หุ้นบุริมสิทธิ คืออะไร? ทางเลือกการลงทุนที่นักลงทุนควรรู้จัก
ในโลกแห่งการลงทุนที่มีความหลากหลายของตราสารทางการเงินให้เราเลือกสรร นอกเหนือจากหุ้นสามัญที่เราคุ้นเคยและหุ้นกู้ซึ่งเป็นตราสารหนี้ ยังมีตราสารอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะผสมผสานอันน่าสนใจ นั่นคือ “หุ้นบุริมสิทธิ” หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ หรือกำลังมองหาโอกาสในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนในพอร์ตการลงทุน การทำความเข้าใจหุ้นบุริมสิทธิไว้ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของคุณ
บทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึงแก่นแท้ของหุ้นบุริมสิทธิ ทำความรู้จักกับนิยาม ลักษณะสำคัญ สิทธิประโยชน์ที่ผู้ถือจะได้รับ รวมถึงข้อแตกต่างที่ทำให้หุ้นบุริมสิทธิโดดเด่นออกมาเมื่อเทียบกับหุ้นสามัญและหุ้นกู้ เพื่อให้คุณมีภาพที่ชัดเจนและสามารถนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้กับการวางแผนการลงทุนของคุณได้อย่างมั่นใจ
นิยามและลักษณะเฉพาะตัวของหุ้นบุริมสิทธิ
มาเริ่มต้นกันที่คำถามพื้นฐานที่สุด: หุ้นบุริมสิทธิ คือ อะไร? พูดให้เข้าใจง่ายๆ หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) คือ ตราสารทุนประเภทหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของในบริษัทผู้ออก เช่นเดียวกับหุ้นสามัญ แต่มีความพิเศษบางประการที่ทำให้แตกต่างออกไป อาจมองได้ว่าเป็นลูกครึ่งระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นกู้ก็ว่าได้ครับ
ลักษณะสำคัญที่ทำให้หุ้นบุริมสิทธิไม่เหมือนใคร มีดังนี้ครับ:
- สถานะความเป็นเจ้าของ: เมื่อคุณซื้อหุ้นบุริมสิทธิ นั่นหมายความว่าคุณได้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทในสัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่คุณถือครับ นี่คือจุดที่เหมือนกับผู้ถือหุ้นสามัญ
- สิทธิในการได้รับเงินปันผล: นี่คือคุณสมบัติเด่นประการแรก ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิได้รับ เงินปันผล ก่อนการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญ และส่วนใหญ่มักจะได้รับเงินปันผลในอัตราที่คงที่ หรือมีสูตรการคำนวณที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งให้ความแน่นอนของกระแสรายได้มากกว่าหุ้นสามัญ
- การไม่มีสิทธิออกเสียง: โดยทั่วไปแล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะ ไม่มีสิทธิออกเสียง ในการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญ รวมถึงไม่มีส่วนร่วมในการบริหารงานหรือตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่างๆ ของบริษัท นี่คือจุดที่แตกต่างอย่างมากจากผู้ถือหุ้นสามัญซึ่งมีสิทธิออกเสียงตามสัดส่วนการถือหุ้น
- สิทธิในการได้รับคืนเงินทุนเมื่อบริษัทเลิกกิจการ: ในกรณีที่บริษัทต้องเลิกกิจการ ถูกชำระบัญชี หรือล้มละลาย ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะมีสิทธิได้รับเงินทุนคืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ แต่จะอยู่ลำดับหลังเจ้าหนี้ของบริษัท (รวมถึงผู้ถือหุ้นกู้) นี่คือความคุ้มครองที่มากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ
จากลักษณะเหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่าหุ้นบุริมสิทธิมอบความมั่นคงและความแน่นอนในแง่ของกระแสเงินสดจากเงินปันผล และลำดับการได้รับคืนเงินทุนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ แต่ก็แลกมากับการที่ไม่มีสิทธิมีเสียงในการบริหารจัดการบริษัท นี่เป็น Trade-off ที่สำคัญที่นักลงทุนต้องพิจารณาครับ
เจาะลึกสิทธิผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ: ปันผลและลำดับความสำคัญ
เมื่อคุณตัดสินใจลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจสิทธิที่คุณจะได้รับอย่างละเอียด เพื่อให้เห็นภาพรวมของผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง สิทธิหลักๆ ที่ควรให้ความสนใจ ได้แก่:
1. สิทธิในการรับเงินปันผล (Dividend Preference):
