สเปรด คืออะไร? ทำความเข้าใจต้นทุนและตัวชี้วัดในตลาดการเงิน 2025

สเปรด คืออะไร? ไขความกระจ่างต้นทุนและตัวชี้วัดสำคัญในตลาดการเงิน

สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจคำสำคัญคำหนึ่งที่คุณจะต้องเจออย่างแน่นอนในโลกของการลงทุนและการเทรด นั่นคือคำว่า “สเปรด” หลายคนอาจจะเคยได้ยินหรือเห็นตัวเลขนี้แวบๆ ในโปรแกรมเทรด แต่ทราบไหมครับว่า สเปรด คืออะไรกันแน่ และมันมีความสำคัญกับเราอย่างไรบ้างในฐานะเทรดเดอร์หรือนักลงทุน? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องสเปรด ทั้งในตลาด Forex ที่หลายคนคุ้นเคย และในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเป็นอีกมิติที่น่าสนใจครับ

การเคลื่อนไหวของตลาดการเงิน

นิยามพื้นฐานของ “สเปรด”

ในความหมายที่ง่ายที่สุด สเปรด คือ ส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Ask Price) ของสินทรัพย์ทางการเงินใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคู่สกุลเงิน หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือตราสารหนี้

ลองนึกภาพตามนะครับ เมื่อคุณต้องการซื้อสินทรัพย์ คุณจะต้องซื้อที่ราคาที่ผู้ขายเสนอขาย (Ask Price) ซึ่งมักจะสูงกว่าราคาที่ผู้ซื้อเสนอซื้อ (Bid Price) ในขณะเดียวกัน เมื่อคุณต้องการขายสินทรัพย์ คุณจะต้องขายที่ราคาที่ผู้ซื้อเสนอซื้อ (Bid Price) ซึ่งมักจะต่ำกว่าราคาที่ผู้ขายเสนอขาย ส่วนต่างตรงนี้แหละครับ คือ สเปรด

ในอีกมุมมองหนึ่ง สเปรดถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ ค่าธรรมเนียม หรือ ต้นทุนการเทรด ที่ผู้ซื้อขายต้องจ่ายให้กับผู้ให้บริการสภาพคล่อง หรือโบรกเกอร์ นั่นเอง โดยต้นทุนนี้จะถูกรวมอยู่ในราคาของสินทรัพย์ที่คุณเห็นแล้ว ไม่ได้มีการบวกเพิ่มเป็นค่าคอมมิชชั่นแยกต่างหาก (เว้นแต่บัญชีประเภทอื่นที่มีการคิดค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม)

ประเภท คำจำกัดความ
สเปรด ส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask
Bid Price ราคาที่ผู้ซื้อพร้อมจ่าย
Ask Price ราคาที่ผู้ขายต้องการขาย

ประเภทของสเปรดในตลาด Forex

สำหรับตลาด Forex ซึ่งเป็นการซื้อขายคู่สกุลเงิน สเปรดที่พบเห็นได้ทั่วไปมีสองประเภทหลักๆ ครับ คือ:

  • สเปรดคงที่ (Fixed Spread): สเปรดประเภทนี้จะมีค่าคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดหรือความผันผวน ยกเว้นในช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงมากๆ หรือสภาพคล่องต่ำมากๆ โบรกเกอร์บางแห่งอาจปรับสเปรดคงที่ให้กว้างขึ้นชั่วคราวได้ ข้อดีคือคุณสามารถคำนวณต้นทุนการเทรดล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ข้อเสียคือค่าสเปรดมักจะสูงกว่าสเปรดลอยตัวเล็กน้อยในสภาวะตลาดปกติ
  • สเปรดลอยตัว (Variable/Floating Spread): สเปรดประเภทนี้จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามสภาพคล่องและความผันผวนในตลาดเป็นหลัก ข้อดีคือในสภาวะตลาดปกติที่มีสภาพคล่องสูง สเปรดลอยตัวมักจะแคบกว่าสเปรดคงที่ ทำให้ต้นทุนการเทรดต่ำกว่า แต่ข้อเสียคือสเปรดสามารถถ่างกว้างขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสำคัญๆ ซึ่งเราจะลงรายละเอียดในหัวข้อถัดไป

โบรกเกอร์ Forex ส่วนใหญ่มักจะเสนอสเปรดทั้งสองประเภท หรืออาจมีบัญชีประเภทที่เน้นสเปรดลอยตัวที่แคบมากๆ แต่แลกมาด้วยค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมครับ

ภาพการเทรดใน Forex

ทำไมสเปรดจึงสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Forex?

สำหรับเทรดเดอร์ โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นการเทรดระยะสั้นมากๆ เช่น Scalping หรือ Sniper ที่เปิดปิดออเดอร์บ่อยครั้งและหวังผลกำไรจากส่วนต่างราคาเพียงเล็กน้อย ค่าสเปรดมีผลอย่างมหาศาลต่อผลกำไรขาดทุนของคุณครับ

ลองคิดดูนะครับ หากคุณเปิดออเดอร์ซื้อคู่เงินหนึ่ง สเปรดคือต้นทุนที่คุณต้องจ่ายทันทีที่เปิดตำแหน่ง นั่นหมายความว่า ราคาของสินทรัพย์จะต้องขยับขึ้นไปอย่างน้อยเท่ากับค่าสเปรดที่คุณจ่าย คุณถึงจะเริ่มเท่าทุน และหลังจากนั้นถึงจะเป็นกำไร

  • สเปรดต่ำ: หมายถึง ต้นทุนการเทรดต่ำ คุณเริ่มต้นที่จุดที่ใกล้เคียงกับราคาปัจจุบันมากขึ้น ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น
  • สเปรดสูง: หมายถึง ต้นทุนการเทรดสูง คุณต้องรอให้ราคาขยับไปไกลกว่าเดิมเพื่อที่จะเท่าทุนและเริ่มทำกำไร
สเปรดต่ำ สเปรดสูง
ต้นทุนการเทรดต่ำ ต้นทุนการเทรดสูง
โอกาสทำกำไรได้ง่ายขึ้น ต้องรอให้ราคาขยับไปไกล

ดังนั้น การพิจารณา ค่าสเปรด จึงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในการเลือกโบรกเกอร์ Forex คุณสามารถดูค่าสเปรดแบบเรียลไทม์ได้ในโปรแกรมเทรดที่คุณใช้งาน เช่น ในหน้าต่าง Market Watch ของ MT4/MT5 โดยจะแสดงเป็นตัวเลขส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask

เจาะลึกปัจจัยที่ทำให้ “สเปรดลอยตัว” เปลี่ยนแปลง

สำหรับสเปรดลอยตัว ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดที่เน้นต้นทุนต่ำในภาวะปกติ มีหลายปัจจัยที่สามารถทำให้มันถ่างกว้างขึ้นหรือแคบลงได้ตลอดเวลา คุณจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้เพื่อวางแผนการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพครับ

  • ความผันผวนของตลาด (Market Volatility): เมื่อตลาดมีความผันผวนสูง ราคาเคลื่อนไหวรวดเร็ว ผู้ให้บริการสภาพคล่องหรือโบรกเกอร์จะเพิ่มสเปรดเพื่อลดความเสี่ยงของตนเอง ดังนั้น ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง สเปรดมีแนวโน้มที่จะถ่างกว้างขึ้น
  • ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume / Liquidity): สภาพคล่องคือความง่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อปริมาณการซื้อขายสูง ตลาดมีสภาพคล่องสูง สเปรดมักจะแคบลง ในทางกลับกัน หากปริมาณการซื้อขายต่ำ สภาพคล่องน้อยลง สเปรดจะถ่างกว้างขึ้น
  • ช่วงเวลาเทรด (Trading Session): ช่วงเวลาที่ตลาดหลักของคู่สกุลเงินนั้นๆ เปิดทำการ เช่น ตลาดลอนดอน หรือตลาดนิวยอร์ก มักจะมีปริมาณการซื้อขายสูงและสเปรดจะแคบ แต่ในช่วงที่ตลาดปิด หรือเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างตลาดเปิด-ปิด หรือช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปริมาณการซื้อขายจะลดลง ทำให้สเปรดถ่างกว้างขึ้น
  • ช่วงที่มีข่าวสำคัญ (Major News Events): การประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย, ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-Farm Payrolls) หรือการตัดสินใจนโยบายจากธนาคารกลาง มักจะทำให้เกิดความผันผวนสูงและปริมาณการซื้อขายที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลานี้ สเปรดสามารถถ่างกว้างขึ้นได้อย่างมาก และราคาอาจแกว่งตัวรุนแรง

การตอบสนองของตลาดต่อข่าวเศรษฐกิจ

การรับรู้และเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่สเปรดอาจถ่างกว้างขึ้นจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงต้นทุนการเทรดที่สูงเกินไป หรือวางแผนการเข้าออกออเดอร์ได้อย่างเหมาะสม

สเปรดส่งผลต่อการส่งคำสั่งเทรดอย่างไร? (SL/TP)

อีกประเด็นสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม คือสเปรดมีผลต่อการทำงานของคำสั่งหยุดขาดทุน (Stop Loss – SL) และคำสั่งทำกำไร (Take Profit – TP) ของคุณครับ ในโปรแกรมเทรด เช่น MT4/MT5 คุณจะเห็นเส้นสองเส้นคือเส้น Bid และเส้น Ask

  • เมื่อคุณเปิดออเดอร์ซื้อ (Buy): คำสั่งซื้อของคุณจะดำเนินการที่ราคา Ask แต่เมื่อคุณต้องการปิดออเดอร์ซื้อ (ขาย) คำสั่งของคุณจะดำเนินการที่ราคา Bid
  • เมื่อคุณเปิดออเดอร์ขาย (Sell): คำสั่งขายของคุณจะดำเนินการที่ราคา Bid แต่เมื่อคุณต้องการปิดออเดอร์ขาย (ซื้อ) คำสั่งของคุณจะดำเนินการที่ราคา Ask

คำสั่ง Stop Loss ของออเดอร์ซื้อจะทำงานเมื่อราคา Bid ลงมาถึงระดับ SL ที่ตั้งไว้ ในขณะที่คำสั่ง Take Profit ของออเดอร์ซื้อจะทำงานเมื่อราคา Bid ขึ้นไปถึงระดับ TP ที่ตั้งไว้

ส่วนคำสั่ง Stop Loss ของออเดอร์ขายจะทำงานเมื่อราคา Ask ขึ้นไปถึงระดับ SL ที่ตั้งไว้ และคำสั่ง Take Profit ของออเดอร์ขายจะทำงานเมื่อราคา Ask ลงมาถึงระดับ TP ที่ตั้งไว้

สิ่งนี้หมายความว่า แม้ว่าราคาที่คุณเห็นบนกราฟหลักอาจจะเป็นราคา Bid (ส่วนใหญ่) คุณต้องพิจารณาถึงราคา Ask ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตั้ง SL/TP สำหรับออเดอร์ขาย หรือเมื่อสเปรดถ่างกว้างขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงข่าว ซึ่งอาจทำให้ SL ของคุณถูก Trigger ได้ง่ายขึ้น แม้ว่าราคา Bid บนกราฟจะยังไม่ถึงก็ตามครับ

ย้ายมาที่ตลาดตราสารหนี้: ทำความรู้จัก “Credit Spread”

คำว่า “สเปรด” ไม่ได้มีเฉพาะในตลาด Forex เท่านั้นนะครับ ในตลาดตราสารหนี้ สเปรดมีความหมายที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย แต่ก็สำคัญไม่แพ้กัน ที่นั่นเราจะพูดถึง Credit Spread ครับ

Credit Spread คือ ส่วนต่างระหว่าง อัตราผลตอบแทน (Yield) ของตราสารหนี้ภาคเอกชน (หุ้นกู้) กับอัตราผลตอบแทนของ พันธบัตรรัฐบาล ที่มีอายุคงเหลือใกล้เคียงกัน โดยปกติแล้วพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ) จะถือเป็นสินทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยงด้านเครดิต (Risk-Free Asset) หรือมีความเสี่ยงต่ำที่สุด

ดังนั้น หุ้นกู้ของบริษัทเอกชน ซึ่งมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล จำเป็นต้องเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อจูงใจให้นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนตรงนี้แหละครับ คือ Credit Spread

Credit Spread บอกอะไรเราได้บ้าง?

Credit Spread เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญมาก มันสะท้อนถึง:

  • ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): ยิ่งบริษัทมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้สูงเท่าใด Credit Spread ก็จะยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นให้กับนักลงทุน
  • ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัท: Credit Spread ที่กว้างขึ้นหมายความว่าบริษัทต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเมื่อออกหุ้นกู้ใหม่ เพื่อระดมทุน
  • ความน่าเชื่อถือของบริษัทหรือภาวะเศรษฐกิจ:
    • Credit Spread กว้าง: บ่งชี้ว่าตลาดมีความกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท หรือกังวลต่อสุขภาพเศรษฐกิจโดยรวม นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นมากเพื่อถือหุ้นกู้
    • Credit Spread แคบ: บ่งชี้ว่าตลาดมีความเชื่อมั่นในความมั่นคงทางการเงินของบริษัท หรือมองว่าเศรษฐกิจกำลังแข็งแกร่ง นักลงทุนยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำลงในการถือหุ้นกู้

