บทนำ: ทำไม Swing Trade ถึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย?
ในยุคที่ตลาดการลงทุนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นักลงทุนชาวไทยหลายคนกำลังมองหาวิธีที่ช่วยให้ได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ โดยไม่ต้องทุ่มเทเวลามากเกินไปและยังควบคุมความเสี่ยงได้ดีพอสมควร การเทรดแบบสวิง หรือที่รู้จักกันในชื่อ Swing Trade จึงกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น มันให้ความยืดหยุ่นมากกว่าการเทรดรายวัน แต่ก็เร็วกว่าการถือหุ้นยาวๆ กลยุทธ์นี้เน้นจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงสั้นๆ ถึงปานกลาง ซึ่งอาจยาวนานตั้งแต่สองสามวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ เหมาะสำหรับคนที่งานยุ่งแต่ยังอยากทำกำไรจากตลาด บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการของการเทรดสวิงอย่างละเอียด รวมถึงขั้นตอนเริ่มต้นในตลาดหุ้นไทยที่เข้าถึงง่าย

Swing Trade คืออะไร? ทำความเข้าใจแก่นแท้ของการเทรดสวิง
การเทรดแบบสวิงคือวิธีการลงทุนที่มุ่งหาผลกำไรจากความผันผวนของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงปานกลาง โดยปกติจะถือสินทรัพย์ไว้นานไม่กี่วันจนถึงสองสามสัปดาห์ ซึ่งต่างจากการลงทุนระยะยาวที่รอนานกว่านั้น หรือการเทรดรายวันที่ปิดตำแหน่งภายในวันเดียว สิ่งสำคัญคือการจับจุดเปลี่ยนจากระดับต่ำสุดไปสู่สูงสุด หรือกลับกันของราคาเหล่านี้
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น มาดูความหมายของจุดสำคัญสองประการนี้กัน
* **จุดสูงสุดของการแกว่งตัว (Swing High):** หมายถึงจุดสูงสุดที่ราคาไปถึง โดยมีแท่งเทียนอย่างน้อยสองแท่งทางซ้ายและขวาที่มีจุดสูงต่ำกว่ามัน สัญญาณนี้บอกว่าความแรงของการขึ้นอาจเริ่มแผ่วลง และราคาอาจหันหัว
* **จุดต่ำสุดของการแกว่งตัว (Swing Low):** หมายถึงจุดต่ำสุดที่ราคาตกถึง โดยมีแท่งเทียนอย่างน้อยสองแท่งทางซ้ายและขวาที่มีจุดต่ำสูงกว่ามัน สัญญาณนี้ชี้ว่าความแรงของการลงอาจอ่อนตัว และราคาอาจเด้งขึ้น
ผู้ที่เทรดแบบสวิงมักอาศัยเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น อินดิเคเตอร์ แนวรับแนวต้าน และรูปแบบแท่งเทียน เพื่อค้นหาจุดเหล่านี้ จากนั้นจึงกำหนดจุดซื้อที่เหมาะสม (ใกล้จุดต่ำสุดในแนวโน้มขึ้น) จุดขายทำกำไร (ใกล้จุดสูงสุด) และจุดหยุดขาดทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงหากตลาดไม่เป็นไปตามคาด ตามข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) การทำความคุ้นเคยกับกราฟพื้นฐานและเครื่องมือเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับความสำเร็จในการลงทุน ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ข้อดีและข้อเสียของการเทรดแบบ Swing Trade