ดังที่เรากล่าวไปแล้ว สิทธิในการรับเงินปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญเป็นหัวใจสำคัญของหุ้นบุริมสิทธิ เงินปันผลนี้มักถูกกำหนดไว้ในอัตราคงที่ เช่น จ่ายปีละ 5% ของมูลค่าที่ตราไว้ หรืออาจเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนต่อหุ้น การที่ได้สิทธิรับปันผลก่อน ทำให้ความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินปันผลลดลงเมื่อเทียบกับผู้ถือหุ้นสามัญ ซึ่งจะได้รับเงินปันผลก็ต่อเมื่อบริษัทมีกำไรและมีมติให้จ่ายหลังจากจ่ายให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิแล้ว
ในทางปฏิบัติ บางครั้งบริษัทอาจไม่มีกำไรเพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผลตามที่กำหนดให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ หรืออาจตัดสินใจงดจ่ายเงินปันผลด้วยเหตุผลทางธุรกิจอื่นๆ ในกรณีนี้ ประเภทของหุ้นบุริมสิทธิจะมีผลต่อสิทธิในการรับเงินปันผลที่ค้างจ่าย ซึ่งเราจะอธิบายในหัวข้อประเภทของหุ้นบุริมสิทธิครับ
2. สิทธิในการได้รับคืนเงินทุน (Liquidation Preference):
ไม่มีใครอยากให้บริษัทที่ลงทุนไปถึงขั้นต้องเลิกกิจการ แต่การพิจารณาสิทธิในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดก็เป็นสิ่งจำเป็น ในกรณีที่บริษัทต้องชำระบัญชี ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะมีสิทธิในสินทรัพย์ของบริษัทก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ หมายความว่าหลังจากชำระหนี้สินทั้งหมดของบริษัท (รวมถึงการคืนเงินต้นให้ผู้ถือหุ้นกู้และเจ้าหนี้อื่นๆ) หากยังมีสินทรัพย์เหลืออยู่ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับคืนเงินลงทุนของตนก่อนที่เงินส่วนที่เหลือจะถูกแบ่งให้ผู้ถือหุ้นสามัญ สิทธินี้ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับผู้ลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิในภาวะวิกฤตของบริษัท
3. การไม่มีสิทธิออกเสียง (No Voting Rights):
นี่คือสิทธิที่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่ไม่มี และเป็นความแตกต่างพื้นฐานจากผู้ถือหุ้นสามัญ การที่คุณไม่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจสำคัญของบริษัท เช่น การเลือกตั้งกรรมการ การอนุมัติงบการเงิน การจ่ายเงินปันผล หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายบริษัทบางอย่าง สำหรับนักลงทุนที่ต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารหรือแสดงความคิดเห็นต่อทิศทางของบริษัท นี่อาจเป็นข้อจำกัดสำคัญครับ
การทำความเข้าใจสิทธิเหล่านี้ ช่วยให้เราประเมินความน่าสนใจของหุ้นบุริมสิทธิในฐานะตราสารการลงทุนได้อย่างรอบด้านครับ
ความแตกต่างด้านสภาพคล่อง: ข้อจำกัดสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้
แม้ว่าหุ้นบุริมสิทธิจะเป็นตราสารที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกับหุ้นสามัญ แต่สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนที่สนใจในหุ้นบุริมสิทธิจะต้องตระหนักและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง คือประเด็นเรื่อง สภาพคล่องต่ำ ครับ
คำว่า “สภาพคล่องต่ำ” หมายถึงอะไรในบริบทของหุ้นบุริมสิทธิ?
มันหมายถึงปริมาณการซื้อขายของหุ้นบุริมสิทธิในตลาดรอง (ตลาดหลักทรัพย์) ในแต่ละวันนั้นค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับหุ้นสามัญของบริษัทเดียวกันหรือหุ้นสามัญอื่นๆ ในตลาด ปริมาณการซื้อขายที่เบาบางนี้ส่งผลกระทบหลายประการต่อผู้ลงทุน:
- ยากต่อการซื้อหรือขายปริมาณมาก: หากคุณต้องการซื้อหรือขายหุ้นบุริมสิทธิในจำนวนมาก การจับคู่คำสั่งซื้อขายอาจทำได้ยาก หรืออาจต้องใช้เวลานานกว่าปกติ
- ราคาอาจผันผวนมากเมื่อมีคำสั่งใหญ่: เนื่องจากมีผู้ซื้อขายน้อย คำสั่งซื้อขายที่มีขนาดใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อราคาตลาดได้มากกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสามัญที่มีสภาพคล่องสูง
- ส่วนต่างราคาเสนอซื้อเสนอขาย (Bid-Ask Spread) อาจกว้าง: ส่วนต่างระหว่างราคาที่ผู้ซื้อเสนอซื้อสูงสุด (Bid) กับราคาที่ผู้ขายเสนอขายต่ำสุด (Ask) มักจะกว้างกว่าหุ้นสามัญที่มีสภาพคล่องสูง ทำให้ต้นทุนในการซื้อขาย (ค่า Spread) สูงขึ้น
- การขายหุ้นอาจใช้เวลานาน: หากคุณต้องการขายหุ้นบุริมสิทธิ อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะเจอผู้ซื้อที่พร้อมจะซื้อในราคาที่คุณต้องการ หรืออาจต้องลดราคาลงเพื่อให้ขายได้เร็วขึ้น ซึ่งนี่เป็นความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนที่ต้องการใช้เงินทุนก้อนนี้ในเวลาที่แน่นอน
