Trailing Stop คืออะไร? ทำความเข้าใจกลไกพื้นฐาน
ในวงการเทรดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การจัดการความเสี่ยงและรักษากำไรให้ปลอดภัยถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกประเภท เครื่องมือที่ช่วยเหลือได้อย่างยอดเยี่ยมคือ Trailing Stop หรือคำสั่งหยุดขาดทุนแบบติดตามราคา ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยให้คุณกักเก็บกำไรไว้ได้ในขณะที่ยังควบคุมความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด บทความนี้จะนำคุณเจาะลึก Trailing Stop ตั้งแต่หลักการเบื้องต้น การทำงานในทางปฏิบัติ ข้อดีที่เหนือกว่า Stop Loss ธรรมดา วิธีตั้งค่าบนแพลตฟอร์มที่นิยมในไทย รวมถึงเคล็ดลับระดับสูงและสิ่งที่ต้องระวัง เพื่อให้คุณนำไปใช้ในการเทรดได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ

คำจำกัดความของ Trailing Stop
Trailing Stop คือประเภทคำสั่งหนึ่งที่นำมาใช้ในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินหรือหลักทรัพย์ โดยมันเป็นรูปแบบของ Stop Loss ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า เพราะจะปรับระดับราคาให้เคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่เอื้อต่อผลกำไรของพอร์ตคุณโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาสินทรัพย์ขยับไปในทางที่ให้กำไร แต่ถ้าราคาเริ่มหันหัวกลับ มันจะไม่ยอมถอยตามไป
กล่าวโดยย่อ มันทำหน้าที่ปกป้องผลกำไรที่คุณสะสมไว้ ขณะเดียวกันก็จำกัดโอกาสขาดทุน โดยยังคงเปิดช่องให้กำไรเติบโตต่อไป หากแนวโน้มราคายังคงสม่ำเสมอ

Trailing Stop ทำงานอย่างไร
การเคลื่อนไหวของ Trailing Stop ขึ้นอยู่กับค่าที่คุณกำหนดไว้ เช่น ระยะทางแบบตายตัวหรือเปอร์เซ็นต์
-
สำหรับตำแหน่งซื้อ (Long Position): หลังจากคุณเข้าซื้อสินทรัพย์แล้ว หากราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้น Trailing Stop จะเลื่อนตามราคาสูงสุดที่เกิดขึ้น โดยเว้นระยะห่างตามจำนวนจุดหรือเปอร์เซ็นต์ที่ตั้งไว้
ตัวอย่าง: สมมติคุณซื้อหุ้นในราคา 100 บาท และกำหนด Trailing Stop ไว้ห่าง 5 บาท:
- ราคาขึ้นถึง 105 บาท Trailing Stop จะเลื่อนไปที่ 100 บาท (105 ลบ 5)
- ราคาขึ้นต่อไป 110 บาท Trailing Stop จะตามไปที่ 105 บาท (110 ลบ 5)
- ถ้าราคาตกกลับมาที่ 108 บาท Trailing Stop ยังคงอยู่ที่ 105 บาท
- ถ้าราคาตกถึง 105 บาท คำสั่งจะทำงาน หุ้นจะถูกขายที่ราคาตลาดปัจจุบัน
-
สำหรับตำแหน่งขาย (Short Position): เมื่อคุณขายล่วงหน้าและราคาลดลง Trailing Stop จะตามราคาต่ำสุด โดยรักษาระยะห่างตามค่าที่กำหนด
เมื่อราคาหันสวนทางและกระทบระดับ Trailing Stop ที่ปรับแล้ว คำสั่งจะกลายเป็น Market Order ทันที เพื่อปิดตำแหน่งและรักษากำไรที่ได้มาไว้

ประโยชน์หลักของ Trailing Stop ที่เหนือกว่า Stop Loss ทั่วไป
Trailing Stop นำเสนอข้อดีหลายอย่างที่ทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือหลักในการดูแลความเสี่ยงและผลกำไร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ Stop Loss แบบไม่ยืดหยุ่น ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถปรับตัวเข้ากับตลาดได้ดีกว่า
ล็อกกำไรในตลาดขาขึ้น
จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดคือความสามารถในการรักษากำไรท่ามกลางแนวโน้มขาขึ้นที่ยาวนาน Trailing Stop ช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลกับการย่อตัวของราคาที่อาจกวาดกำไรทั้งหมดไป มันเปิดโอกาสให้ “ปล่อยกำไรให้เติบโต” อย่างสบายใจ โดยมีระบบป้องกันที่เคลื่อนไหวตามราคาอยู่เสมอ ทำให้คุณมั่นใจได้ในทุกย่างก้าว
จำกัดความเสี่ยงแต่เปิดโอกาสทำกำไรได้ไม่จำกัด
มันทำหน้าที่กำหนดขีดจำกัดความเสี่ยงตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ไม่ปิดกั้นโอกาสกำไร หากราคายังคงไปในทางที่ถูกต้อง Trailing Stop จะปรับตาม ทำให้คุณจับกระแสราคาที่ใหญ่ได้โดยไม่ต้องเข้าไปแก้ไขเองบ่อยๆ ซึ่งต่างจาก Stop Loss คงที่ที่ต้องจัดการด้วยมือหากราคาไปไกลเกินคาด
ลดความเครียดและอารมณ์ในการเทรด
การตัดสินใจจากอารมณ์มักนำไปสู่ความสูญเสีย Trailing Stop ช่วยแบ่งเบาภาระทางใจ โดยเฉพาะในตลาดที่แกว่งไกวหรือเมื่อคุณอยากรักษากำไรแต่ยังหวังผลเพิ่ม มันให้ระบบจัดการการออกตำแหน่งตามเงื่อนไขที่วางไว้ ทำให้คุณเทรดด้วยวินัย ลดผลกระทบจากความกลัวหรือความโลภที่อาจครอบงำ
เปรียบเทียบ Trailing Stop กับ Stop Loss: เลือกใช้ให้ถูกสถานการณ์
เพื่อให้เลือกเครื่องมือได้เหมาะสม คุณต้องเข้าใจความต่างระหว่าง Trailing Stop กับ Stop Loss คงที่ ซึ่งจะช่วยให้กลยุทธ์การเทรดของคุณสอดคล้องกับสภาพตลาด
Stop Loss แบบคงที่
Stop Loss คงที่คือการกำหนดระดับราคาที่จะหยุดขาดทุนไว้ล่วงหน้า และจะไม่เปลี่ยนแปลงตามตลาด เว้นแต่คุณเข้าไปปรับเอง
- ข้อดี: ตั้งค่าง่าย เหมาะกับการควบคุมความเสี่ยงตั้งแต่ต้น และดีสำหรับแผนที่ต้องการจุดออกแน่นอน
- ข้อเสีย: ไม่ล็อกกำไรเอง ต้องปรับมือหากอยากเลื่อนจุด หรืออาจพลาดกำไรใหญ่ถ้าราคาไปไกล
ความแตกต่างที่สำคัญ
ตารางเปรียบเทียบ Trailing Stop และ Stop Loss:
คุณสมบัติ | Trailing Stop | Stop Loss แบบคงที่ |
---|---|---|
การปรับเปลี่ยน | อัตโนมัติ ตามทิศทางราคาที่เป็นบวก | คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง (ต้องปรับเอง) |
การล็อกกำไร | ทำได้อัตโนมัติ | ทำไม่ได้ (ต้องปรับเอง) |
ความยืดหยุ่น | สูง ปรับตามสภาวะตลาด | ต่ำ (ตายตัว) |
เหมาะกับตลาด | มีแนวโน้ม (Trend) | ได้ทุกสภาวะ แต่ต้องมีการบริหารจัดการเพิ่มเติม |
การจัดการอารมณ์ | ช่วยลดความเครียด | อาจต้องตัดสินใจบ่อยครั้ง |
เมื่อใดควรใช้ Trailing Stop และ Stop Loss
-
ใช้ Trailing Stop เมื่อ:
- ตลาดกำลังเข้าสู่แนวโน้มชัดเจน และคุณอยากให้กำไรวิ่งไปให้สุด
- ต้องการรักษากำไรที่มีอยู่ ขณะเปิดช่องทำเพิ่ม
- หวังลดการตัดสินใจจากอารมณ์ ให้ระบบจัดการแทน
-
ใช้ Stop Loss แบบคงที่เมื่อ:
- มีจุดหยุดขาดทุนที่แน่นอนตามแผน
- ตลาดแกว่งไกวไร้ทิศทางชัด (Sideways) ซึ่ง Trailing Stop อาจทำงานบ่อยเกิน
- ต้องการความเรียบง่ายและควบคุมเต็มที่
วิธีตั้งค่า Trailing Stop บนแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับเทรดเดอร์ไทย
แม้ขั้นตอนการตั้งค่าจะแตกต่างตามแพลตฟอร์ม แต่หลักการพื้นฐานยังคงคล้ายกัน นี่คือแนวทางสำหรับแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดไทย ซึ่งจะช่วยให้คุณเริ่มใช้งานได้ทันที
การตั้งค่า Trailing Stop ใน Binance (สำหรับคริปโตเคอร์เรนซี)
Binance ถือเป็นตลาดคริปโตชั้นนำระดับโลก และมีฟีเจอร์ Trailing Stop ที่ใช้งานง่าย
- ล็อกอินเข้าบัญชี Binance
- ไปที่ส่วน “Trade” และเลือกคู่ซื้อขายที่สนใจ
- เลือกคำสั่ง “Stop-Limit” หรือ “OCO” ถ้าต้องการรวมกับ Take Profit
- หาตัวเลือก Trailing Stop ใน Stop-Limit
- กำหนด “Trailing Delta” เช่น 1% หรือ 2%
- ตั้ง “Activation Price” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ Trailing Stop จะทำงาน
- ระบุ “Limit Price” และปริมาณสินทรัพย์
- ตรวจสอบแล้วยืนยัน
ข้อควรจำ: Trailing Stop จะเริ่มเมื่อราคาถึง Activation Price และตามจากจุดสูงสุดหรือต่ำสุดหลังจากนั้น
การตั้งค่า Trailing Stop ใน MT5 (สำหรับ Forex และ CFD)
MetaTrader 5 หรือ MT5 เป็นตัวเลือกยอดฮิตสำหรับ Forex และ CFD การตั้งค่า Trailing Stop ทำได้หลังเปิดตำแหน่ง
- เปิด Buy หรือ Sell บนคู่เงินหรือ CFD
- คลิกขวาที่ตำแหน่งในหน้าต่าง “Trade” หรือ “Terminal”
- เลือก “Trailing Stop” จากเมนู
- กำหนดจำนวนจุด เช่น 15, 20 หรือ 30 จุด
- ระบบจะเริ่มทำงานอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนที่เชิงบวกตามระยะที่ตั้ง
ข้อควรจำ: Trailing Stop ใน MT5 ทำงานบนเครื่องของคุณ ดังนั้นต้องให้โปรแกรมเปิดตลอด ถ้าปิดจะเหลือแค่ Stop Loss ล่าสุดที่ส่งไปเซิร์ฟเวอร์
การตั้งค่า Trailing Stop ใน Streaming App (สำหรับตลาดหุ้นไทย)
สำหรับหุ้นไทย แอป Streaming จาก SET และโบรกเกอร์ต่างๆ สนับสนุนคำสั่งเงื่อนไข รวมถึง Trailing Stop
โดยปกติจะอยู่ในส่วน “Conditional Order” หรือ “คำสั่งเงื่อนไข” ซึ่งชื่ออาจต่างกันตามโบรกเกอร์ แต่หลักการคือตั้งเงื่อนไขอัตโนมัติ
- ล็อกอินแอป Streaming ของโบรกเกอร์
- ไปที่ “Conditional Order”
- เลือก “Trailing Stop” หรือ “Stop Loss & Trailing Stop”
- เลือกหุ้นเป้าหมาย
- กำหนด “Trailing Price” หรือ “Trailing Percentage”
- ตั้ง “Activation Price” หรือ “Trigger Price”
- ระบุ “Price” และ “Volume”
- ยืนยันคำสั่ง
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งเงื่อนไข สามารถดูได้ที่ SET: คำสั่งเงื่อนไข (Conditional Order)
การตั้งค่า Trailing Stop บนแพลตฟอร์มอื่นๆ (เช่น TradingView, Bualuang iTrading)
- TradingView: แพลตฟอร์มวิเคราะห์กราฟยอดนิยม แม้ไม่ส่งคำสั่งตรง แต่เชื่อมต่อโบรกเกอร์บางแห่งได้ และใช้ Trailing Stop ผ่าน “Order Panel” หรือ “Alert” ที่ปรับแต่ง
- Bualuang iTrading: แอปจากหลักทรัพย์บัวหลวงรองรับ Trailing Stop ใน “Conditional Order” หรือ “Smart Order” คล้าย Streaming ทั่วไป
สำคัญคือศึกษาคู่มือของแพลตฟอร์มแต่ละตัว เพื่อเข้าใจการตั้งค่าและรายละเอียดเฉพาะจากโบรกเกอร์
เทคนิคขั้นสูงและการประยุกต์ใช้ Trailing Stop
นอกเหนือจากการใช้งานพื้นฐาน Trailing Stop ยังนำมารวมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อยกระดับการจัดการความเสี่ยงและกำไรให้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถปรับให้เข้ากับสไตล์เทรดของคุณ
Trailing Stop ร่วมกับ ATR (Average True Range)
Average True Range หรือ ATR เป็นตัววัดความผันผวนของราคา การนำ ATR มาช่วยตั้ง Trailing Stop จะทำให้ระยะตามรอยเหมาะสมกับตลาดมากขึ้น
- หลักการ: ถ้าตลาดแกว่งแรง ควรเว้นระยะกว้างตาม ATR เพื่อไม่ให้ติดกับดักความผันผวนเล็กน้อย ส่วนตลาดสงบให้เว้นแคบลง
- การประยุกต์ใช้: ลองตั้งที่ 1x ATR, 2x ATR หรือ 3x ATR จากจุดสูงสุดหรือต่ำสุด ซึ่งช่วยให้ Trailing Stop ยืดหยุ่นตามการเคลื่อนไหวจริง
เพื่อความเข้าใจ ATR ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ลองดูที่ eFinanceThai: ATR ยิ่งสูง ยิ่งต้องระวัง!
Trailing Start คืออะไร และใช้ร่วมกับ Trailing Stop อย่างไร
Trailing Start คือเงื่อนไขพิเศษที่กำหนดให้ Trailing Stop เริ่มทำงานเมื่อราคาไปถึงจุดกำไรเบื้องต้นก่อน
- หลักการ: เช่น ซื้อหุ้น 100 บาท ตั้ง Trailing Start ที่ 105 บาท Trailing Stop จะไม่เริ่มจนกว่าราคาจะถึงจุดนั้น แล้วค่อยตามจากสูงสุด
- ประโยชน์: ช่วยป้องกันการเริ่มเร็วเกินไปตอนยังไม่กำไรชัด หรือรอให้ตำแหน่งปลอดภัย เช่น ถึงจุดคุ้มทุน ก่อนใช้การล็อกกำไรแบบไดนามิก
การรวม Trailing Start กับ Trailing Stop ช่วยจัดการความเสี่ยงช่วงเริ่มต้นได้ดี และยังคงยืดหยุ่นเมื่อตลาดมีโมเมนตัม
การปรับ Trailing Stop ให้เหมาะสมกับสินทรัพย์และกรอบเวลา
ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับ Trailing Stop คุณต้องปรับตามสินทรัพย์และ timeframe ที่เทรด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
- สำหรับหุ้น: หุ้นผันผวนสูงต้องการระยะกว้างกว่าหุ้นนิ่งๆ
- สำหรับคริปโตเคอร์เรนซี: ตลาดคริปโตแกว่งรุนแรง ควรใช้เปอร์เซ็นต์สูงเพื่อไม่ให้ถูกตัดบ่อย
- สำหรับ Forex: คู่หลักคาดเดาง่าย แต่คู่รองอาจต้องปรับระยะต่างกัน
- กรอบเวลา (Timeframe):
- Intraday (รายวัน): เทรดสั้นๆ ใช้เปอร์เซ็นต์น้อยหรืออิงความผันผวนรายนาที
- Swing Trade (รายสัปดาห์/เดือน): เว้นระยะกว้างเพื่อรับมือย่อตัวในเทรนด์กลาง
การทดสอบย้อนหลังหรือเทรดจำลองจะช่วยหาค่าที่เหมาะกับกลยุทธ์ของคุณ โดยเฉพาะเมื่อตลาดเปลี่ยนแปลง
ข้อควรระวังและข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Trailing Stop
ถึงแม้ Trailing Stop จะมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีกับดักที่นักเทรดมักเจอ ซึ่งอาจทำให้แผนพังได้ถ้าไม่ระวัง
ตั้ง Trailing Amount/Percentage แคบเกินไป
ปัญหาที่พบบ่อยคือเว้นระยะแคบเกิน จนราคาแกว่งปกติกระทบและตัดตำแหน่งก่อนเทรนด์จริงจะต่อเนื่อง
วิธีแก้ไข: ดูความผันผวนเฉลี่ยของสินทรัพย์ เช่น ใช้ ATR แล้วเว้นให้กว้างพอรับมือการสั่นไหวระยะสั้น
ไม่เข้าใจความผันผวนของตลาด
บางคนใช้ค่าคงที่กับทุกสินทรัพย์หรือทุกสภาวะ ซึ่งไม่เหมาะเพราะแต่ละตลาดต่างกัน
วิธีแก้ไข: ศึกษาลักษณะผันผวนของสินทรัพย์ และปรับตามสถานการณ์ ถ้าตลาดรุนแรงให้เว้นกว้าง
ใช้ Trailing Stop ในตลาด Sideways
Trailing Stop เหมาะกับตลาดมีทิศทางชัด แต่ในตลาด Sideways ที่ราคาอยู่ในกรอบ มันอาจถูกกระตุ้นบ่อย ส่งผลให้เข้า-ออกตำแหน่งไม่หยุด และเสียค่าธรรมเนียมสะสม
วิธีแก้ไข: ในตลาดแบบนี้ ลองกลยุทธ์อื่นหรือ Stop Loss คงที่ที่เข้ากับกรอบราคา
ข้อจำกัดของแพลตฟอร์ม
บางแพลตฟอร์มจำกัด เช่น ไม่รองรับเปอร์เซ็นต์ หรือทำงานบนเครื่องคุณเท่านั้น (อย่าง MT4/MT5 ถ้าไม่ใช้ VPS) ทำให้ต้องเปิดโปรแกรมตลอด
วิธีแก้ไข: ตรวจสอบข้อจำกัดของแพลตฟอร์ม เลือกตัวที่เหมาะ หรือปรับแผนให้เข้ากับสิ่งที่มี
การดูแลความเสี่ยงคือรากฐานของการลงทุน และ Trailing Stop ช่วยนักเทรดไทยจัดการได้อย่างชาญฉลาด ถ้าอยากรู้เพิ่มเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงโดยรวม ลองดูที่ Finnomena: การบริหารความเสี่ยงในการลงทุน
สรุป
Trailing Stop เป็นเครื่องมือชั้นเลิศสำหรับจัดการความเสี่ยงและกำไร ด้วยการปรับจุดหยุดขาดทุนอัตโนมัติตามราคาที่เอื้อประโยชน์ มันช่วยกักเก็บกำไรที่ได้มา ขณะเปิดทางให้เติบโตต่อ ข้อดีหลักคือลดแรงกดดันจากอารมณ์ และเป็นเกราะคุ้มครองผลตอบแทน
แต่การใช้ให้เกิดผลต้องเข้าใจการทำงาน เลือกค่าที่เหมาะกับสินทรัพย์และตลาด รวมถึงหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไป เช่น เว้นระยะแคบหรือใช้ในตลาดไร้ทิศทาง การรวมกับ ATR หรือ Trailing Start จะยกระดับกลยุทธ์ ทำให้ปรับแต่งได้ละเอียดและเพิ่มโอกาสชนะ
การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ทดสอบแผน และปรับตามตลาดที่เปลี่ยน จะช่วยให้ Trailing Stop กลายเป็นอาวุธลับในการปกป้องทุนและสร้างกำไรสูงสุด
Trailing Stop คืออะไร และต่างจาก Stop Loss อย่างไร?
Trailing Stop คือคำสั่งหยุดขาดทุนแบบไดนามิกที่ปรับระดับตามราคาตลาดเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ได้กำไร แต่จะไม่ขยับกลับลงมาเมื่อราคาเคลื่อนที่สวนทาง ส่วน Stop Loss แบบคงที่คือคำสั่งหยุดขาดทุนที่กำหนดไว้ที่ระดับราคาตายตัวและไม่เปลี่ยนแปลงเอง Trailing Stop จึงมีข้อดีกว่าในการล็อกกำไรอัตโนมัติเมื่อตลาดมีแนวโน้ม
Trailing Stop ตั้งค่าอย่างไรบนแพลตฟอร์ม Binance?
บน Binance คุณสามารถตั้งค่า Trailing Stop ได้ในส่วนของคำสั่ง “Stop-Limit” หรือ “OCO” โดยระบุ “Trailing Delta” (เปอร์เซ็นต์การตามรอย) และ “Activation Price” (ราคาเริ่มต้นการทำงาน) ระบบจะเริ่มตามรอยจากราคาสูงสุดที่ทำได้หลังจากถึง Activation Price
มีวิธีตั้ง Trailing Stop ในแอป Streaming ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไหม?
มีครับ ใน Streaming App (รวมถึงแอปของโบรกเกอร์อื่นๆ) คุณสามารถตั้งค่า Trailing Stop ได้ผ่านเมนู “Conditional Order” หรือ “คำสั่งเงื่อนไข” โดยระบุหุ้น, Trailing Price/Percentage, Activation Price, ราคา และจำนวนหุ้นที่ต้องการส่งคำสั่ง
Trailing Stop ใน MT5 ตั้งค่าอย่างไร และสามารถใช้บนมือถือได้หรือไม่?
ใน MT5 หลังจากเปิดสถานะแล้ว ให้คลิกขวาที่สถานะในหน้าต่าง “Trade” เลือก “Trailing Stop” และระบุจำนวนจุดที่ต้องการให้ตามรอย สำหรับการใช้งานบนมือถือ MT5 App อาจมีข้อจำกัดในการตั้ง Trailing Stop โดยตรง คุณอาจต้องใช้ MT5 บนคอมพิวเตอร์หรือ VPS เพื่อให้ Trailing Stop ทำงานอย่างต่อเนื่อง
ควรตั้งค่า Trailing Stop แบบเปอร์เซ็นต์หรือแบบจุด (Amount) ดีกว่ากัน?
การเลือกแบบเปอร์เซ็นต์หรือแบบจุดขึ้นอยู่กับสินทรัพย์และกลยุทธ์ของคุณ
- แบบเปอร์เซ็นต์: เหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่มีราคาแตกต่างกันมาก หรือเมื่อต้องการให้ Trailing Stop ปรับตัวตามความผันผวนของราคาได้ดีขึ้น (เช่น 1% จากราคาสูงสุด)
- แบบจุด (Amount): เหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวเป็นจุดชัดเจน (เช่น Forex) หรือเมื่อต้องการกำหนดระยะห่างที่แน่นอน
Trailing Stop เหมาะกับตลาดแบบไหน และไม่เหมาะกับตลาดแบบไหน?
Trailing Stop เหมาะ กับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market) ทั้งขาขึ้นและขาลง เพราะช่วยให้ล็อกกำไรและปล่อยให้กำไรวิ่งไปได้
แต่ ไม่เหมาะ กับตลาด Sideways หรือตลาดที่ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เพราะอาจถูก Trigger บ่อยครั้งจากการแกว่งตัวของราคา
ATR Trailing Stop คืออะไร และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างไร?
ATR Trailing Stop คือการตั้ง Trailing Stop โดยอ้างอิงจากค่า Average True Range (ATR) ซึ่งเป็นอินดิเคเตอร์ที่วัดความผันผวนของราคา การใช้ ATR ช่วยให้กำหนดระยะ Trailing Distance ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดได้ดีขึ้น กล่าวคือ หากตลาดผันผวนมาก ก็จะตั้ง Trailing Stop กว้างขึ้น และหากผันผวนน้อย ก็จะตั้งแคบลง เพื่อลดโอกาสถูก Stop Out โดยไม่จำเป็น
Trailing Start คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรเมื่อใช้ร่วมกับ Trailing Stop?
Trailing Start คือเงื่อนไขที่กำหนดให้ Trailing Stop เริ่มทำงานก็ต่อเมื่อราคาได้เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เป็นบวกจนถึงจุดที่กำหนดไว้แล้วเท่านั้น มีประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้ Trailing Stop ทำงานเร็วเกินไปในขณะที่ตำแหน่งยังไม่ทำกำไรอย่างชัดเจน หรือเพื่อรอให้ตำแหน่งปลอดภัยในระดับหนึ่งก่อนที่จะเริ่มล็อกกำไร
ถ้า Trailing Stop ถูกแตะ (Hit) คำสั่งซื้อขายจะเกิดอะไรขึ้น?
เมื่อราคาตลาดเคลื่อนที่ย้อนกลับและแตะระดับ Trailing Stop ที่ถูกปรับขึ้นมา (หรือลงมา) คำสั่ง Trailing Stop จะถูกเปลี่ยนเป็นคำสั่ง Market Order และส่งไปยังตลาดทันที เพื่อปิดสถานะของคุณที่ราคาตลาด ณ ขณะนั้น ซึ่งจะช่วยล็อกกำไรที่คุณได้ทำไว้ หรือจำกัดการขาดทุนตามที่ตั้งใจไว้
มีข้อผิดพลาดอะไรบ้างที่เทรดเดอร์ไทยมักทำเมื่อใช้ Trailing Stop?
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย ได้แก่:
- ตั้ง Trailing Distance แคบเกินไป: ทำให้ถูก Stop Out บ่อยครั้งจาก Market Noise
- ไม่เข้าใจความผันผวนของตลาด: ใช้การตั้งค่าเดียวกันกับทุกสินทรัพย์
- ใช้ในตลาด Sideways: ทำให้เกิดการเข้า-ออกบ่อยโดยไม่จำเป็น
- ละเลยข้อจำกัดของแพลตฟอร์ม: ไม่รู้ว่า Trailing Stop ทำงานบนฝั่งไคลเอนต์หรือไม่