การวิเคราะห์ Credit Spread

ปัจจัยที่มีผลต่อ Credit Spread

เช่นเดียวกับสเปรดใน Forex, Credit Spread ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้เปลี่ยนแปลงได้:

  • อันดับเครดิตของผู้ออกหุ้นกู้ (Credit Rating): อันดับเครดิตที่ต่ำกว่า (เช่น หุ้นกู้ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Non-Investment Grade หรือ Junk Bond) จะมี Credit Spread สูงกว่าหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตสูงกว่าอย่างมาก
  • ภาวะเศรษฐกิจและวิกฤตเศรษฐกิจ: ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย หรือเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน ความกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น ทำให้ Credit Spread ทั่วทั้งตลาดถ่างกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • นโยบายของธนาคารกลาง: การตัดสินใจของธนาคารกลาง เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing – QE) โดยการเข้าซื้อตราสารหนี้ อาจส่งผลให้ Credit Spread แคบลงได้ เนื่องจากเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบและลดความเสี่ยงที่ตลาดมองว่ามีอยู่
  • ภูมิภาค/ประเทศของผู้ออกตราสาร: หุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทในประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศที่มีภาระหนี้สาธารณะสูง มักจะมี Credit Spread สูงกว่าหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตใกล้เคียงกันในประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจากมีความเสี่ยงเพิ่มเติมด้านอื่นๆ เช่น ความเสี่ยงทางการเมือง หรือความเสี่ยงด้านค่าเงิน
  • ระยะเวลาของตราสารหนี้ (Maturity): โดยทั่วไปแล้ว ตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือยาวนานกว่ามักจะต้องให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า (และมี Credit Spread ที่สูงกว่า) ตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า
ปัจจัยที่มีผลต่อ Credit Spread ผลกระทบ
อันดับเครดิตของผู้ออกหุ้นกู้ Credit Spread สูงเมื่ออันดับเครดิตต่ำ
ภาวะเศรษฐกิจ Credit Spread กว้างในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
นโยบายของธนาคารกลาง Credit Spread แคบลงเมื่อธนาคารกลางลดดอกเบี้ย

ความสัมพันธ์ระหว่าง Credit Spread กับตลาดหุ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือ Credit Spread มักมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับตลาดหุ้นครับ

  • เมื่อ Credit Spread แคบลง: แสดงว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในความมั่นคงทางการเงินของบริษัทเอกชนมากขึ้น ความเสี่ยงที่รับรู้ลดลง ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังดี หรือตลาดมองโลกในแง่ดี ในสภาวะเช่นนี้ ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้น
  • เมื่อ Credit Spread ถ่างกว้างขึ้น: แสดงว่านักลงทุนมีความกังวลต่อสุขภาพของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจมากขึ้น ความเสี่ยงที่รับรู้สูงขึ้น ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว หรือมีความไม่แน่นอนสูง ในสภาวะเช่นนี้ นักลงทุนมักจะโยกย้ายเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ไปสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล ทำให้ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวลง

การเปลี่ยนแปลงของ Credit Spread และตลาดหุ้น

ดังนั้น Credit Spread จึงเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญอย่างหนึ่งที่นักลงทุนควรติดตาม เพราะมันสามารถให้สัญญาณเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับทิศทางของตลาดหุ้นได้เช่นกันครับ

การเลือกโบรกเกอร์ Forex: มองหาสเปรดต่ำและปัจจัยอื่นๆ

กลับมาที่ตลาด Forex อีกครั้งครับ ในเมื่อสเปรดเป็นต้นทุนสำคัญ การเลือกโบรกเกอร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณควรพิจารณาโบรกเกอร์จากหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่สเปรดที่โฆษณาว่าต่ำเท่านั้น