ก่อนจะลงมือใช้กลยุทธ์ Swing Trade นักลงทุนไทยควรชั่งน้ำหนักทั้งด้านบวกและลบให้ดี เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ส่วนตัว
**ด้านดีของการเทรดแบบสวิง:**
* **ประหยัดเวลา:** ไม่ต้องจ้องหน้าจอทั้งวันเหมือนเทรดรายวัน เหมาะสำหรับคนที่มีงานประจำหรือกิจกรรมอื่นๆ ต้องดูแล
* **โอกาสกำไรสูงในบางสถานการณ์:** การถือไว้นานกว่าเล็กน้อยช่วยให้จับการเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ได้ ทำให้กำไรต่อครั้งอาจมากกว่าเทรดสั้นๆ
* **ลดแรงกดดันทางใจ:** ไม่ต้องตัดสินใจบ่อยๆ ลดความเครียดจากอารมณ์ที่พลุ่งพล่านระหว่างเฝ้าตลาด
* **มีเวลาคิดวิเคราะห์:** ด้วยกรอบเวลาที่กว้างขึ้น คุณสามารถพิจารณาข้อมูลกราฟและปัจจัยอื่นๆ อย่างละเอียดก่อนลงมือ
* **ค่าธรรมเนียมต่ำกว่า:** เนื่องจากเทรดไม่บ่อยเท่าเทรดรายวัน จึงประหยัดค่าคอมมิชชั่นและรายจ่ายอื่นๆ ได้มาก
**ด้านลบของการเทรดแบบสวิง:**
* **เสี่ยงจากข่าวกะทันหัน:** การถือข้ามคืนหรือหลายวันอาจเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดนอกเวลาตลาด ซึ่งกระทบราคาอย่างหนักเมื่อเปิดตลาด
* **ต้องมีความรู้เทคนิค:** ต้องเข้าใจกราฟ อินดิเคเตอร์ และรูปแบบราคาในระดับหนึ่งจึงจะทำได้ดี
* **ความเสี่ยงข้ามคืน:** หากตลาดแกว่งแรงตอนกลางคืน อาจเกิดช่องว่างราคาที่ทำให้จุดหยุดขาดทุนไม่ทำงานตามแผน
* **อาจพลาดกำไรระยะสั้น:** ถ้ามีการเคลื่อนไหวเร็วในช่วงสั้น คุณอาจไม่ทันเข้าทำกำไร
ในตลาดหุ้นไทย หุ้นขนาดกลางและเล็กมักผันผวนสูง ซึ่งเปิดโอกาสให้เทรดสวิงได้ดี แต่ก็ต้องระวังความเสี่ยงที่ตามมา นักลงทุนจึงควรพิจารณาทุกมุมอย่างรอบคอบก่อนเริ่ม

Swing Trade vs. Day Trade vs. Scalping: เลือกกลยุทธ์ไหนที่ใช่คุณ?
การเทรดในช่วงสั้นถึงปานกลางมีรูปแบบหลักๆ สามแบบที่นักลงทุนชื่นชอบ คือ Swing Trade, Day Trade และ Scalping Trade การรู้จักความแตกต่างจะช่วยให้คุณเลือกวิธีที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ เวลา และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
คุณสมบัติ | Scalping Trade | Day Trade | Swing Trade |
---|---|---|---|
ระยะเวลาถือครอง | ไม่กี่วินาที – ไม่กี่นาที | ภายในวันเดียว (ไม่ถือข้ามคืน) | ไม่กี่วัน – หลายสัปดาห์ |
เป้าหมายทำกำไร | กำไรเล็กน้อย หลายครั้ง | กำไรปานกลางจากความผันผวนรายวัน | กำไรก้อนใหญ่จากการแกว่งตัวของราคา |
ความถี่ในการซื้อขาย | สูงมาก (หลายสิบถึงร้อยครั้งต่อวัน) | ปานกลางถึงสูง (หลายครั้งต่อวัน) | ต่ำ (ไม่กี่ครั้งต่อสัปดาห์/เดือน) |
ความเสี่ยง | สูงมาก (แต่ควบคุมได้ด้วย Stop Loss ที่แคบ) | สูง (แต่ไม่มีความเสี่ยงข้ามคืน) | ปานกลาง (มีความเสี่ยงข้ามคืน) |
เวลาที่ใช้ | เฝ้าหน้าจอเกือบตลอดเวลา | เฝ้าหน้าจอเกือบตลอดเวลาทำการ | ไม่จำเป็นต้องเฝ้าจอต่อเนื่อง |
