ออปชั่น: เครื่องมือสำคัญในตลาดยุคผันผวน ทั้ง SET50 และ คริปโต 2025

Table of Contents

ออปชั่น: เครื่องมือสำคัญในตลาดยุคผันผวน ทั้ง SET50 และ คริปโต

ในภาวะที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไทย หรือตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เครื่องมือทางการเงินที่มีความซับซ้อนแต่ก็เปี่ยมด้วยศักยภาพอย่าง ออปชั่น (Options) ได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจอย่างมาก คุณอาจเคยได้ยินคำนี้ หรือเคยเห็นผ่านตาในข่าวสารการลงทุน แต่อาจจะยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร และเราจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้างในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอนเช่นนี้?

บทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกโลกของออปชั่น ตั้งแต่พื้นฐานที่สำคัญในตลาดอนุพันธ์ของไทยอย่าง SET50 Options ไปจนถึงสถานการณ์ล่าสุดในตลาด คริปโตเคอร์เรนซี อย่าง Bitcoin และ Ethereum เราจะทำความเข้าใจกลไกการทำงาน กลยุทธ์พื้นฐานสำหรับการเก็งกำไรและการบริหารความเสี่ยง ความท้าทายที่คุณในฐานะผู้ลงทุนมือใหม่อาจต้องเผชิญ และแนะนำเครื่องมือที่จะช่วยให้การตัดสินใจของคุณง่ายขึ้น พร้อมทั้งมองปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดออปชั่นเหล่านี้ เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเรากำลังจะเข้าสู่โลกที่ซับซ้อนแต่ก็น่าตื่นเต้นของการเทรดออปชั่นไปด้วยกัน

ภาพประกอบของตลาดการเทรดออปชั่น

ออปชั่น (Options) มีข้อดีหลายประการ ตอนนี้เรามาเรียนรู้คุณสมบัติสำคัญของออปชั่นกัน:

  • สามารถใช้ในการเก็งกำไรเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา
  • มีความยืดหยุ่น สามารถออกแบบกลยุทธ์ตามความต้องการของนักลงทุน
  • สามารถใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้

นอกจากคุณสมบัติที่กล่าวถึงแล้ว ออปชั่นยังมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในส่วนนี้เราจะสำรวจข้อดีข้อเสียของการลงทุนในออปชั่น

ข้อดี ข้อเสีย
โอกาสสร้างผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงจากการสูญเสียเบี้ยประกันภัย
สามารถควบคุมต้นทุนการลงทุน ต้องเข้าใจกลไกการทำงานที่ซับซ้อน
ใช้ในการป้องกันความเสี่ยงได้ อาจมีความผันผวนในราคาที่สูง

ทำความเข้าใจพื้นฐาน: ออปชั่นคืออะไร?

เริ่มต้นจากคำถามที่สำคัญที่สุด: ออปชั่นคืออะไร? ออปชั่น หรือชื่อเต็มคือ สัญญาออปชั่น (Option Contract) เป็นเครื่องมือทางการเงินประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่ม ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น “อนุพันธ์” ซึ่งหมายถึง มูลค่าของมันจะขึ้นอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์อื่นที่เราเรียกว่า สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) สินทรัพย์อ้างอิงนี้อาจเป็นได้ทั้ง หุ้น ดัชนีหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน หรือแม้แต่สกุลเงินดิจิทัล

หัวใจสำคัญของสัญญาออปชั่นคือ มันให้ “สิทธิ” แก่ผู้ซื้อ แต่ไม่ใช่ “ภาระผูกพัน” หรือ “หน้าที่” ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงนั้นตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าภายในระยะเวลาที่กำหนด ลองนึกภาพว่าคุณกำลังซื้อ “ประกัน” ชนิดหนึ่ง ซึ่งให้สิทธิคุณเรียกร้องบางอย่างภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด แต่คุณก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องเรียกร้องสิ่งนั้นเสมอไป

ภาพประกอบการอธิบายออปชั่น

มีออปชั่นหลักๆ สองประเภทที่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจคือ:

  • Call Option (คอล ออปชั่น): สัญญาที่ให้ สิทธิในการซื้อ สินทรัพย์อ้างอิงตามราคาที่กำหนด (ราคาใช้สิทธิ) ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ซื้อ Call Option มักจะคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงมีแนวโน้มที่จะ สูงขึ้น ในอนาคต
  • Put Option (พุท ออปชั่น): สัญญาที่ให้ สิทธิในการขาย สินทรัพย์อ้างอิงตามราคาที่กำหนด (ราคาใช้สิทธิ) ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ซื้อ Put Option มักจะคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงมีแนวโน้มที่จะ ลดลง ในอนาคต หรือใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่ลดลงสำหรับสินทรัพย์ที่ตนเองถืออยู่

สิ่งสำคัญคือ ผู้ซื้อสิทธิ (ผู้ซื้อออปชั่น) จะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้ขายสิทธิ (ผู้ขายออปชั่น) เราเรียกเงินจำนวนนี้ว่า เบี้ยประกันภัย (Premium) หรือ ราคาออปชั่น (Option Price) นี่คือต้นทุนที่คุณต้องจ่ายเพื่อได้มาซึ่ง “สิทธิ” นั้น

ประเภทออปชั่น คุณสมบัติ
Call Option สิทธิในการซื้อสินทรัพย์
Put Option สิทธิในการขายสินทรัพย์

Call Options vs. Put Options: ความแตกต่างและการใช้งานเบื้องต้น

เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่า Call และ Put Option คืออะไร ขั้นตอนต่อไปคือการทำความเข้าใจว่าเราจะนำมันไปใช้ได้อย่างไรตามมุมมองต่อตลาดของคุณ

สำหรับ Call Option:

ถ้าคุณเป็นคนที่มองว่าสินทรัพย์อ้างอิง เช่น ดัชนี SET50 หรือราคา Bitcoin มีแนวโน้มที่จะปรับตัว สูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต คุณสามารถเลือกที่จะ ซื้อ Call Option (Long Call) เหตุผลที่คุณอาจเลือกใช้ออปชั่นแทนการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรงมีหลายประการ เช่น

  • ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า: การซื้อ Call Option มักใช้เงินลงทุน (จ่ายแค่เบี้ยประกันภัย) น้อยกว่าการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราทด (Leverage)
  • จำกัดความเสี่ยงขาลง: หากราคาไม่ขึ้นอย่างที่คาด หรือกลับทิศทางลง ความเสี่ยงสูงสุดของคุณคือเงินเบี้ยประกันภัยที่คุณจ่ายไปทั้งหมดเท่านั้น
  • โอกาสทำกำไรสูง: หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงสูงขึ้นมากจนเกินราคาใช้สิทธิบวกเบี้ยประกันภัย กำไรของคุณสามารถเพิ่มขึ้นได้หลายเท่าตัว

สำหรับ Put Option:

ในทางกลับกัน ถ้าคุณมองว่าสินทรัพย์อ้างอิงมีแนวโน้มที่จะ ลดลง คุณสามารถเลือกที่จะ ซื้อ Put Option (Long Put) กลยุทธ์นี้ใช้เพื่อ:

  • เก็งกำไรขาลง: หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงลดลงมากจนต่ำกว่าราคาใช้สิทธิหักด้วยเบี้ยประกันภัย คุณก็มีโอกาสทำกำไรจากการที่สิทธิในการขายของคุณมีมูลค่าสูงขึ้น
  • ป้องกันความเสี่ยงพอร์ตหุ้น (Hedging): สมมติว่าคุณถือหุ้นในพอร์ตจำนวนมาก และกังวลว่าตลาดโดยรวมอาจปรับฐานลง คุณสามารถซื้อ Put Option ที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 เพื่อป้องกันความเสี่ยง หากดัชนี SET50 ลดลง มูลค่าของ Put Option ที่คุณถือก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถชดเชยผลขาดทุนบางส่วนหรือทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพอร์ตหุ้นของคุณได้ นี่เหมือนกับการซื้อ “ประกัน” ให้กับพอร์ตของคุณนั่นเอง

การทำความเข้าใจการใช้งานพื้นฐานของ Call และ Put Option นี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก ก่อนที่คุณจะเริ่มศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบอื่นๆ ของสัญญาและกลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น

ภาพประกอบกลยุทธ์การลงทุนในออปชั่น

ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) และการหมดอายุ: หัวใจของสัญญา

นอกจากประเภทของออปชั่น (Call หรือ Put) แล้ว ยังมีองค์ประกอบสำคัญอีกสองอย่างที่คุณต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง คือ ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) และ วันหมดอายุ (Expiry Date)

ราคาใช้สิทธิ (Strike Price): นี่คือราคาที่ตกลงกันในสัญญาออปชั่น ที่ผู้ซื้อออปชั่นมีสิทธิที่จะซื้อ (สำหรับ Call) หรือขาย (สำหรับ Put) สินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคานี้ การเลือกราคาใช้สิทธิเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อเบี้ยประกันภัยและโอกาสในการทำกำไรหรือขาดทุนของคุณ

  • In-the-Money (ITM): สำหรับ Call Option คือเมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงสูงกว่าราคาใช้สิทธิ / สำหรับ Put Option คือเมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ออปชั่น ITM จะมีมูลค่าที่เรียกว่า มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value)
  • At-the-Money (ATM): คือเมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงเท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาใช้สิทธิ
  • Out-of-the-Money (OTM): สำหรับ Call Option คือเมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ / สำหรับ Put Option คือเมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงสูงกว่าราคาใช้สิทธิ ออปชั่น OTM จะไม่มีมูลค่าที่แท้จริง และมีโอกาสหมดอายุโดยไร้มูลค่าหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการก่อนหมดอายุ

วันหมดอายุ (Expiry Date): ทุกสัญญาออปชั่นจะมีอายุจำกัด เมื่อถึงวันหมดอายุ สัญญาออปชั่นจะสิ้นสุดลง หากออปชั่นที่คุณถืออยู่เป็น OTM ณ วันหมดอายุ มันก็จะหมดอายุโดยไร้มูลค่า และคุณจะสูญเสียเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปทั้งหมด

ระยะเวลาที่เหลืออยู่จนถึงวันหมดอายุมีผลอย่างมากต่อ เบี้ยประกันภัย (Premium) และ มูลค่าตามเวลา (Time Value) ของออปชั่น ออปชั่นที่มีอายุเหลือยาวนานกว่ามักจะมีมูลค่าตามเวลามากกว่า และมีเบี้ยประกันภัยที่สูงกว่า เพราะมีโอกาสมากขึ้นที่ราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการก่อนหมดอายุ ในทางกลับกัน เมื่อเข้าใกล้วันหมดอายุ มูลค่าตามเวลาก็จะค่อยๆ ลดลงจนเหลือศูนย์ ณ วันหมดอายุ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Time Decay หรือ Theta (หนึ่งใน Options Greeks) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เทรดออปชั่นต้องทำความเข้าใจ

การเลือกราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุที่เหมาะสมกับมุมมองและระยะเวลาการลงทุนของคุณ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยชี้ขาดในความสำเร็จของการเทรดออปชั่น

กลยุทธ์พื้นฐานในการใช้ออปชั่น: จากการเก็งกำไรสู่การป้องกันความเสี่ยง

เราได้พูดถึงการใช้ Call Options เพื่อเก็งกำไรขาขึ้น และ Put Options เพื่อเก็งกำไรขาลงหรือป้องกันความเสี่ยงไปแล้ว นี่คือภาพรวมของกลยุทธ์พื้นฐานที่ผู้ลงทุนนิยมใช้ ซึ่งคุณสามารถเริ่มศึกษาได้:

  • Long Call (ซื้อ Call): อย่างที่เรากล่าวไป คือการคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เหมาะกับการมองภาพตลาดในเชิงบวก และต้องการใช้ Leverage
  • Long Put (ซื้อ Put): ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะลดลง หรือใช้เป็นเครื่องมือ การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) สำหรับพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงนั้นๆ เช่น ซื้อ Put SET50 เพื่อป้องกันความเสี่ยงพอร์ตหุ้นไทย
  • Short Call (ขาย Call): เป็นการคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ ไม่สูงขึ้น อย่างที่ผู้ซื้อ Call คาด หรืออาจจะลดลง ผู้ขาย Call จะได้รับเบี้ยประกันภัย แต่ความเสี่ยงขาขึ้นไม่จำกัดหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงพุ่งขึ้นแรง ซึ่งอันตรายมากสำหรับมือใหม่หากไม่มีสินทรัพย์อ้างอิงให้ส่งมอบ
  • Short Put (ขาย Put): เป็นการคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ ไม่ลดลง อย่างที่ผู้ซื้อ Put คาด หรืออาจจะสูงขึ้น ผู้ขาย Put จะได้รับเบี้ยประกันภัย และมีภาระผูกพันต้องซื้อสินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาใช้สิทธิ หากราคาตลาดต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ณ วันหมดอายุ ความเสี่ยงขาลงมีจำกัดที่ราคาใช้สิทธิ (หากราคาลงไปถึงศูนย์) แต่คุณก็ยังต้องรับสินทรัพย์อ้างอิงมา

กลยุทธ์ซื้อ (Long) Call และ Put นั้น มีความเสี่ยงสูงสุดจำกัดอยู่ที่เบี้ยประกันภัยที่จ่ายไป ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยกว่าสำหรับผู้เริ่มต้น เมื่อเทียบกับกลยุทธ์ขาย (Short) Call ที่มีความเสี่ยงขาขึ้นไม่จำกัด (ถ้าไม่ได้ทำ Covered Call) และ Short Put ที่ต้องรับภาระผูกพันในการซื้อ

นอกจากกลยุทธ์พื้นฐานเหล่านี้ ยังมีกลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้นที่เรียกว่า กลยุทธ์แบบผสม (Combination Strategies) หรือ กลยุทธ์แบบกระจาย (Spread Strategies) ที่นำเอาออปชั่นหลายๆ สัญญา ทั้ง Call และ Put ที่มีราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุต่างกัน มาประกอบรวมกัน เพื่อสร้างรูปแบบผลตอบแทนที่เฉพาะเจาะจง เหมาะสมกับมุมมองของตลาดที่ละเอียดอ่อนขึ้น เช่น การใช้ Calendar Spread, Vertical Spread, Straddle, Strangle เป็นต้น กลยุทธ์เหล่านี้มักมีวัตถุประสงค์เพื่อจำกัดความเสี่ยง กำหนดกรอบการทำกำไร/ขาดทุนให้ชัดเจน หรือใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด แต่ก็มีความซับซ้อนในการบริหารจัดการที่สูงขึ้นเช่นกัน

เจาะลึกตลาดออปชั่นไทย: SET50 Options และความท้าทายสำหรับผู้เริ่มต้น

สำหรับผู้ลงทุนในประเทศไทย ตลาดออปชั่นที่เป็นที่นิยมและมีการซื้อขายมากที่สุดแห่งหนึ่งคือ SET50 Options ซึ่งซื้อขายกันอยู่ใน ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (TFEX) สินทรัพย์อ้างอิงของ SET50 Options คือดัชนี SET50 Index ซึ่งสะท้อนถึงราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ 50 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

ด้วย SET50 Options ผู้ลงทุนมีโอกาสที่จะ:

  • เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวในดัชนี SET50
  • ใช้เป็นกลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงโดยอ้างอิงจากดัชนี
  • สามารถซื้อขาย Options ได้หลายๆ ซีรีส์ในเวลาเดียวกัน

SET50 Options ใน TFEX มีลักษณะเฉพาะที่สำคัญคือ ความหลากหลายของสัญญา หรือที่เรียกว่า “ซีรีส์” (Series) ณ เวลาหนึ่งๆ จะมี SET50 Options ที่มี ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่แตกต่างกันหลายระดับ และมี เดือนที่หมดอายุ (Expiry Month) ที่แตกต่างกันให้เลือกซื้อขายได้พร้อมกันจำนวนมาก

ลองนึกภาพดู คุณต้องการเทรด SET50 Options เพราะมองว่าดัชนี SET50 จะขึ้น แต่คุณต้องตัดสินใจว่า จะซื้อ Call Option ที่ราคาใช้สิทธิเท่าไหร่? จะเลือกสัญญาที่หมดอายุเดือนไหน? จะใช้เงินลงทุนเท่าไหร่? และถ้าดัชนีขึ้นไปถึงระดับที่คุณคาดหวังจริงๆ คุณจะได้กำไรเท่าไหร่? หรือถ้าดัชนีไม่ขึ้นและหมดอายุ คุณจะขาดทุนเท่าไหร่?

ความหลากหลายของซีรีส์ SET50 Options นี่เองที่กลายเป็น ความท้าทายสำคัญสำหรับผู้ลงทุนมือใหม่ การตัดสินใจว่าจะเลือกสัญญาใดจากตัวเลือกนับสิบหรืออาจจะร้อยซีรีส์ (เมื่อรวมทั้ง Call และ Put) โดยที่ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างราคาใช้สิทธิ เดือนหมดอายุ เบี้ยประกันภัย มูลค่าตามเวลา และผลตอบแทนที่คาดหวัง อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด และทำให้การเทรดออปชั่นกลายเป็นเรื่องยากและน่ากลัว

คุณอาจจะลองคำนวณผลตอบแทนที่จุดต่างๆ ด้วยตัวเอง แต่การทำเช่นนั้นสำหรับหลายๆ ซีรีส์เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและใช้เวลา นี่คือจุดที่เครื่องมือช่วยเหลือเข้ามามีบทบาทสำคัญ

Options Wizard: เครื่องมือช่วยตัดสินใจเทรดออปชั่น

เพื่อแก้ไขปัญหาความยุ่งยากในการเลือกและทำความเข้าใจ SET50 Options สำหรับผู้ลงทุนมือใหม่ ทาง Settrade ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้พัฒนาเครื่องมือที่ชื่อว่า Options Wizard ขึ้นมา เครื่องมือนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงและตัดสินใจเลือกซื้อ SET50 Options ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนวณที่ซับซ้อนด้วยตัวเอง

แนวคิดเบื้องหลัง Options Wizard คือ การให้คุณใส่ “มุมมอง” ของคุณเกี่ยวกับทิศทางและระดับการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET50 จากนั้นเครื่องมือจะช่วยคำนวณและแสดงข้อมูลสำคัญประกอบการตัดสินใจสำหรับซีรีส์ออปชั่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลสำคัญที่ Options Wizard ช่วยแสดงและเปรียบเทียบได้แก่:

  • มูลค่าเงินลงทุน: แสดงให้เห็นว่าการซื้อออปชั่นซีรีส์นั้นๆ ต้องใช้เงินลงทุน (เบี้ยประกันภัย) เท่าไหร่
  • จุดคุ้มทุน (Break-even Point): ราคาของดัชนี SET50 ที่คุณจะต้องถึง หรือสูงกว่า (สำหรับ Long Call) หรือต่ำกว่า (สำหรับ Long Put) เพื่อให้เท่าทุน ณ วันหมดอายุ เมื่อรวมเบี้ยประกันภัยเข้าไปแล้ว
  • ผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected Payoff): แสดงกราฟหรือตารางผลตอบแทนที่คุณจะได้รับ ณ วันหมดอายุ ที่ระดับราคา SET50 ต่างๆ รวมถึงแสดงผลตอบแทนสูงสุดและขาดทุนสูงสุดที่เป็นไปได้
  • ข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง: เช่น อัตราการเปลี่ยนแปลงของเบี้ยประกันภัยต่อการเปลี่ยนแปลง 1 จุดของ SET50 (Delta) เป็นต้น

ด้วย Options Wizard คุณสามารถเปรียบเทียบซีรีส์ออปชั่นต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เห็นภาพรวมของผลตอบแทนและความเสี่ยงที่คาดหวัง ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนและทำให้การตัดสินใจเลือกออปชั่นที่เหมาะสมกับมุมมองของคุณง่ายขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าเครื่องมือนี้เป็นเพียงตัวช่วย การตัดสินใจสุดท้ายยังขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์และมุมมองของคุณเอง

ก้าวสู่โลกคริปโต: ออปชั่น Bitcoin และ Ethereum

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin (BTC) หรือ Ethereum (ETH) ไม่ได้มีเพียงแค่การซื้อขายสินทรัพย์โดยตรง (Spot Trading) หรือสัญญาฟิวเจอร์สเท่านั้น แต่ยังมีการซื้อขาย ออปชั่น (Options) ในปริมาณที่มหาศาลบนแพลตฟอร์มซื้อขายอนุพันธ์คริปโตระดับโลก เช่น Deribit ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดนี้

แนวคิดของออปชั่นในตลาดคริปโตมีความคล้ายคลึงกับออปชั่นในตลาดดั้งเดิม คือให้สิทธิในการซื้อ (Call) หรือขาย (Put) สินทรัพย์อ้างอิง (เช่น BTC หรือ ETH) ตามราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด (Expiry Date) ผู้ลงทุนสามารถใช้ ออปชั่นคริปโต เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น:

  • การเก็งกำไร: ใช้ Long Call เมื่อคาดว่าราคา BTC/ETH จะขึ้นแรง หรือ Long Put เมื่อคาดว่าราคาจะลงแรง
  • การป้องกันความเสี่ยง: สำหรับผู้ที่ถือ BTC หรือ ETH อยู่แล้ว อาจซื้อ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่ลดลง คล้ายกับการทำ Hedging ในตลาดหุ้น
  • การสร้างรายได้เพิ่มเติม: ผู้ที่ถือ BTC/ETH อยู่แล้ว อาจขาย Call Option (Covered Call) เพื่อรับเบี้ยประกันภัย
  • การสร้างกลยุทธ์ที่ซับซ้อน: เช่น การใช้ Option Spreads เพื่อจำกัดความเสี่ยงและกำหนดกรอบกำไร/ขาดทุนที่ชัดเจน

สิ่งที่น่าสนใจคือ ตลาดออปชั่นคริปโตมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีปริมาณการซื้อขายและมูลค่าสัญญาคงค้าง (Open Interest) ที่สูงมาก ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า มีการหมดอายุของออปชั่น Bitcoin และ Ethereum ในแต่ละสัปดาห์ด้วยมูลค่ารวมหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงขนาดและความสำคัญของตลาดออปชั่นในโลกคริปโต และเป็นปัจจัยสำคัญที่เราต้องจับตาดู

การหมดอายุของออปชั่นคริปโต: ความผันผวนที่ต้องจับตา

ประเด็นสำคัญในตลาด ออปชั่นคริปโต โดยเฉพาะ Bitcoin และ Ethereum คือเหตุการณ์ การหมดอายุของสัญญาออปชั่น (Option Expiry) ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ (เช่น รายสัปดาห์ หรือรายเดือน) เมื่อมีสัญญาออปชั่นจำนวนมหาศาลกำลังจะหมดอายุในวันเดียวกัน สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ ความผันผวน (Volatility) ของราคา Bitcoin และ Ethereum ในระยะสั้น

สาเหตุหนึ่งที่การหมดอายุจำนวนมากอาจเพิ่มความผันผวนคือ กิจกรรมของผู้ค้าออปชั่นรายใหญ่ หรือ Market Makers ที่รับหน้าที่ให้สภาพคล่อง พวกเขาต้องบริหารจัดการความเสี่ยงของพอร์ตออปชั่นที่ถืออยู่ ซึ่งมักจะทำโดยการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น BTC หรือ ETH) เพื่อปรับสมดุล Delta ของพอร์ต (Delta Hedging) ยิ่งสัญญาเข้าใกล้วันหมดอายุ การเปลี่ยนแปลงของ Delta ต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิง (Gamma) ก็ยิ่งสูงขึ้น ทำให้ Market Makers ต้องปรับพอร์ตด้วยการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงถี่ขึ้นและมากขึ้น เมื่อสัญญาจำนวนมหาศาลเข้าใกล้วันหมดอายุพร้อมๆ กัน กิจกรรม Gamma Hedging นี้ก็อาจเพิ่มแรงซื้อแรงขายในตลาด Spot หรือ Futures และกระตุ้นให้เกิดความผันผวนได้

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่เรียกว่า “Max Pain Theory” ที่เกี่ยวข้องกับการหมดอายุของออปชั่น

ทฤษฎี Max Pain และอัตราส่วน Put-to-Call: อ่านสัญญาณตลาด

เมื่อพูดถึงการหมดอายุของออปชั่น โดยเฉพาะในตลาดคริปโตที่มีปริมาณมหาศาล เรามักจะได้ยินคำว่า “Max Pain” หรือ “ราคาตี (Max Pain Price)” ทฤษฎี Max Pain ชี้ให้เห็นถึงระดับราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น Bitcoin หรือ Ethereum) ที่จะทำให้ผู้ถือออปชั่นส่วนใหญ่ (ที่ซื้อออปชั่น) ขาดทุนมากที่สุดเมื่อสัญญาหมดอายุ

ตามทฤษฎีนี้ ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับ Max Pain Price ในช่วงที่เข้าใกล้วันหมดอายุ เพราะเชื่อว่าผู้ขายออปชั่นรายใหญ่ (ซึ่งมักเป็นสถาบันการเงินหรือ Market Makers) อาจมีแรงจูงใจหรือความสามารถในการจัดการสถานะของตนเอง (โดยการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิง) เพื่อให้ราคาไปสิ้นสุด ณ ระดับที่พวกเขารับเบี้ยประกันภัยได้มากที่สุด หรือมีภาระในการจ่ายออกน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงทฤษฎีหนึ่ง และไม่ได้เป็นตัวทำนายที่แม่นยำเสมอไป แต่ก็เป็นข้อมูลที่นักเทรดออปชั่นจำนวนไม่น้อยใช้ประกอบการวิเคราะห์

อีกหนึ่งตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้เรา “อ่านสัญญาณตลาด” จากข้อมูลออปชั่นได้คือ อัตราส่วน Put-to-Call Ratio ตัวเลขนี้คำนวณได้จากปริมาณการซื้อขาย (Volume) หรือจำนวนสัญญาคงค้าง (Open Interest) ของ Put Options หารด้วยปริมาณการซื้อขายหรือสัญญาคงค้างของ Call Options ในช่วงเวลาที่กำหนด

  • หากอัตราส่วน Put-to-Call สูงกว่า 1 แสดงว่ามีกิจกรรมการซื้อขายหรือจำนวนสัญญา Put Options มากกว่า Call Options สิ่งนี้อาจบ่งชี้ถึง sentiment ของตลาดที่ เชิงลบ (Bearish) เนื่องจากผู้ลงทุนจำนวนมากกำลังซื้อ Put เพื่อเก็งกำไรขาลง หรือเพื่อ ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากราคาที่ลดลง
  • หากอัตราส่วน Put-to-Call ต่ำกว่า 1 แสดงว่ามีกิจกรรมการซื้อขายหรือจำนวนสัญญา Call Options มากกว่า Put Options สิ่งนี้อาจบ่งชี้ถึง sentiment ของตลาดที่ เชิงบวก (Bullish) เนื่องจากผู้ลงทุนจำนวนมากกำลังซื้อ Call เพื่อเก็งกำไรขาขึ้น

การติดตามอัตราส่วน Put-to-Call โดยเฉพาะในตลาดที่มีขนาดใหญ่อย่างตลาดออปชั่นคริปโต สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมุมมองโดยรวมของผู้เข้าร่วมตลาดได้ แม้ว่าข้อมูลล่าสุดในตลาดคริปโตบางช่วงอาจแสดงแนวโน้มของการป้องกันความเสี่ยงขาลงที่เพิ่มขึ้น (อัตราส่วน Put-to-Call สูงขึ้น) ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าจับตาในสภาวะที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง

ปัจจัยภายนอก: แรงกดดันต่อตลาดออปชั่นและคริปโต

ตลาดการเงินทั่วโลกเชื่อมโยงถึงกัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่ตลาดคริปโต การเปลี่ยนแปลงจาก ปัจจัยภายนอก สามารถส่งผลกระทบต่อ ความผันผวน (Volatility) และทิศทางของราคาสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อตลาด ออปชั่น ทั้งในตลาดดั้งเดิมอย่าง SET50 Options และตลาดใหม่อย่าง ออปชั่นคริปโต

ปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตา และมักถูกกล่าวถึงว่าสร้างความไม่แน่นอนในตลาด ได้แก่:

  • ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์: เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น สงครามในตะวันออกกลาง (เช่น สงครามอิสราเอล-อิหร่าน) สามารถเพิ่มความกังวลให้กับผู้ลงทุนทั่วโลก นำไปสู่การลดความเสี่ยง (Risk-off) ในสินทรัพย์เสี่ยง และอาจเพิ่มความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย หรือเพิ่มความผันผวนในตลาดโดยรวม
  • ตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาค: การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญๆ จากประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ข้อมูลการจ้างงาน หรือตัวเลข GDP สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อทิศทางตลาดหุ้นและตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงดัชนีอย่าง SET50 และตลาดคริปโตด้วย หากตัวเลขออกมาผิดคาด อาจทำให้ตลาดผันผวนอย่างรุนแรง
  • นโยบายภาครัฐและข้อตกลงระหว่างประเทศ: การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า เช่น ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หรือนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ อาจสร้างความไม่แน่นอนและส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุน

เมื่อตลาดมีความไม่แน่นอนและผันผวนสูง เบี้ยประกันภัยของออปชั่น (โดยเฉพาะออปชั่นที่มีอายุเหลือยาวนาน) มักจะมีราคาสูงขึ้น เพราะผู้ขายออปชั่นต้องรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น การทำความเข้าใจว่าปัจจัยภายนอกเหล่านี้อาจส่งผลต่อตลาดอย่างไร เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เทรดออปชั่น เพราะจะช่วยให้คุณสามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดได้

สรุป: ใช้ประโยชน์จากออปชั่นอย่างชาญฉลาด

จากทั้งหมดที่เราได้สำรวจมา คุณคงเห็นแล้วว่า ออปชั่น เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความยืดหยุ่นและศักยภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นในตลาดดั้งเดิมอย่าง TFEX ด้วย SET50 Options หรือในตลาดเกิดใหม่อย่างตลาด คริปโตเคอร์เรนซี ด้วย ออปชั่น Bitcoin และ Ethereum

เราสามารถนำออปชั่นมาใช้ได้หลากหลายวัตถุประสงค์ ตั้งแต่การ เก็งกำไร ตามทิศทางของสินทรัพย์อ้างอิง ทั้งขาขึ้น (ด้วย Call Options) และขาลง (ด้วย Put Options) ไปจนถึงการเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการ บริหารความเสี่ยง และ การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ให้กับพอร์ตการลงทุนที่คุณมีอยู่

อย่างไรก็ตาม โลกของออปชั่นก็มีความซับซ้อนในตัวเอง ตั้งแต่การทำความเข้าใจองค์ประกอบของสัญญาอย่างราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุ ไปจนถึงความท้าทายในการเลือกสัญญาที่เหมาะสมท่ามกลางตัวเลือกมากมาย โดยเฉพาะในตลาดอย่าง SET50 Options ที่มีซีรีส์ให้เลือกหลากหลาย

การใช้เครื่องมือสนับสนุน อย่าง Options Wizard สามารถช่วยลดความยุ่งยากในการตัดสินใจและช่วยให้คุณเห็นภาพผลตอบแทนที่คาดหวังได้ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกัน การติดตามสถานการณ์ในตลาด เช่น การหมดอายุของออปชั่นในตลาดคริปโต ทฤษฎี Max Pain และอัตราส่วน Put-to-Call ก็สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ sentiment และแนวโน้มของตลาดได้

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ เทรดออปชั่น ไม่ว่าจะเป็นตลาดใดก็ตาม คุณจำเป็นต้อง ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับกลไกการทำงาน ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และกลยุทธ์ที่คุณจะนำไปใช้เสมอ ออปชั่นมีอัตราทดสูง ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงในการขาดทุนที่สูงเช่นกัน หากไม่เข้าใจและบริหารจัดการความเสี่ยงให้ดี

เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจออปชั่นสำหรับคุณ ขอให้คุณใช้ความรู้ที่ได้ไปต่อยอดในการศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนของคุณอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพต่อไป

อย่าลืมว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับออปชั่น

Q:ออปชั่นคืออะไร?

A:ออปชั่นเป็นสัญญาทางการเงินที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงตามราคาที่กำหนดในช่วงเวลาหนึ่ง

Q:Call Option มีความหมายว่าอะไร?

A:Call Option คือสัญญาที่ให้สิทธิในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนด

Q:Put Option มีความหมายว่าอะไร?

A:Put Option คือสัญญาที่ให้สิทธิในการขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนด

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *