ในยุคที่โลกการลงทุนเต็มไปด้วยความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง กองทุนแบบ passive หรือที่เรียกกันว่ากองทุนเชิงรับ กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบความเรียบง่าย ค่าใช้จ่ายต่ำ และผลตอบแทนที่เคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มของตลาด หากคุณอยากเข้าใจกองทุนประเภทนี้ให้ลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่การลงทุน หรือผู้มีประสบการณ์ที่กำลังหาทางเลือกใหม่ บทความนี้จะพาคุณสำรวจทุกมุมมอง ตั้งแต่ความหมาย วิธีการทำงาน จุดเด่นและจุดด้อย ไปจนถึงเคล็ดลับการเลือกกองทุนที่เหมาะกับสภาพตลาดในประเทศไทย

Passive Fund คืออะไร? ทำความเข้าใจการลงทุนแบบ “เชิงรับ”
กองทุนเชิงรับ หรือ Passive Fund คือรูปแบบหนึ่งของกองทุนรวมที่มุ่งเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์บางแห่ง หรือดัชนีอ้างอิงอื่นๆ ให้ใกล้เคียงที่สุด โดยไม่พยายามเอาชนะตลาดหรือสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าดัชนี ผู้จัดการกองทุนจึงไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัวหรือจับจังหวะตลาดด้วยตัวเองแบบเหนื่อยล้า แต่จะลงทุนตามสัดส่วนของส่วนประกอบในดัชนีนั้นๆ แทน

แนวคิดหลักของการบริหารแบบเชิงรับคือการ “ตามรอย” ตลาด แทนที่จะ “นำหน้า” มัน ซึ่งต่างจากกองทุนเชิงรุก หรือ Active Fund ที่ผู้จัดการกองทุนอาศัยความเชี่ยวชาญ การวิเคราะห์เชิงลึก และประสบการณ์ เพื่อคัดสรรสินทรัพย์ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดโดยรวม

ด้วยการลดบทบาทของการตัดสินใจส่วนตัวลงให้เหลือน้อยที่สุด Passive Fund จึงช่วยประหยัดต้นทุนและค่าธรรมเนียมที่มักสูงในกองทุนเชิงรุก นอกจากนี้ยังช่วยหลีกเลี่ยงอคติทางอารมณ์ที่อาจเกิดจากการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุนด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้กองทุนเชิงรับกลายเป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนที่ศรัทธาในประสิทธิภาพของตลาดในระยะยาว และต้องการผลตอบแทนที่สอดคล้องกับภาพรวมของตลาด
หลักการทำงานของ Passive Fund
วิธีการทำงานของกองทุนเชิงรับนั้นตรงไปตรงมาแต่ทรงพลัง โดยเน้นการคัดลอกองค์ประกอบและน้ำหนักของสินทรัพย์ในดัชนีอ้างอิงที่กำหนดไว้ เช่น ถ้าดัชนี SET50 ประกอบด้วยหุ้น 50 ตัวชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่มีมูลค่าตลาดสูงและสภาพคล่องดี กองทุนที่อ้างอิงดัชนีนี้ก็จะลงทุนในหุ้นทั้งหมดนั้น โดยรักษาสัดส่วนให้ใกล้เคียงกับในดัชนี
กองทุนเชิงรับแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักที่นักลงทุนควรทำความรู้จัก
- กองทุนดัชนี (Index Fund): คือกองทุนรวมที่ลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งหมดหรือบางส่วนของดัชนีอ้างอิง เช่น กองทุนดัชนี SET50 หรือ S&P 500 การซื้อขายทำผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในรูปแบบหน่วยลงทุน ณ สิ้นวันทำการ
- ETF (Exchange Traded Fund): หรือกองทุนรวมที่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ คล้ายกองทุนดัชนีแต่ยืดหยุ่นกว่า เพราะเทรดได้ตลอดวันเหมือนหุ้นทั่วไป สภาพคล่องจึงสูงและตอบสนองตลาดได้รวดเร็ว ETF มักติดตามดัชนีหุ้น พันธบัตร หรือสินค้าโภคภัณฑ์
เพราะอาศัยการเลียนแบบดัชนี กองทุนเชิงรับจึงไม่ต้องมีทีมวิเคราะห์หรือผู้จัดการที่คอยเลือกหุ้นหรือจับจังหวะตลาดตลอดเวลา สิ่งนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ค่าใช้จ่ายต่ำกว่ากองทุนเชิงรุกอย่างเห็นได้ชัด
Passive Fund vs. Active Fund: เปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญ
เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ถูกต้อง การรู้จักความแตกต่างระหว่างกองทุนเชิงรับและเชิงรุกจึงจำเป็นมาก ทั้งสองประเภทมีแนวคิดและวิธีบริหารที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
ตารางเปรียบเทียบ Passive Fund และ Active Fund:
คุณสมบัติ | Passive Fund (กองทุนเชิงรับ) | Active Fund (กองทุนเชิงรุก) |
---|---|---|
ปรัชญาการลงทุน | เชื่อว่าการเอาชนะตลาดในระยะยาวเป็นเรื่องยาก จึงเน้นการเลียนแบบผลตอบแทนตลาด | เชื่อว่าผู้จัดการกองทุนสามารถใช้ความเชี่ยวชาญเพื่อเอาชนะตลาดได้ |
กลยุทธ์การบริหาร | ติดตามดัชนีอ้างอิง (เช่น SET50, S&P 500) โดยไม่พยายามคัดเลือกหุ้นหรือจับจังหวะตลาด | ผู้จัดการกองทุนคัดเลือกหุ้น/สินทรัพย์, จับจังหวะตลาด, และปรับพอร์ตตามการวิเคราะห์ |
ค่าธรรมเนียม | ต่ำ เนื่องจากมีการซื้อขายหลักทรัพย์น้อยครั้งและไม่ต้องการการวิเคราะห์เชิงลึก | สูงกว่า เนื่องจากต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้จัดการกองทุนและทีมวิเคราะห์ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการซื้อขายที่บ่อยครั้งกว่า |
ผลตอบแทนที่คาดหวัง | สอดคล้องกับผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิง (ก่อนหักค่าธรรมเนียม) | มีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง (หลังจากหักค่าธรรมเนียม) |
ความเสี่ยง | ความเสี่ยงจะใกล้เคียงกับความเสี่ยงของตลาดโดยรวม | ความเสี่ยงอาจสูงหรือต่ำกว่าตลาด ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน |
ความโปร่งใส | สูง เพราะโครงสร้างการลงทุนเป็นไปตามดัชนีที่เปิดเผย | ต่ำกว่า เพราะการตัดสินใจลงทุนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน |
สำหรับนักลงทุนในไทย การเลือกประเภทกองทุนมักขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในผู้จัดการกองทุน ความเต็มใจจ่ายค่าธรรมเนียมสูงเพื่อลุ้นผลตอบแทนเหนือตลาด และการรับมือความเสี่ยง กองทุนเชิงรุกอาจให้ผลตอบแทนสูงหากผู้จัดการเก่งกาจ แต่กองทุนเชิงรับกลับมอบความสม่ำเสมอและคาดการณ์ง่ายกว่าในระยะยาว กสิกรไทยได้อธิบายเพิ่มเติมถึงความแตกต่างของกองทุนทั้งสองประเภท ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากสำหรับนักลงทุน
ข้อดีของการลงทุนใน Passive Fund ที่นักลงทุนควรรู้
การเลือกกองทุนเชิงรับมีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้มันเป็นที่ชื่นชอบ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการการลงทุนที่ไม่ยุ่งยาก ประหยัด และให้ผลดีในระยะยาว
- ค่าธรรมเนียมต่ำ (Low Expense Ratio): นี่คือจุดแข็งหลัก เพราะไม่ต้องคัดหุ้นหรือจับจังหวะตลาดแบบขยันขันแข็ง ค่าใช้จ่ายบริหารจึงต่ำกว่ากองทุนเชิงรุกมาก ส่งผลให้ผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจริงๆ สูงขึ้น
- กระจายความเสี่ยง (Diversification): กองทุนลงทุนในสินทรัพย์หลายตัวตามดัชนี ช่วยกระจายความเสี่ยง ลดผลกระทบจากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่ทำผลงานไม่ดี
- ความโปร่งใสสูง (Transparency): การลงทุนชัดเจนและคาดเดาได้ เพราะยึดตามดัชนีที่เปิดเผยสู่สาธารณะ นักลงทุนจึงรู้ว่ากองทุนลงทุนอะไรบ้าง
- ผลตอบแทนระยะยาวที่สอดคล้องกับตลาด (Consistent Long-term Performance): แม้จะไม่ชนะตลาด แต่ก็ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงตลาด ซึ่งในระยะยาว ตลาดหุ้นมักเติบโตบวก ทำให้เหมาะสำหรับการสะสมทรัพย์
- ง่ายต่อการลงทุนและติดตาม (Easy to Invest and Monitor): หลักการเรียบง่าย เหมาะกับมือใหม่หรือคนที่ไม่มีเวลาติดตามตลาดละเอียด
ข้อดีเหล่านี้ทำให้กองทุนเชิงรับเป็นทางเลือกที่ช่วยสร้างพอร์ตลงทุนที่แข็งแกร่งและยั่งยืน โดยไม่ต้องลงแรงวิเคราะห์ตลาดมากเกินไป
ข้อจำกัดและความท้าทายของ Passive Fund
ถึงแม้กองทุนเชิงรับจะมีจุดเด่นมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อวางแผนลงทุนให้ตรงกับสถานการณ์ตัวเอง
- ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ (Can’t Beat the Market): ตามธรรมชาติ กองทุนนี้เลียนแบบดัชนี ผลตอบแทนสูงสุดจึงเท่ากับดัชนีก่อนหักค่าใช้จ่าย แสดงว่าคุณไม่มีโอกาสได้ผลตอบแทนเหนือตลาด แม้ตลาดจะขึ้นแรงแค่ไหน
- ความเสี่ยงจากการติดตามดัชนี (Tracking Error): แม้พยายามเลียนแบบให้ใกล้ชิด แต่ก็อาจมีข้อผิดพลาดหรือ Tracking Error จากปัจจัยเช่นค่าธรรมเนียม ต้นทุนเทรด สภาพคล่อง หรือการปรับองค์ประกอบดัชนี ทำให้ผลตอบแทนต่างจากดัชนีเล็กน้อย
- ขาดความยืดหยุ่นในตลาดขาลง (Lack of Flexibility in Bear Markets): ในช่วงตลาดตกต่ำหรือผันผวนรุนแรง กองทุนจะลงตามตลาด เพราะไม่มีผู้จัดการที่ปรับกลยุทธ์ เช่น ลดหุ้นหรือย้ายไปสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อลดขาดทุน
- อาจลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพ (Inclusion of Underperforming Companies): ต้องลงทุนตามดัชนีทุกตัว ไม่ว่าจะผลงานดีหรือไม่ รวมถึงบริษัทที่เติบโตช้าหรือทำผลไม่ดี
การตระหนักถึงข้อจำกัดเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนประเมินว่ากองทุนเชิงรับเหมาะกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่รับได้หรือไม่ และจัดพอร์ตลงทุนให้สมดุลที่สุด
ใครเหมาะกับการลงทุนใน Passive Fund?
กองทุนเชิงรับเหมาะกับนักลงทุนหลายกลุ่ม ด้วยความเรียบง่ายและค่าใช้จ่ายต่ำ นี่คือประเภทนักลงทุนที่มักได้ประโยชน์จากมัน
- นักลงทุนมือใหม่ (Beginner Investors): ผู้เริ่มต้นสามารถใช้เป็นจุดเด่น เพราะไม่ต้องรู้ลึกเรื่องวิเคราะห์หุ้น และช่วยเรียนรู้การกระจายความเสี่ยงได้ง่าย
- ผู้ที่มีเวลาน้อย (Time-Constrained Investors): สำหรับคนที่ยุ่ง ไม่มีเวลาศึกษาตลาดหรือข่าวสาร กองทุนนี้ช่วยลงทุนโดยไม่ต้องลงแรงมาก
- ผู้ที่ต้องการผลตอบแทนตามตลาด (Market-Average Seekers): ถ้าคุณแค่อยากได้ผลตอบแทนตามตลาดโดยไม่ลุ้นชนะ มันตอบโจทย์ตรงๆ
- นักลงทุนระยะยาว (Long-term Investors): เหมาะมากสำหรับลงทุนยาว เพราะตลาดเติบโตในระยะยาว การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนในกองทุนนี้ช่วยสะสมทรัพย์ได้ดี
- ผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่าย (Cost-Conscious Investors): ถ้าคุณใส่ใจค่าธรรมเนียม กองทุนที่มีค่าต่ำจะช่วยรักษาผลตอบแทนสุทธิให้สูง
- ผู้ที่เชื่อในประสิทธิภาพของตลาด (Believers in Market Efficiency): นักลงทุนที่มองว่าข้อมูลสะท้อนในราคาหุ้นแล้ว การชนะตลาดยาวๆ จึงยาก
ดังนั้น การลงทุนในกองทุนเชิงรับจึงเป็นทางเลือกฉลาดสำหรับผู้ที่อยากมีพอร์ตมั่นคง เติบโตตามตลาด โดยไม่เสียเวลาและเงินมากในการจัดการ
เลือก Passive Fund อย่างไรให้เหมาะกับคุณในตลาดไทย
การคัดเลือกกองทุนเชิงรับในตลาดไทยต้องดูหลายปัจจัย เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ นี่คือคำแนะนำสำหรับนักลงทุนไทย
เริ่มจากมองหาผลิตภัณฑ์จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ชั้นนำ เช่น บลจ.กสิกรไทย (KAsset), บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM), บลจ.กรุงศรี (Krungsri Asset Management), หรือ บลจ.บัวหลวง (BBLAM) ซึ่งมีกองทุนเชิงรับหลากหลายและน่าเชื่อถือ
ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา ได้แก่
- ดัชนีอ้างอิง: เลือกดัชนีที่คุณเข้าใจและมั่นใจในศักยภาพ เช่น SET50 สำหรับหุ้นใหญ่ 50 ตัวในไทย, SET100 สำหรับ 100 ตัว หรือถ้าลงทุนต่างประเทศ อาจเป็น S&P 500 สำหรับสหรัฐฯ หรือ MSCI World Index สำหรับตลาดโลก
- ประเภทกองทุน: ตัดสินใจระหว่าง Index Fund หรือ ETF ถ้าต้องการเทรดระหว่างวันแบบหุ้น ETF จะยืดหยุ่นกว่า แต่ถ้าไม่รีบและพอใจซื้อขายสิ้นวัน Index Fund ก็ดี
- แพลตฟอร์มการซื้อขาย: ในไทย สามารถซื้อผ่าน Streaming by Settrade สำหรับ ETF หรือเว็บ/แอปของบลจ. โดยตรง โบรกเกอร์ออนไลน์อย่าง Finnomena หรือ Phillip Capital
- ภาษี: การลงทุนกองทุนรวมในไทยอาจเกี่ยวข้องกับภาษีกำไรทุนหรือเงินปันผล ควรศึกษากฎภาษีของแต่ละกอง และพิจารณากองทุนเพื่อการออม (SSF) หรือเพื่อเลี้ยงชีพ (RMF) ที่รวม Passive Fund เพื่อสิทธิลดหย่อนภาษี
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก Passive Fund ในไทย
- ค่าธรรมเนียม (Fees): ค่าธรรมเนียมกระทบผลตอบแทนสุทธิ ดู Management Fee และ Total Expense Ratio (TER) เลือกที่ต่ำที่สุด
- ความคลาดเคลื่อนในการติดตามดัชนี (Tracking Error): หากองทุนที่มี Tracking Error ต่ำ เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีมากที่สุด
- ขนาดของกองทุน (Fund Size): กองทุนใหญ่ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) มาก มักมีสภาพคล่องดีและต้นทุนต่ำต่อหน่วย
- นโยบายการลงทุน (Investment Policy): ตรวจสอบว่านโยบายตรงกับดัชนีที่ต้องการ ไม่ลงทุนนอกเหนือ
- ผลตอบแทนย้อนหลัง (Historical Returns): ใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบ แม้ไม่รับประกันอนาคต แต่ช่วยดูประสิทธิภาพ
- ชื่อเสียงของ บลจ. (Asset Management Company Reputation): เลือกบลจ.ที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ และผลงานดี
การศึกษาปัจจัยเหล่านี้ให้ละเอียดจะช่วยให้คุณเลือกกองทุนเชิงรับที่เหมาะสมในตลาดไทย สร้างฐานะทางการเงินที่มั่นคงในระยะยาว
สรุป: วางแผนการลงทุนด้วย Passive Fund อย่างชาญฉลาด
กองทุนเชิงรับได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นเครื่องมือลงทุนที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักลงทุนหลายคน ด้วยแนวคิดเรียบง่ายที่ยึดติดตามผลตอบแทนตลาด ลดต้นทุน และกระจายความเสี่ยง ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูด โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ คนเวลาจำกัด หรือผู้ที่ต้องการผลตอบแทนตามตลาดในระยะยาว
แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัด เช่น ไม่ชนะตลาดและขาดความยืดหยุ่นในตลาดไม่เอื้อ ดังนั้น การรู้ทั้งข้อดีข้อเสียจึงสำคัญ เพื่อตัดสินใจลงทุนให้ตรงกับเป้าหมายส่วนตัว
สำหรับนักลงทุนไทย ควรเลือกโดยดูดัชนีอ้างอิง ค่าธรรมเนียมต่ำ Tracking Error ชื่อเสียงบลจ. รวมถึงภาษีและแพลตฟอร์มที่สะดวก
ไม่ว่าจะเลือกกองทุนเชิงรับหรือรุก สิ่งสำคัญคือมีแผนชัดเจน รู้ความเสี่ยงที่รับได้ และยึดวินัยลงทุนยาว หากสงสัย ควรปรึกษาที่ปรึกษาการลงทุนมืออาชีพในไทย เพื่อแผนที่มั่นใจและมีประสิทธิภาพ
กองทุน Passive Fund ในไทยมีตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง?
ในประเทศไทย มี Passive Fund ที่น่าสนใจหลายกองทุน โดยส่วนใหญ่จะอ้างอิงดัชนี SET50 เช่น K-SET50 ของ บลจ.กสิกรไทย, SCBSET50 ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ หรือ BSET50 ของ บลจ.บัวหลวง นอกจากนี้ยังมี ETF ที่อ้างอิงดัชนีเหล่านี้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย เช่น TDEX (อ้างอิง SET50) สำหรับกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศอาจมีให้เลือกจาก บลจ. ต่างๆ ที่อ้างอิงดัชนีระดับโลกอย่าง S&P 500 หรือ MSCI World Index.
การลงทุน Passive Fund ต้องเสียภาษีอย่างไรในประเทศไทย?
ในประเทศไทย กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมส่วนใหญ่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สำหรับเงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนรวมจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% อย่างไรก็ตาม หากเป็น ETF ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ กำไรจากการขายอาจเข้าข่ายต้องเสียภาษีกำไรจากหลักทรัพย์ (Capital Gains Tax) เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือศึกษาข้อมูลจากกรมสรรพากรเพื่อความชัดเจน.
Passive Fund ต่างกับ ETF อย่างไร? ฉันควรเลือกแบบไหน?
Passive Fund เป็นคำกว้างๆ ที่ครอบคลุมถึงกองทุนที่บริหารจัดการแบบเชิงรับ ส่วน ETF (Exchange Traded Fund) เป็นรูปแบบหนึ่งของ Passive Fund ที่มีลักษณะเป็นกองทุนรวมดัชนี แต่สามารถซื้อขายได้ตลอดทั้งวันทำการเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ
- Index Fund (Passive Fund รูปแบบหนึ่ง): ซื้อขายเป็นหน่วยลงทุน ณ สิ้นวันทำการผ่าน บลจ.
- ETF: ซื้อขายได้ตลอดวันผ่านโบรกเกอร์หุ้น มีสภาพคล่องสูงกว่า
คุณควรเลือกแบบไหนขึ้นอยู่กับความต้องการ: ถ้าต้องการความยืดหยุ่นในการซื้อขายระหว่างวันและสภาพคล่องสูง เลือก ETF แต่ถ้าต้องการความเรียบง่ายและไม่ต้องการจับจังหวะตลาดบ่อยๆ Index Fund ก็เป็นทางเลือกที่ดี.
นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นลงทุน Passive Fund อย่างไร?
สำหรับนักลงทุนมือใหม่:
- ศึกษาข้อมูล: ทำความเข้าใจ Passive Fund และดัชนีที่คุณสนใจ.
- กำหนดเป้าหมาย: กำหนดเป้าหมายการลงทุนและระยะเวลา.
- เลือก บลจ. หรือแพลตฟอร์ม: เปิดบัญชีกับ บลจ. หรือโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ เช่น Finnomena, Settrade.
- เริ่มต้นลงทุน: เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยๆ อย่างสม่ำเสมอแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging).
- ติดตามผล: ตรวจสอบผลการดำเนินงานเป็นระยะ และปรับแผนหากจำเป็น.
กองทุน Passive Fund ของธนาคารกสิกรไทย (KBank) มีอะไรบ้าง?
บลจ.กสิกรไทย (KAsset) มี Passive Fund ที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น K-SET50 (อ้างอิงดัชนี SET50), K-CHANGE (อ้างอิงดัชนีที่ลงทุนในหุ้นนวัตกรรมทั่วโลก) และยังมีกองทุน ETF ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น K-SET50ETF นอกจากนี้ยังอาจมีกองทุน Passive Fund ที่ลงทุนในต่างประเทศที่อ้างอิงดัชนีชั้นนำของโลกอีกด้วย.
Passive Fund มีความเสี่ยงอะไรบ้างที่ต้องระวัง?
ความเสี่ยงหลักของ Passive Fund คือ:
- ความเสี่ยงตลาด: ผลตอบแทนจะขึ้นลงตามตลาดโดยรวม
- ความเสี่ยงจากการติดตามดัชนี (Tracking Error): ผลตอบแทนอาจไม่ตรงกับดัชนีเป้าหมาย 100%
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: หากดัชนีประกอบด้วยหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ อาจมีผลกระทบต่อการซื้อขายของกองทุนได้
- ไม่สามารถหลีกเลี่ยงตลาดขาลง: กองทุนจะปรับตัวลงตามตลาดเมื่อเกิดภาวะตลาดหมี
ฉันจะซื้อ Passive Fund ได้จากแพลตฟอร์มไหนในไทย?
คุณสามารถซื้อ Passive Fund ได้จากหลายช่องทางในประเทศไทย:
- บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) โดยตรง: ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของ บลจ. เช่น KAsset, SCBAM, Krungsri Asset Management.
- ตัวแทนจำหน่าย/โบรกเกอร์ออนไลน์: เช่น Finnomena, Settrade, Phillip Capital, หรือธนาคารพาณิชย์ต่างๆ.
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย: สำหรับ ETF สามารถซื้อขายได้ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (พอร์ตหุ้น) ในระบบ Streaming by Settrade.
ควรลงทุนใน Passive Fund เป็นระยะเวลานานเท่าไหร่?
Passive Fund เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยทั่วไปแนะนำให้ลงทุนอย่างน้อย 5-10 ปีขึ้นไป เพื่อให้กองทุนมีเวลาสร้างผลตอบแทนตามการเติบโตของตลาด และลดผลกระทบจากความผันผวนระยะสั้น การลงทุนระยะยาวจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากพลังของดอกเบี้ยทบต้น.
Passive Fund สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า Active Fund จริงหรือ?
มีการศึกษาจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า ในระยะยาว กองทุน Passive Fund จำนวนมากมักจะสร้างผลตอบแทนสุทธิ (หลังหักค่าธรรมเนียม) ได้ดีกว่าหรือใกล้เคียงกับกองทุน Active Fund ส่วนใหญ่ สาเหตุหลักมาจากค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าของ Passive Fund และความยากในการที่ผู้จัดการกองทุน Active Fund จะสามารถเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว อย่างไรก็ตาม Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนฝีมือดีก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นได้เช่นกัน
ค่าธรรมเนียมของ Passive Fund ในไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไหร่?
ค่าธรรมเนียมของ Passive Fund ในไทยโดยเฉลี่ยจะต่ำกว่า Active Fund อย่างชัดเจน โดยทั่วไปแล้ว ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ของ Passive Fund ที่อ้างอิงดัชนีไทยอาจอยู่ในช่วง 0.1% – 0.7% ต่อปี ขึ้นอยู่กับ บลจ. และนโยบายของกองทุน ส่วนค่าใช้จ่ายรวมต่อปี (Total Expense Ratio – TER) อาจอยู่ที่ประมาณ 0.2% – 1% ต่อปี ซึ่งยังถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับ Active Fund ที่อาจมีค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 1% – 2% ขึ้นไป.