ความรู้ทางเทคนิค | สูงมาก (ต้องอ่านกราฟเร็ว) | สูง | ปานกลางถึงสูง |
**Swing Trade แตกต่างจาก Day Trade อย่างไร:**
จุดต่างหลักคือระยะเวลาที่ถือสินทรัพย์ Day Trade จะปิดทุกอย่างก่อนตลาดปิดเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงข้ามคืน แต่ Swing Trade ยอมถือไว้นานกว่าเพื่อจับการแกว่งใหญ่ๆ แม้จะเสี่ยงจากข่าวนอกเวลา แต่ Day Trade ต้องเทรดบ่อยและจ้องจอมากกว่า
**Scalping Trade คืออะไร:**
นี่คือรูปแบบที่สั้นที่สุด โดยทำกำไรเล็กๆ จากการเคลื่อนไหวราคาแค่ไม่กี่ติ๊ก ในเวลาไม่กี่วินาทีถึงนาที Scalper เทรดจำนวนมากและบ่อยเพื่อสะสมกำไร มันเครียดและต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วแม่นยำ
สำหรับคนไทยที่มีงานประจำและเวลาจำกัด Swing Trade จึงดูน่าสนใจ เพราะยืดหยุ่นกว่า Day Trade กับ Scalping แต่ยังให้โอกาสกำไรดีกว่าถือยาวอย่างเดียว โดยเฉพาะในตลาดที่ผันผวนแบบไทย
แกะรอยกลยุทธ์ Swing Trade ที่พิสูจน์แล้ว (พร้อมตัวอย่างในตลาดหุ้นไทย)
กลยุทธ์ Swing Trade มีหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่ยึดวิเคราะห์ทางเทคนิค มาดูตัวอย่างยอดนิยมที่นำไปใช้ในตลาดหุ้นไทยได้จริง โดยใช้แนวคิดเชิงทฤษฎีเพื่อให้เข้าใจง่าย
1. การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following)
วิธีนี้คือการตามน้ำ โดยซื้อเมื่อราคาเริ่มขึ้นชัดเจนและขายเมื่อเริ่มลง ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) เป็นตัวช่วยหลัก
* **แนวคิดหลัก:** ราคามักเดินตามแนวโน้มต่อเนื่อง ถ้าแนวโน้มขึ้น ก็เข้าซื้อตามนั้นเพื่อให้กำไรไหล
* **เทคนิคการใช้:** เลือก MA เช่น 10 วัน 20 วัน หรือ 50 วัน
* **จุดเข้า:** เมื่อราคาตัดขึ้นเหนือ MA หรือ MA สั้นตัด MA ยาว (Golden Cross) เช่น หุ้น AOT ที่ราคาขึ้นต่อเนื่องและ MA 10 วันตัด MA 50 วันขึ้น แสดงแนวโน้มแข็งแกร่ง สามารถเข้าซื้อหลังยืนยัน
* **จุดออกทำกำไร:** เมื่อราคาเริ่มแผ่วหรือ MA สั้นตัด MA ยาวลง (Death Cross)
* **จุดหยุดขาดทุน:** วางต่ำกว่าจุดต่ำสุดล่าสุดหรือต่ำกว่า MA ที่ใช้
2. การเทรดสวนแนวโน้ม (Counter-Trend Trading)
เข้าซื้อเมื่อราคาตกถึงแนวรับแข็ง และขายเมื่อถึงแนวต้าน โดยหวังว่าราคาจะเด้งกลับ
* **แนวคิดหลัก:** ตลาดแกว่งเสมอ แนวรับสำคัญมักมีแรงซื้อเด้งขึ้น แนวต้านมีแรงขายกดลง
* **เทคนิคการใช้:** อาศัยแนวรับแนวต้าน (Support & Resistance)
* **จุดเข้า:** ราคาทดสอบแนวรับและมีสัญญาณเด้ง เช่น หุ้น CPALL ที่แนวรับ 60 บาท ราคาย่อลงมาแล้วเกิดแท่งเทียนเด้งขึ้นอย่าง Hammer หรือ Bullish Engulfing เข้าซื้อได้
* **จุดออกทำกำไร:** ถึงแนวต้านถัดไป หรือตามอัตราส่วนเสี่ยงกำไรที่วางไว้
* **จุดหยุดขาดทุน:** ต่ำกว่าแนวรับนิดหน่อย
3. การใช้ Candlestick Patterns (รูปแบบแท่งเทียน)
แท่งเทียนช่วยอ่านอารมณ์ตลาดและหาจุดเปลี่ยนหรือต่อเนื่องแนวโน้ม
* **แนวคิดหลัก:** แต่ละรูปแบบสะท้อนจิตวิทยานักลงทุน บอกทิศทางราคาได้
* **เทคนิคการใช้:** หารูปแบบเด้งกลับอย่าง Hammer, Morning Star, Engulfing หรือต่อเนื่องอย่าง Flag, Pennant
* **จุดเข้า:** รูปแบบเด้งขึ้นที่จุดต่ำสุดหรือแนวรับ เช่น หุ้น GULF ที่ย่อลงแล้วเกิด Morning Star บนกราฟรายวัน สัญญาณขึ้นชัด
* **จุดออกทำกำไร:** ถึงแนวต้านหรือรูปแบบเด้งลง
* **จุดหยุดขาดทุน:** ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของรูปแบบนั้น
นักเทรดสวิงมักผสมกลยุทธ์เหล่านี้ และใช้กรอบเวลากว้างอย่างรายวันหรือ 4 ชั่วโมง เพื่อกรองสัญญาณรบกวน จับแกว่งใหญ่ได้แม่นยำกว่า ในตลาดไทยที่หุ้นผันผวน การฝึกใช้กรอบเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้มาก
การบริหารความเสี่ยงและจิตวิทยาการเทรดสำหรับ Swing Trader ในไทย
สองสิ่งนี้คือการบริหารเงินและจิตใจ ซึ่งแยกคนเก่งจากคนธรรมดา โดยเฉพาะในตลาดไทยที่แกว่งแรง ถ้าทำดี จะช่วยให้อยู่รอดและเติบโตได้ยั่งยืน
การบริหารความเสี่ยง (Money Management)
* **ขนาดลงทุนต่อรอบ:** เสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของทุนทั้งหมดต่อเทรด เช่น ทุน 100,000 บาท เสี่ยงสูงสุด 1,000-2,000 บาทต่อครั้ง เพื่อไม่ให้ทุนหมดเร็ว
* **จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss):** ต้องตั้งทุกครั้ง ไม่ว่าจะมั่นใจแค่ไหน เพื่อตัดขาดทุนถ้าตลาดพลิก
* **จุดทำกำไร (Take Profit):** วางแผนชัด เช่น เป้าราคาหรือ Trailing Stop เพื่อล็อกกำไรเมื่อราคาวิ่งดี
* **อัตราส่วนเสี่ยงกำไร (Risk/Reward Ratio):** เลือกเทรดที่กำไรคาดหวังมากกว่าเสี่ยง 2-3 เท่า เช่น เสี่ยง 1 เพื่อกำไร 2
จิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology)
* **จัดการอารมณ์: กลัวและโลภ:** สองตัวนี้ทำลายนักลงทุนไทยหลายคน กลัวทำให้พลาดโอกาสดี โลภทำให้ถือยาวเกินจนกำไรหาย หรือทุ่มเกินตัว
* **หลีกเลี่ยงตามกระแส:** หลายคนตามข่าวโดยไม่วิเคราะห์จริงจัง นำไปสู่ขาดทุนหนัก
* **อย่ายึดติด:** “รักหุ้น” หรือ “ติดดอย” โดยหวังฟลุ๊ค มักทำให้เสียมากกว่าได้
* **แผนเทรดชัดเจน:** ก่อนเทรด ต้องรู้จุดเข้า ออก หยุดขาดทุน และเหตุผลทุกอย่าง
* **บันทึกการเทรด:** จดทุกดีล เหตุผล ผลลัพธ์ เพื่อเรียนรู้และปรับปรุง
* **ยอมรับผิดพลาด:** เทรดคือเกมที่ขาดทุนได้บ้าง ยอมรับขาดทุนเล็กเพื่อรอโอกาสใหญ่
วินัยในแผนและอารมณ์คือกุญแจสู่ความสำเร็จระยะยาว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้ำว่าการบริหารเสี่ยงช่วยให้ลงทุนยั่งยืน ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เลือกโบรกเกอร์ (Broker) อย่างไรให้เหมาะกับ Swing Trade ในไทย?
โบรกเกอร์ที่ดีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนสำหรับ Swing Trader ชาวไทย มาดูปัจจัยหลักที่ควรเช็คก่อนเลือก
* **ค่าคอมมิชชั่น:** เปรียบเทียบอัตรา บางเจ้า固定 บางขั้นบันได หรือมีโปรใหม่ เลือกให้ตรงกับปริมาณเทรดของคุณ
* **แพลตฟอร์ม:** ต้องใช้งานสะดวก เสถียร ข้อมูลเรียลไทม์ มีกราฟและอินดิเคเตอร์ครบ เช่น Streaming by Settrade ทดลองเดโมก่อน
* **ความมั่นคงระบบ:** ไม่ล่มง่าย โดยเฉพาะตอนตลาดวุ่นวาย เพื่อส่งออร์เดอร์ทัน
* **บริการลูกค้า:** ช่วยเหลือเร็วและดี เมื่อมีปัญหา
* **สินทรัพย์ที่เทรด:** ถ้าอยากขยายไป Forex หรืออนุพันธ์ เลือกเจ้าที่รองรับ
* **เครื่องมือเสริม:** บางแห่งมีบทวิเคราะห์ สัมมนา ช่วยพัฒนาทักษะ
* **ความน่าเชื่อถือ:** ต้องได้รับอนุมัติจาก ก.ล.ต. เพื่อปกป้องเงินทุน
ลองเปรียบหลายเจ้าก่อนเปิดบัญชี จะได้ตัวเลือกที่เหมาะกับ Swing Trade จริงๆ
สรุป: เส้นทางสู่การเป็น Swing Trader ที่ประสบความสำเร็จ
Swing Trade ให้สมดุลระหว่างกำไรและเวลา ทำให้เป็นกลยุทธ์ยอดฮิตสำหรับนักลงทุนไทยที่อยากทำเงินในช่วงสั้นปานกลาง การเข้าใจหลักการ จุดสูงต่ำ ข้อดีลบ และเปรียบเทียบกับรูปแบบอื่น จะช่วยให้เริ่มต้นมั่นใจ
ความสำเร็จไม่ใช่แค่กลยุทธ์ดี แต่ต้องมีวินัยบริหารเสี่ยง ควบคุมใจ และเรียนรู้ไม่หยุด การเลือกโบรกเกอร์ดีก็ช่วยเสริมแรง
จำไว้ว่าทุกการลงทุนเสี่ยง ศึกษาฝึกฝนและปรับแผนต่อเนื่องคือทางสู่เป้าหมาย เรียนจากทั้งชนะและแพ้ เพื่อเติบโตในตลาดหุ้นไทยอย่างยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. Swing Trade คืออะไร ต่างจากการลงทุนระยะยาวอย่างไร?
Swing Trade คือการเทรดที่เน้นกำไรจากความแกว่งของราคาในช่วงสั้นถึงปานกลาง โดยถือสินทรัพย์ไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์ ขณะที่การลงทุนระยะยาวคือการถือไว้นานหลายเดือนถึงปี เพื่อรอการเติบโตของธุรกิจและราคายาวๆ โดยไม่จับจังหวะสั้น
2. ต้องมีเงินทุนเท่าไหร่ถึงจะเริ่ม Swing Trade หุ้นไทยได้?
ไม่มีตัวเลขตายตัว แต่แนะนำทุนที่พอกระจายเสี่ยงและไม่กระทบชีวิตถ้าขาดทุน สำหรับมือใหม่ เริ่มหลักหมื่นบาทก็ได้ โดยเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ต่อเทรด เพื่อความปลอดภัย
3. Swing Trade ใช้เวลานานแค่ไหนในการทำกำไรแต่ละครั้ง?
ปกติถือ 2-3 วันถึง 2-3 สัปดาห์ กำไรเกิดเมื่อราคาถึงเป้าที่วางไว้ ขึ้นกับความผันผวนตลาดและกลยุทธ์ที่เลือกใช้
4. มือใหม่หัด Swing Trade ควรเริ่มต้นอย่างไรในตลาดหุ้นไทย?
มือใหม่ควร:
- เรียนพื้นฐานเทคนิค เช่น แท่งเทียน แนวรับต้าน อินดิเคเตอร์เบื้องต้น
- เปิดเดโมกับโบรกเกอร์เพื่อฝึกจริงโดยไม่เสียเงิน
- เริ่มทุนน้อย บริหารเสี่ยงเคร่งครัด
- วางแผนเทรดชัดและยึดมั่น
- จดบันทึกและเรียนจากทุกเทรด
5. มีโบรกเกอร์ไทยเจ้าไหนบ้างที่เหมาะกับการทำ Swing Trade?
โบรกเกอร์ไทยส่วนใหญ่รองรับ แต่เลือกจากค่าคอม แพลตฟอร์มเสถียร เครื่องมือวิเคราะห์ และบริการดี เช่น บล.กสิกรไทย, บล.บัวหลวง, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.หยวนต้า (ศึกษาข้อมูลเอง ไม่ใช่คำแนะนำเฉพาะ)
6. Swing Trade มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และจะบริหารจัดการได้อย่างไร?
เสี่ยงหลักคือข่าวนอกเวลาและผันผวนราคา จัดการโดย:
- ตั้ง Stop Loss ทุกครั้งเพื่อจำกัดขาดทุน
- เสี่ยงไม่เกิน 1-2% ต่อเทรด
- กระจายไม่ทุ่มตัวเดียว
- เลี่ยงเทรดช่วงข่าวใหญ่หรืองบการเงิน
7. การทำ Swing Trade ต้องเสียภาษีอย่างไรในประเทศไทย?
กำไรขายหุ้นใน SET ยกเว้นภาษีบุคคล แต่บางสินทรัพย์อย่างอนุพันธ์หรือ Forex ต้องเสียตามปกติ เงินปันผลอาจหัก ณ ที่จ่าย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือกรมสรรพากรให้ชัวร์ ที่มา: กรมสรรพากร
8. กราฟและอินดิเคเตอร์ตัวไหนบ้างที่นิยมใช้ในกลยุทธ์ Swing Trade?
เครื่องมือยอดนิยม ได้แก่:
- **กราฟแท่งเทียน:** หารูปแบบเด้งหรือต่อเนื่อง
- **Moving Averages (MA):** ดูแนวโน้มและจุดเข้า/ออก
- **Support & Resistance:** จุดเด้งสำคัญ
- **RSI:** เช็ค overbought/oversold
- **MACD:** ดูโมเมนตัมและสัญญาณ
9. ถ้าติดดอย (ติดหุ้น) จาก Swing Trade ควรทำอย่างไร?
ถ้าติดดอย ให้ยึดแผนเดิม โดยเฉพาะ Stop Loss ที่วางไว้ ถ้าไม่ได้ตั้งหรือเกินจุดยอมรับ ตัดขาดทุนเพื่อรักษาวินัยและทุนไว้รอโอกาสใหม่ การยื้อทำให้เสียมากกว่า
10. Swing High และ Swing Low มีความสำคัญอย่างไรกับการเทรดสวิง?
จุดเหล่านี้สำคัญเพราะช่วย:
- ระบุแนวโน้มราคา
- กำหนดแนวรับต้านหลัก
- หาจุดเข้าซื้อใกล้ Swing Low ในขาขึ้น
- จุดทำกำไรใกล้ Swing High
- ตั้ง Stop Loss อย่างมีเหตุผล