สภาพคล่องต่ำนี้เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจำนวนหุ้นบุริมสิทธิที่ออกสู่ตลาดโดยรวมมีน้อยกว่าหุ้นสามัญ นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะให้ความสนใจและซื้อขายหุ้นสามัญมากกว่า ทำให้กิจกรรมในตลาดของหุ้นบุริมสิทธิมีจำกัด
ดังนั้น หากคุณกำลังพิจารณาลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ คุณจะต้องเตรียมพร้อมที่จะถือครองตราสารนี้ในระยะยาว และไม่ควรใช้เงินที่คาดว่าจะต้องนำไปใช้ในระยะเวลาอันใกล้ หรือเงินที่คุณอาจจะต้องขายออกฉุกเฉิน เพราะคุณอาจไม่สามารถขายได้ในเวลาที่ต้องการ หรืออาจต้องขายในราคาที่เสียเปรียบอย่างมาก การทำความเข้าใจและยอมรับข้อจำกัดด้านสภาพคล่องนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งก่อนตัดสินใจลงทุนครับ
เปรียบเทียบชัดๆ: หุ้นบุริมสิทธิ vs หุ้นสามัญ vs หุ้นกู้
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เราลองมาเปรียบเทียบ หุ้นบุริมสิทธิ กับตราสารทางการเงินประเภทอื่นๆ ที่คนนิยมลงทุนอย่าง หุ้นสามัญ และ หุ้นกู้ กันดูครับ การเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจตำแหน่งแห่งที่ของหุ้นบุริมสิทธิในโลกการเงิน และตัดสินใจได้ว่าตราสารชนิดนี้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของคุณหรือไม่
เราจะเปรียบเทียบกันในประเด็นสำคัญดังนี้ครับ:
1. สถานะของผู้ถือ:
- หุ้นสามัญ: ผู้ถือคือ เจ้าของ บริษัทโดยสมบูรณ์ มีสิทธิในส่วนของเจ้าของที่เหลือทั้งหมดหลังจากหักหนี้สินแล้ว
- หุ้นบุริมสิทธิ: ผู้ถือคือ เจ้าของ บริษัทเช่นกัน แต่เป็นเจ้าของที่มีสิทธิพิเศษบางอย่างเหนือผู้ถือหุ้นสามัญ
- หุ้นกู้: ผู้ถือคือ เจ้าหนี้ ของบริษัท ไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าของ
2. สิทธิในการออกเสียง:
- หุ้นสามัญ: มีสิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น
- หุ้นบุริมสิทธิ: โดยทั่วไป ไม่มีสิทธิออกเสียง
- หุ้นกู้: ไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหารงานของบริษัท
3. การได้รับผลตอบแทน (เงินปันผล/ดอกเบี้ย):
- หุ้นสามัญ: ได้รับเงินปันผลตามกำไรของบริษัท (ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับมติบอร์ด) ได้รับหลังหุ้นบุริมสิทธิ
- หุ้นบุริมสิทธิ: ได้รับ เงินปันผล มักเป็นอัตราคงที่ ได้รับก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
- หุ้นกู้: ได้รับดอกเบี้ยคงที่ตามที่กำหนด ได้รับตามกำหนดเวลา ไม่ขึ้นกับกำไร
4. ลำดับการได้รับคืนเงินทุนเมื่อบริษัทเลิกกิจการ:
- หุ้นสามัญ: ได้รับคืนเป็นอันดับสุดท้าย หลังเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ
- หุ้นบุริมสิทธิ: ได้รับคืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ แต่อยู่หลังเจ้าหนี้ทั้งหมด (รวมถึงผู้ถือหุ้นกู้)
- หุ้นกู้: ได้รับคืนเป็นอันดับแรกสุด ในฐานะ เจ้าหนี้ ที่มีสิทธิในสินทรัพย์ก่อนส่วนของผู้ถือหุ้น
ตารางสรุปการเปรียบเทียบอย่างง่าย:
คุณสมบัติ | หุ้นสามัญ | หุ้นบุริมสิทธิ | หุ้นกู้ |
---|---|---|---|
สถานะ | เจ้าของ | เจ้าของ (มีสิทธิพิเศษ) | เจ้าหนี้ |
สิทธิออกเสียง | มี | ไม่มี (โดยทั่วไป) | ไม่มี |
ผลตอบแทน | ปันผล (ไม่คงที่) | ปันผล (มักคงที่/มีเงื่อนไข) | ดอกเบี้ย (คงที่) |
ลำดับคืนทุน (เมื่อเลิกกิจการ) | หลังสุด | ก่อนหุ้นสามัญ (หลังเจ้าหนี้) | แรกสุด (เจ้าหนี้) |
จากตารางนี้ คุณจะเห็นว่า หุ้นบุริมสิทธิ อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างหุ้นสามัญกับหุ้นกู้ ให้ความมั่นคงของรายได้ (จากปันผล) และความปลอดภัยของเงินต้น (ลำดับคืนทุน) มากกว่าหุ้นสามัญ แต่ก็มีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นกู้ และให้ศักยภาพในการเติบโตของราคาและสิทธิในการควบคุมกิจการน้อยกว่าหุ้นสามัญ การเลือกประเภทตราสารจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ครับ
รู้จัก “ประเภทของหุ้นบุริมสิทธิ” ที่หลากหลาย: เข้าใจสิทธิที่ซับซ้อน
หุ้นบุริมสิทธิไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว แต่ยังแบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆ อีกหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มีเงื่อนไขและสิทธิที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจประเภทเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงที่คุณจะได้รับในฐานะผู้ลงทุน เรามาดูประเภทหลักๆ ที่พบได้บ่อยกันครับ
หุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสม (Cumulative Preferred Stock)
นี่คือชนิดที่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ถือมากเป็นพิเศษในกรณีที่บริษัทงดจ่ายเงินปันผลในปีใดปีหนึ่ง หากบริษัทผู้ออกงดจ่ายเงินปันผลให้แก่หุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสม เงินปันผลที่ค้างจ่ายในปีนั้นๆ จะถูกสะสมไปเรื่อยๆ และบริษัทจะต้องจ่ายเงินปันผลที่ค้างจ่ายทั้งหมดให้แก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมเสียก่อน จึงจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญได้ครับ
ลองนึกภาพดูว่า บริษัทของคุณงดจ่ายเงินปันผลหุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมเป็นเวลา 3 ปี ในปีที่ 4 บริษัทกลับมามีกำไรและต้องการจ่ายเงินปันผล บริษัทจะต้องจ่ายเงินปันผลที่ค้างจ่ายของปีที่ 1, 2, และ 3 รวมกับเงินปันผลของปีที่ 4 ให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสมก่อนทั้งหมด แล้วจึงค่อยนำกำไรส่วนที่เหลือไปจ่ายให้ผู้ถือหุ้นสามัญได้ สิทธิชนิดนี้ให้ความมั่นคงด้านรายได้แก่ผู้ลงทุนสูงกว่าชนิดไม่สะสมอย่างชัดเจน
หุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่สะสม (Non-Cumulative Preferred Stock)
ตรงข้ามกับชนิดสะสม หากบริษัทงดจ่ายเงินปันผลให้แก่หุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่สะสมในปีใด เงินปันผลของปีนั้นก็จะถือเป็นอันยกไป ไม่มีการสะสมค้างจ่าย บริษัทไม่จำเป็นต้องกลับมาจ่ายเงินปันผลที่พลาดไปในปีนั้นๆ ในภายหลัง ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่สะสมจะได้รับเงินปันผลก็ต่อเมื่อบริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลในปีนั้นๆ เท่านั้น
แน่นอนว่า หุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่สะสมมีความเสี่ยงด้านกระแสเงินสดจากเงินปันผลสูงกว่าชนิดสะสม ดังนั้น ผลตอบแทน (อัตราเงินปันผล) ที่เสนอให้กับหุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่สะสมอาจจะสูงกว่าชนิดสะสมเล็กน้อย เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้ครับ
หุ้นบุริมสิทธิชนิดแปลงสภาพได้ (Convertible Preferred Stock)
นี่คือชนิดที่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่มองหาศักยภาพในการเติบโตของราคาหุ้น นอกเหนือจากสิทธิพิเศษในฐานะหุ้นบุริมสิทธิแล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิชนิดแปลงสภาพได้ยังมีสิทธิที่จะ “แปลงสภาพ” หุ้นบุริมสิทธิที่ตนถืออยู่ให้กลายเป็นหุ้นสามัญของบริษัทได้ตามอัตราและเงื่อนไขที่กำหนดไว้
ยกตัวอย่างเช่น หากหุ้นบุริมสิทธิกำหนดให้แปลงสภาพได้ในอัตรา 1 หุ้นบุริมสิทธิ ต่อ 2 หุ้นสามัญ หากราคาหุ้นสามัญปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนการแปลงสภาพมีความคุ้มค่า ผู้ถือหุ้นก็สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพ เพื่อเข้าร่วมรับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นสามัญได้ ในทางกลับกัน หากราคาหุ้นสามัญไม่ดี ผู้ถือหุ้นก็สามารถเลือกที่จะถือหุ้นบุริมสิทธิต่อไป เพื่อรับเงินปันผลคงที่และความคุ้มครองเงินต้นที่มากกว่าหุ้นสามัญ สิทธิในการแปลงสภาพนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและโอกาสทำกำไรให้แก่ผู้ลงทุน
หุ้นบุริมสิทธิชนิดร่วมรับ (Participating Preferred Stock)
หุ้นบุริมสิทธิชนิดร่วมรับมีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผลมากกว่าอัตราคงที่ที่กำหนดไว้ในตอนแรก โดยอาจได้รับเงินปันผลเพิ่มเติมจากส่วนแบ่งกำไรที่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นสามัญหลังจากที่ผู้ถือหุ้นสามัญได้รับเงินปันผลในอัตราขั้นต่ำที่กำหนดแล้ว หรืออาจได้รับส่วนแบ่งเมื่อบริษัทเลิกกิจการมากกว่ามูลค่าที่ตราไว้ก็ได้
สิทธิชนิดนี้ทำให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นหากบริษัทมีผลประกอบการที่ดีมาก แต่เป็นชนิดที่พบได้ไม่บ่อยนักในตลาดทั่วไป
หุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่ร่วมรับ (Non-Participating Preferred Stock)
นี่คือชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่ร่วมรับจะได้รับเงินปันผลเพียงอัตราที่กำหนดไว้เท่านั้น และได้รับเงินทุนคืนเมื่อบริษัทเลิกกิจการเพียงตามมูลค่าที่ตราไว้ ไม่ได้รับสิทธิเพิ่มเติมใดๆ ร่วมกับผู้ถือหุ้นสามัญในส่วนของกำไรที่เกินกว่าอัตราที่กำหนด
การมีอยู่ของหุ้นบุริมสิทธิประเภทต่างๆ แสดงให้เห็นว่าตราสารชนิดนี้มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถออกแบบเงื่อนไขให้ตอบโจทย์ความต้องการระดมทุนของบริษัทและความคาดหวังของนักลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ ก่อนตัดสินใจลงทุน คุณจึงควรศึกษาเอกสารการเสนอขายอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจสิทธิและเงื่อนไขเฉพาะของหุ้นบุริมสิทธิแต่ละรุ่นอย่างถ่องแท้ครับ
ข้อดีและข้อจำกัดของการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิสำหรับนักลงทุน
หลังจากที่เราได้รู้จักกับลักษณะและประเภทของหุ้นบุริมสิทธิไปแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่าในฐานะนักลงทุน การลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิมีข้อดีและข้อจำกัดอะไรบ้าง เพื่อให้คุณสามารถชั่งน้ำหนักและตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ
ข้อดีของการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ:
- ความแน่นอนของกระแสรายได้: เงินปันผลของหุ้นบุริมสิทธิมักจะจ่ายในอัตราคงที่และได้รับก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ ทำให้เป็นแหล่งรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและคาดเดาได้ ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดจากเงินปันผลเป็นประจำ
- ความมั่นคงด้านเงินต้น (ในสถานการณ์เลวร้าย): ในกรณีที่บริษัทต้องเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิได้รับคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ ซึ่งให้ความคุ้มครองเงินต้นได้ดีกว่าหุ้นสามัญ แม้จะน้อยกว่าผู้ถือหุ้นกู้ก็ตาม
- อาจมีศักยภาพในการเติบโต (สำหรับชนิดแปลงสภาพได้): หากเป็นหุ้นบุริมสิทธิชนิดแปลงสภาพได้ นักลงทุนก็มีโอกาสที่จะแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญเพื่อเข้าร่วมรับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นสามัญในอนาคตได้
- ทางเลือกในการกระจายความเสี่ยง: การเพิ่มหุ้นบุริมสิทธิเข้าไปในพอร์ตการลงทุน สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงได้ เนื่องจากมีลักษณะที่แตกต่างจากทั้งหุ้นสามัญและหุ้นกู้
ข้อจำกัดของการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ:
- สภาพคล่องต่ำ: นี่คือข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว หุ้นบุริมสิทธิมีสภาพคล่องต่ำ ในตลาดรอง ทำให้การซื้อขายอาจทำได้ยากและอาจส่งผลกระทบต่อราคาที่คุณจะซื้อหรือขายได้
- ไม่มีสิทธิออกเสียง: คุณจะไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือบริหารงานของบริษัท ซึ่งอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของบริษัท
- ศักยภาพในการเติบโตของราคาจำกัด (สำหรับชนิดไม่แปลงสภาพ): หากไม่ใช่ชนิดแปลงสภาพ ราคาหุ้นบุริมสิทธิมักจะไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากเท่าหุ้นสามัญ เนื่องจากผลตอบแทนหลักมาจากการได้รับเงินปันผลคงที่ ไม่ได้อิงกับการเติบโตของกำไรบริษัทโดยตรง
- ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: เช่นเดียวกับตราสารหนี้ ราคาของหุ้นบุริมสิทธิ (โดยเฉพาะชนิดที่จ่ายปันผลคงที่) มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด เมื่ออัตราดอกเบี้ยตลาดสูงขึ้น ราคาหุ้นบุริมสิทธิอาจมีแนวโน้มลดลง และเมื่ออัตราดอกเบี้ยตลาดต่ำลง ราคาหุ้นบุริมสิทธิอาจมีแนวโน้มสูงขึ้น
การประเมินข้อดีข้อจำกัดเหล่านี้อย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณพิจารณาได้ว่า หุ้นบุริมสิทธิเข้าข่ายในกลยุทธ์การลงทุนและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้หรือไม่
มุมมองของบริษัทผู้ออก: ทำไมถึงเลือกออกหุ้นบุริมสิทธิ?
การออกตราสารทางการเงินเพื่อระดมทุนนั้น บริษัทผู้ออกมีทางเลือกหลายอย่าง เช่น การออกหุ้นสามัญ การออกหุ้นกู้ หรือการออกหุ้นบุริมสิทธิ แล้วทำไมบริษัทบางแห่งถึงเลือกออก หุ้นบุริมสิทธิ ล่ะครับ? การทำความเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของบริษัท จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของตราสารนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เหตุผลหลักๆ ที่บริษัทเลือกออกหุ้นบุริมสิทธิ มีดังนี้ครับ:
- ระดมทุนโดยไม่ก่อภาระหนี้ดอกเบี้ยคงที่: แม้จะมีลักษณะคล้ายหุ้นกู้ในแง่ของการจ่ายผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่และสิทธิในการได้รับคืนเงินทุนก่อนหุ้นสามัญ แต่ในทางบัญชี หุ้นบุริมสิทธิถือเป็นส่วนของ ตราสารทุน ไม่ใช่หนี้ การออกหุ้นบุริมสิทธิช่วยให้บริษัทสามารถระดมเงินทุนได้โดยไม่ต้องเพิ่มภาระหนี้สินระยะยาวในงบดุล ซึ่งทำให้โครงสร้างทางการเงินดูแข็งแกร่งขึ้น และลดความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ที่มาจากการจ่ายดอกเบี้ยคงที่
- รักษาอำนาจการควบคุมของผู้ถือหุ้นเดิม: เนื่องจากผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิโดยทั่วไปไม่มีสิทธิออกเสียง การออกหุ้นบุริมสิทธิช่วยให้บริษัทสามารถระดมทุนจากนักลงทุนภายนอกได้ โดยที่ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมไม่ต้องกังวลว่าสัดส่วนการถือหุ้นและอำนาจการควบคุมบริษัทจะลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อมีการออกหุ้นสามัญใหม่
- เพิ่มความน่าเชื่อถือทางการเงิน: การมีส่วนของเจ้าของ (ซึ่งรวมถึงหุ้นบุริมสิทธิ) ที่มากขึ้น ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ฐานะทางการเงินของบริษัทในสายตาของเจ้าหนี้และนักลงทุนอื่นๆ
- มีความยืดหยุ่นในการจ่ายเงินปันผลมากกว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้: แม้หุ้นบุริมสิทธิจะกำหนดการจ่ายเงินปันผลไว้ แต่บริษัทสามารถตัดสินใจงดจ่ายเงินปันผลได้หากจำเป็น (โดยเฉพาะชนิดไม่สะสม) ซึ่งแตกต่างจากการจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่ถือเป็นภาระผูกพันที่ต้องจ่ายตามกำหนด หากไม่จ่ายจะถือว่าผิดนัดชำระหนี้ การงดจ่ายปันผลหุ้นบุริมสิทธิไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินในยามที่ขาดสภาพคล่อง
ดังนั้น การออกหุ้นบุริมสิทธิจึงเป็นเครื่องมือทางการเงินที่บริษัทใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการระดมทุนที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างโครงสร้างเงินทุน การบริหารความเสี่ยงด้านหนี้สิน และการรักษาอำนาจการควบคุมครับ
ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อวิเคราะห์และลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ
เมื่อคุณมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับหุ้นบุริมสิทธิแล้ว หากสนใจที่จะลงทุนในตราสารชนิดนี้ มีปัจจัยสำคัญหลายประการที่คุณควรทำการวิเคราะห์และพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจนำเงินไปลงทุน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้เลือกลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิที่เหมาะสมกับความต้องการและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
ปัจจัยเหล่านี้รวมถึง:
- ความน่าเชื่อถือและฐานะทางการเงินของบริษัทผู้ออก: แม้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะมีสิทธิในสินทรัพย์ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่บริษัทอาจประสบปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถจ่ายเงินปันผล หรือเลวร้ายที่สุดคือไม่สามารถคืนเงินต้นได้เมื่อบริษัทเลิกกิจการ ดังนั้น การวิเคราะห์งบการเงิน ความสามารถในการทำกำไร กระแสเงินสด และระดับหนี้สินของบริษัทผู้ออกจึงเป็นสิ่งจำเป็นไม่ต่างจากการลงทุนในหุ้นสามัญ
- เงื่อนไขและประเภทของหุ้นบุริมสิทธิ: ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว หุ้นบุริมสิทธิมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีสิทธิและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เช่น เป็นชนิดสะสมหรือไม่สะสม? เป็นชนิดแปลงสภาพได้หรือไม่? อัตราเงินปันผลเท่าใด? เงื่อนไขการไถ่ถอนคืนจากบริษัทเป็นอย่างไร? คุณต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้อย่างละเอียด เพราะมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงของคุณ
- อัตราเงินปันผลเทียบกับอัตราดอกเบี้ยตลาด: เนื่องจากหุ้นบุริมสิทธิมีลักษณะคล้ายตราสารหนี้ การเปรียบเทียบอัตราเงินปันผลของหุ้นบุริมสิทธิกับอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงและอายุใกล้เคียงกันในตลาดเป็นสิ่งสำคัญ หากอัตราเงินปันผลสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตลาดอย่างมีนัยสำคัญ อาจสะท้อนถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นของบริษัทผู้ออก หรือความน่าสนใจของตราสาร
- สภาพคล่องในการซื้อขาย: ตรวจสอบปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยของหุ้นบุริมสิทธิรุ่นที่คุณสนใจในตลาดหลักทรัพย์ หากสภาพคล่องต่ำมาก คุณควรพิจารณาให้ดีว่าคุณพร้อมที่จะเผชิญกับความยากลำบากในการซื้อขายในอนาคตหรือไม่
- ปัจจัยภายนอก: เช่น แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง ซึ่งมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดโดยรวม และอาจส่งผลกระทบต่อราคาของหุ้นบุริมสิทธิ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและอุตสาหกรรมที่บริษัทผู้ออกดำเนินธุรกิจอยู่
การวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิได้อย่างมีข้อมูลและลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นครับ
ความเสี่ยงที่มาพร้อมกับหุ้นบุริมสิทธิ: อะไรที่คุณต้องระวัง?
การลงทุนย่อมมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ และหุ้นบุริมสิทธิก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้จะมีสิทธิพิเศษบางอย่างเหนือหุ้นสามัญ แต่ก็มีความเสี่ยงเฉพาะตัวที่คุณในฐานะนักลงทุนควรทราบและประเมินก่อนตัดสินใจลงทุน
ความเสี่ยงหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ ได้แก่:
- ความเสี่ยงจากการงดจ่ายเงินปันผล (Dividend Omission Risk): แม้จะมีสิทธิได้รับปันผลก่อน แต่บริษัทก็อาจตัดสินใจงดจ่ายเงินปันผลได้หากประสบปัญหาทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่สะสม หากบริษัทงดจ่ายปันผลในปีใดปีนั้น ผู้ถือหุ้นก็จะไม่ได้รับเงินปันผลนั้นไปตลอดกาล
- ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): ความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกอาจไม่สามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันในการจ่ายเงินปันผล หรือแย่กว่านั้นคือไม่สามารถคืนเงินต้นได้ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ ความเสี่ยงนี้จะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท คุณควรวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของบริษัทอย่างละเอียด
- ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): ราคาของหุ้นบุริมสิทธิโดยทั่วไปมีความสัมพันธ์ผกผันกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด เมื่ออัตราดอกเบี้ยตลาดสูงขึ้น มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินปันผลในอนาคตจะลดลง ทำให้ราคาหุ้นบุริมสิทธิมีแนวโน้มลดลง ในทางกลับกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ราคาหุ้นบุริมสิทธิอาจมีแนวโน้มสูงขึ้น ความเสี่ยงนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่อาจต้องการขายหุ้นบุริมสิทธิออกไปก่อนกำหนด
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): ดังที่เราได้เน้นย้ำไปแล้ว การที่หุ้นบุริมสิทธิมีสภาพคล่องต่ำ หมายความว่าคุณอาจไม่สามารถขายหุ้นออกได้รวดเร็วในราคาที่ต้องการ หากคุณต้องการใช้เงินทุนก้อนนี้อย่างเร่งด่วน นี่เป็นความเสี่ยงที่คุณต้องเตรียมรับมือ
- ความเสี่ยงจากการถูกไถ่ถอน (Call Risk): หุ้นบุริมสิทธิบางรุ่นอาจมีข้อกำหนดให้บริษัทผู้ออกสามารถ “ไถ่ถอนคืน” หรือซื้อคืนจากผู้ถือได้หลังจากระยะเวลาหนึ่ง ในราคาและเงื่อนไขที่กำหนด หากบริษัทไถ่ถอนหุ้นคืนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยตลาดลดลง (ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิอาจคาดหวังว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น) นักลงทุนอาจต้องนำเงินที่ได้จากการไถ่ถอนไปลงทุนต่อในอัตราผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเดิม
การทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อให้คุณหวาดกลัว แต่มีไว้เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมและประเมินได้อย่างถูกต้องว่าความเสี่ยงเหลี้ยจะยอมรับได้สำหรับคุณหรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิใดๆ ครับ
ใครบ้างที่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ?
เมื่อพิจารณาจากลักษณะเฉพาะตัวของหุ้นบุริมสิทธิ ทั้งในแง่ของสิทธิ ผลตอบแทน และความเสี่ยง เราสามารถระบุได้ว่าหุ้นบุริมสิทธิอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับนักลงทุนบางกลุ่ม และอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่ง แล้วคุณล่ะครับ อยู่ในกลุ่มไหน?
หุ้นบุริมสิทธิมักเหมาะกับนักลงทุนที่มีลักษณะดังนี้ครับ:
- นักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอ: หากคุณเป็นนักลงทุนที่มองหาแหล่งรายได้ประจำจากเงินปันผลที่ค่อนข้างแน่นอน หุ้นบุริมสิทธิสามารถตอบโจทย์นี้ได้ดีกว่าหุ้นสามัญ
- นักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของเงินต้นมากกว่าศักยภาพในการเติบโตสูง: ถ้าคุณยอมรับผลตอบแทนที่อาจไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับการเติบโตของราคาหุ้นสามัญ เพื่อแลกกับความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในแง่ของลำดับการได้รับคืนเงินทุนเมื่อบริษัทเลิกกิจการ หุ้นบุริมสิทธิก็เป็นทางเลือกที่ดี
- นักลงทุนที่ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการบริหาร: หากคุณไม่มีความสนใจหรือไม่มีเวลาที่จะติดตามและเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อออกเสียง หุ้นบุริมสิทธิก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณในประเด็นนี้
- นักลงทุนที่สามารถรับสภาพคล่องที่ค่อนข้างต่ำได้: คุณต้องเข้าใจและยอมรับได้ว่าการซื้อขายหุ้นบุริมสิทธิในตลาดรองอาจไม่สะดวกเท่าหุ้นสามัญ คุณต้องวางแผนการลงทุนระยะยาว และไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนก้อนนี้ในระยะเวลาอันใกล้
- นักลงทุนที่เข้าใจความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: หากคุณเข้าใจว่าราคาของหุ้นบุริมสิทธิอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด และสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงนี้ได้
ในทางตรงกันข้าม หุ้นบุริมสิทธิอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่:
- ต้องการผลตอบแทนจากการเติบโตของราคาหุ้นที่สูง
- ต้องการมีสิทธิออกเสียงและมีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท
- ต้องการสภาพคล่องในการซื้อขายสูง สามารถเข้าออกจากการลงทุนได้ง่ายและรวดเร็ว
- ไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงที่บริษัทอาจงดจ่ายเงินปันผลได้ (โดยเฉพาะชนิดไม่สะสม)
การทำความเข้าใจ profile ของนักลงทุนที่เหมาะกับหุ้นบุริมสิทธิ ช่วยให้คุณสามารถประเมินตัวเองได้ว่าตราสารชนิดนี้คือสิ่งที่ใช่สำหรับพอร์ตการลงทุนของคุณหรือไม่ครับ
สรุป: หุ้นบุริมสิทธิในฐานะเครื่องมือการลงทุน
ตลอดบทความนี้ เราได้ร่วมกันสำรวจโลกของ หุ้นบุริมสิทธิ อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน ลักษณะสำคัญ สิทธิพิเศษที่ผู้ถือได้รับ ไปจนถึงความแตกต่างที่ทำให้มันโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นสามัญและหุ้นกู้ รวมถึงประเภทต่างๆ ข้อดี ข้อจำกัด ความเสี่ยง และแนวทางการวิเคราะห์
โดยสรุปแล้ว หุ้นบุริมสิทธิคือตราสารทุนลูกผสม ที่มอบสถานะความเป็นเจ้าของให้แก่ผู้ถือ แต่ให้สิทธิพิเศษในแง่ของการได้รับ เงินปันผล ก่อนและได้รับคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ อย่างไรก็ตาม สิทธิพิเศษนี้ก็แลกมากับการ ไม่มีสิทธิออกเสียง ในการบริหารบริษัท และข้อจำกัดด้าน สภาพคล่องต่ำ ในตลาดรอง
สำหรับนักลงทุน หุ้นบุริมสิทธิอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจหากคุณครับ:
- ต้องการกระแสรายได้ประจำจากเงินปันผลที่ค่อนข้างแน่นอน
- ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของเงินต้นในระดับหนึ่ง
- ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท
- สามารถรับข้อจำกัดด้านสภาพคล่องได้
ในขณะเดียวกัน คุณต้องตระหนักถึงความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัทผู้ออก ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขเฉพาะของหุ้นบุริมสิทธิแต่ละรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่าเป็นชนิดสะสม ชนิดไม่สะสม ชนิดแปลงสภาพได้ หรือชนิดอื่นๆ
ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิรุ่นใดๆ เราขอแนะนำให้คุณศึกษาข้อมูลบริษัทผู้ออกอย่างละเอียด ทำความเข้าใจเงื่อนไขและสิทธิของหุ้นบุริมสิทธิรุ่นนั้นๆ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหากจำเป็น และพิจารณาว่าตราสารนี้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้จริงหรือไม่
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหุ้นบุริมสิทธิมากขึ้น และสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณก้าวเดินบนเส้นทางการลงทุนได้อย่างมั่นใจและบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่คุณตั้งไว้ครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้นบุริมสิทธิ คือ
Q:หุ้นบุริมสิทธิคืออะไร?
A:หุ้นบุริมสิทธิเป็นตราสารทุนประเภทหนึ่งที่มอบให้แก่ผู้ถือสิทธิพิเศษในการรับเงินปันผลและคืนทุนเมื่อบริษัทเลิกกิจการก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
Q:การลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิมีข้อดีอย่างไร?
A:ข้อดีของหุ้นบุริมสิทธิรวมถึงความแน่นอนในกระแสรายได้จากเงินปันผล และความมั่นคงด้านเงินต้นในกรณีที่บริษัทประสบปัญหาหรือเลิกกิจการ
Q:ใครที่เหมาะสมในการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ?
A:นักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอและสามารถรับสภาพคล่องที่ต่ำได้ มักจะเหมาะกับการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