  • ค่าสเปรดเฉลี่ยและประเภทบัญชี: ตรวจสอบค่าสเปรดเฉลี่ยของคู่เงินหลักที่คุณเทรดบ่อยๆ และดูว่าโบรกเกอร์เสนอประเภทบัญชีแบบไหนบ้าง (เช่น บัญชี Standard, Raw Spread, Zero Spread) และค่าสเปรดของแต่ละประเภทเป็นอย่างไร
  • ค่า Commission: สำหรับบัญชีประเภท Raw Spread หรือ Zero Spread แม้สเปรดจะต่ำมาก แต่ส่วนใหญ่มักจะมีค่าคอมมิชชั่นต่อการเทรด ดังนั้น ต้องคำนวณต้นทุนรวม (สเปรด + คอมมิชชั่น)
  • ค่า Swap (อัตราดอกเบี้ยข้ามคืน): หากคุณถือออเดอร์ข้ามคืน จะมีค่า Swap เกิดขึ้น ซึ่งเป็นได้ทั้งบวกหรือลบ ควรตรวจสอบค่า Swap ของคู่เงินที่คุณเทรดด้วย
  • การกำกับดูแลและความน่าเชื่อถือ: ความปลอดภัยของเงินทุนสำคัญที่สุด ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือ
  • ความเร็วในการส่งคำสั่ง (Execution Speed): โบรกเกอร์ที่ดีควรมีการส่งคำสั่งที่รวดเร็ว เพื่อให้ได้ราคาตามที่คุณต้องการ ลดปัญหา Slippage โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวน
  • แพลตฟอร์มการเทรด: รองรับแพลตฟอร์มที่คุณถนัดหรือไม่ เช่น MT4, MT5, หรือแพลตฟอร์มเฉพาะของโบรกเกอร์
  • บริการอื่นๆ: การบริการลูกค้า (เช่น มีซัพพอร์ตภาษาไทยหรือไม่), ช่องทางการฝากถอนเงิน, เครื่องมือช่วยเทรดต่างๆ

การวิเคราะห์โบรกเกอร์ Forex

หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มต้นทำการเทรดในตลาด Forex หรือสนใจในผลิตภัณฑ์ CFD ที่หลากหลาย ลองพิจารณา Moneta Markets เป็นหนึ่งในตัวเลือกของคุณดูครับ โบรกเกอร์นี้มีต้นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย นำเสนอสินทรัพย์ทางการเงินกว่า 1,000 รายการ ครอบคลุมความต้องการทั้งสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ

ในการตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ การพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ร่วมกับค่าสเปรด จะช่วยให้คุณเลือกแพลตฟอร์มที่คุ้มค่าและส่งเสริมการเทรดของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex ที่มีระบบการกำกับดูแลที่น่าเชื่อถือและสามารถเข้าถึงตลาดได้ทั่วโลก Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ได้รับความไว้วางใจ ด้วยใบอนุญาตกำกับดูแลจากหลายหน่วยงาน รวมถึง FSCA, ASIC, และ FSA นอกจากนี้ยังมีบริการเสริมครบครัน เช่น การแยกเงินทุนลูกค้าไว้ในบัญชีทรัสต์ บริการ VPS ฟรี และการสนับสนุนลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงเป็นภาษาไทย ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดจำนวนมาก

สรุป: สเปรด ตัวชี้วัดที่มากกว่าแค่ส่วนต่างราคา

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจคำว่า สเปรด คือ อะไร และมีความสำคัญอย่างไรในโลกการเงินนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสเปรดในตลาด Forex ที่เป็นต้นทุนการเทรดที่เราต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ หรือ Credit Spread ในตลาดตราสารหนี้ที่เป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพของภาคธุรกิจและภาวะเศรษฐกิจ

การทำความเข้าใจและติดตามการเปลี่ยนแปลงของสเปรด จะช่วยให้คุณประเมินต้นทุนการทำธุรกรรม ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และแม้กระทั่งให้มุมมองต่อทิศทางของตลาดในภาพรวมได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ในฐานะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ การมองข้ามเรื่องสเปรดอาจหมายถึงการมองข้ามต้นทุนที่ซ่อนอยู่ หรือพลาดสัญญาณสำคัญจากตลาดไป ดังนั้น จงให้ความสำคัญกับ “สเปรด” และใช้มันเป็นเครื่องมือหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนของคุณนะครับ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสเปรด คือ

Q:สเปรดในตลาด Forex มีผลอย่างไรต่อต้นทุนการเทรด?

A:สเปรดเป็นต้นทุนหลักในตลาด Forex ซึ่งส่งผลต่อกำไรและขาดทุนของนักลงทุนโดยตรง

Q:Credit Spread คืออะไร?

A:Credit Spread คือส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาคเอกชนกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุคงเหลือใกล้เคียงกัน

Q:ทำไมต้องติดตาม Credit Spread?

A:Credit Spread เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่บ่งชี้ความเสี่ยงและความมั่นใจในตลาด สะท้อนถึงสุขภาพทางการเงินของบริษัทและเศรษฐกิจโดยรวม

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *