและการตลาดได้ในระดับหนึ่ง
ประการที่สาม บทเรียนจาก Great Depression สอนให้เรา ตระหนักถึงความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลก วิกฤตการณ์ในประเทศหนึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การค้า การลงทุน และระบบการเงิน การเข้าใจถึงความเชื่อมโยงนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของตนเองได้ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก
ประการสุดท้าย การศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจช่วยให้เรามี มุมมองระยะยาว และเข้าใจว่าความผันผวนเป็นส่วนหนึ่งของวงจรเศรษฐกิจ บางครั้งวิกฤตการณ์ก็เกิดขึ้นได้ แต่เศรษฐกิจก็สามารถฟื้นตัวได้เช่นกัน ความรู้ความเข้าใจนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาความสงบ มีวินัย และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น ไม่ตื่นตระหนกไปกับความผันผวนระยะสั้น
สำหรับคุณที่กำลังศึกษาเรื่องการลงทุน โดยเฉพาะการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค การทำความเข้าใจ Great Depression ถือเป็นรากฐานที่สำคัญ มันช่วยให้เราเห็นภาพรวมว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาล สภาวะในภาคการผลิต ภาคการเงิน หรือพฤติกรรมของนักลงทุน สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนได้อย่างไรบ้าง
การเรียนรู้จากอดีตคือการเตรียมตัวสำหรับอนาคตครับ
๑๒. สรุปและบทเรียนสู่การลงทุนในยุคปัจจุบัน
ตลอดการเดินทางสำรวจ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เราได้เห็นถึงความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ ตั้งแต่การล่มสลายของตลาดหุ้น ปัญหาในภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริง ไปจนถึงความยากลำบากแสนสาหัสของผู้คน และความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาวิกฤต
วิกฤตการณ์ครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อน และแสดงให้เห็นว่าเมื่อปัจจัยลบหลายๆ อย่างรวมตัวกันอย่างเป็นระบบ (Systemic Risk) ก็สามารถนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจได้
บทเรียนสำคัญที่เราได้รับจาก Great Depression และยังคงมีความสำคัญสำหรับนักลงทุนในยุคปัจจุบัน ได้แก่:
- ความสำคัญของการกำกับดูแลทางการเงิน: ตลาดการเงินที่ไร้การควบคุมหรือมีการเก็งกำไรที่มากเกินไปเป็นแหล่งเพาะวิกฤตชั้นดี
- อันตรายของปัญหาหนี้สินและฟองสบู่: ไม่ว่าจะเป็นหนี้ภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคครัวเรือน เมื่ออยู่ในระดับที่สูงเกินไปและราคาสินทรัพย์ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ก็สามารถเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดวิกฤตได้
- บทบาทของนโยบายเศรษฐกิจมหภาค: การตอบสนองของรัฐบาลและธนาคารกลางมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤต และสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้
- ความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลก: วิกฤตในประเทศหนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังประเทศอื่นๆ ได้ ดังนั้นการมองภาพเศรษฐกิจโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- ความสำคัญของความเชื่อมั่น: ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ธุรกิจ และผู้บริโภค เป็นปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤต
ในฐานะนักลงทุน เราไม่สามารถควบคุมให้วิกฤตไม่เกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับมันได้ การทำความเข้าใจสาเหตุและผลกระทบของ Great Depression ช่วยให้เราตระหนักถึงความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางการลงทุนของเรา
จำไว้ว่า การลงทุนที่ดีไม่ได้มีเพียงแค่การเลือกสินทรัพย์ที่ดี แต่ยังรวมถึงการเข้าใจถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคและความเสี่ยงในระบบด้วยครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณศึกษาเรื่องราวทางเศรษฐกิจที่สำคัญนี้อย่างลึกซึ้งต่อไปนะครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับthe great depression คือ
Q:ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่คืออะไร?
A:มันคือช่วงเวลาของวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรงและยาวนานที่สุดที่โลกเคยเผชิญมา เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1929 และกระทบไปทั่วโลก
Q:เหตุใดตลาดหุ้นจึงตกในปี ค.ศ. 1929?
A:ตลาดหุ้นตกเกิดจากการเก็งกำไรและความเชื่อมั่นที่สูงเกินจริง จนสุดท้ายฟองสบู่ทางการเงินแตกออกอย่างรวดเร็ว
Q:นโยบาย New Deal คืออะไร?
A:นโยบาย New Deal คือชุดมาตรการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่