กลยุทธ์การใช้ MACD สำหรับนักเทรดมือใหม่และมืออาชีพ

Table of Contents

MACD คืออะไร? ทำความเข้าใจเครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้มชิ้นสำคัญใน 5 นาที

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือผู้เชี่ยวชาญที่ซื้อขายเป็นประจำ การมีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์กราฟที่แม่นยำและเข้าใจง่ายคือกุญแจสำคัญในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล และหนึ่งในตัวชี้วัดที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลกก็คือ MACD หรือที่รู้จักกันในชื่อเต็มว่า Moving Average Convergence Divergence นักเทรดชาวไทยหลายรายเรียกมันอย่างติดปากว่า “แม็คดี” ซึ่งไม่เพียงแต่ใช้กันในตลาดหุ้น แต่ยังถูกนำไปประยุกต์ใช้ในฟอเร็กซ์ คริปโตเคอร์เรนซี และสินทรัพย์อื่นๆ อีกด้วย

MACD เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท เทรนด์ตามแนวโน้มและโมเมนตัม นั่นหมายความว่ามันสามารถบ่งชี้ทั้งทิศทางของแนวโน้ม (ว่าตอนนี้ตลาดกำลังขึ้นหรือลง) และวัดความแรงของแนวโน้มนั้นได้พร้อมกัน นี่คือเหตุผลที่นักเทรดจำนวนมากใช้ MACD เพื่อตอบคำถามสำคัญสองข้อ: “ตลาดตอนนี้กำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน?” และ “แรงขับเคลื่อนเบื้องหลังแนวโน้มนี้ยังมีพลังหรือเริ่มหมดแรงแล้ว?”

ข้อได้เปรียบที่ชัดเจนของ MACD คือความสามารถในการให้สัญญาณการซื้อขายที่ค่อนข้างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการระบุจุดเข้าซื้อ จุดถือ หรือจุดออก รวมถึงการเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่แนวโน้มจะเปลี่ยนทิศทาง ทำให้ผู้เทรดสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างมีระบบและลดความผิดพลาดจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์

illustration of MACD chart analysis

องค์ประกอบหลัก 3 ส่วนของ MACD ที่นักเทรดทุกคนต้องรู้

ก่อนจะนำไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ คุณจำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของ MACD ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนหลักที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้ภาพรวมของแนวโน้มและพลังขับเคลื่อนของราคา

เส้น MACD (MACD Line)

เส้นนี้เป็นหัวใจของอินดิเคเตอร์ทั้งหมด โดยคำนวณจากผลต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียลระยะสั้นและระยะยาว ค่าที่นิยมใช้ทั่วไปคือ EMA 12 วัน ลบด้วย EMA 26 วัน ผลลัพธ์ที่ได้คือเส้นที่เคลื่อนไหวไวต่อการเปลี่ยนแปลงราคา ทำให้สามารถสะท้อนโมเมนตัมได้รวดเร็ว

เมื่อราคาเริ่มมีทิศทางชัดเจน ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง เส้น MACD จะเริ่มขยับตาม ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงพลังซื้อขายได้ทันที

เส้นสัญญาณ (Signal Line)

เส้นสัญญาณคือ EMA 9 วันของเส้น MACD เอง หรือพูดง่ายๆ คือ “ค่าเฉลี่ยของเส้น MACD” ทำหน้าที่เป็นตัวกรองสัญญาณรบกวน โดยมีความเคลื่อนไหวช้ากว่าเส้น MACD ทำให้เวลาทั้งสองเส้นตัดกัน จะเป็นจุดที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ

ความสัมพันธ์ระหว่างเส้น MACD และเส้นสัญญาณคือที่มาของหนึ่งในสัญญาณการเทรดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด ซึ่งเราจะได้เจาะลึกในหัวข้อถัดไป

ฮิสโตแกรม (Histogram)

ฮิสโตแกรมแสดงผลต่างระหว่างเส้น MACD และเส้นสัญญาณ โดยจะอยู่เหนือหรือใต้เส้นศูนย์ (Zero Line) ขึ้นอยู่กับว่าเส้น MACD อยู่เหนือหรือใต้เส้นสัญญาณ

  • ฮิสโตแกรมเป็นบวก (อยู่เหนือศูนย์): หมายถึงโมเมนตัมฝั่งซื้อกำลังแข็งแกร่ง เส้น MACD วิ่งนำหน้าเส้นสัญญาณ
  • ฮิสโตแกรมเป็นลบ (อยู่ใต้ศูนย์): หมายถึงโมเมนตัมฝั่งขายมีความได้เปรียบ ราคาอาจอยู่ในแนวโน้มขาลง
  • ความสูงของแท่ง: แท่งที่ยาวขึ้นแสดงถึงโมเมนตัมที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่แท่งที่สั้นลงบ่งบอกว่าพลังขับเคลื่อนเริ่มอ่อนตัว อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนทิศทางในอนาคต
illustration of bullish divergence

สัญญาณการซื้อขายที่สำคัญจาก MACD

เมื่อเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานแล้ว ต่อไปคือการตีความสัญญาณที่เกิดขึ้นบนกราฟ ซึ่งนักเทรดทั่วโลกใช้เป็นแนวทางหลักในการตัดสินใจ

การตัดกันของเส้นสัญญาณ (Signal Line Crossover)

เป็นสัญญาณพื้นฐานที่สุดและนิยมใช้มากที่สุด

  • สัญญาณซื้อ (Golden Cross): เกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นผ่านเส้นสัญญาณ บ่งบอกว่าโมเมนตัมเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางขาขึ้น อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเปิดสถานะซื้อ หรือเพิ่มปริมาณการถือครอง
  • สัญญาณขาย (Dead Cross): เกิดเมื่อเส้น MACD ตัดลงต่ำกว่าเส้นสัญญาณ แสดงว่าแรงขายเริ่มมีอำนาจเหนือกว่า ควรพิจารณาปิดสถานะซื้อ หรือเตรียมเข้าสู่การขาย

สัญญาณเหล่านี้อาจเกิดขึ้นบ่อยในตลาดที่เคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ ดังนั้นจึงควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ

การตัดเส้นศูนย์ (Zero Line Crossover)

เส้นศูนย์เป็นเส้นแบ่งระหว่างโมเมนตัมบวกและลบ การที่เส้น MACD ตัดผ่านเส้นนี้สามารถใช้ประเมินทิศทางแนวโน้มในภาพรวม

  • ตัดขึ้นเหนือศูนย์: บ่งบอกว่าตลาดเริ่มเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นอย่างมั่นคง โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นหลังจากช่วงตลาดขาลงยาว
  • ตัดลงต่ำกว่าศูนย์: บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแนวโน้มไปสู่ขาลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ถือครองสินทรัพย์ตัดสินใจทบทวนตำแหน่ง

นักเทรดหลายรายใช้สัญญาณนี้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มที่เกิดจาก Signal Line Crossover ช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดจากสัญญาณหลอก

สัญญาณ Divergence (การเบี่ยงเบน)

Divergence หรือ “การเบี่ยงเบน” เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนการกลับตัวที่ทรงพลังที่สุดของ MACD ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ “ราคา” และ “ค่า MACD” ขยับในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกัน ตามที่ Investopedia ชี้แจงไว้ สัญญาณนี้มักเกิดขึ้นก่อนที่แนวโน้มจะเปลี่ยนทิศทางจริง

  • Bullish Divergence: ราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) แต่ MACD กลับสร้างจุดต่ำสุดที่สูงกว่าเดิม (Higher Low) แสดงว่าแรงขายเริ่มอ่อนตัว โอกาสที่ราคาจะพลิกกลับขึ้นสูง
  • Bearish Divergence: ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) แต่ MACD กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำกว่า (Lower High) บ่งบอกว่าแรงซื้อกำลังหมดแรง อาจมีการปรับตัวลงในไม่ช้า

การสังเกต Divergence ต้องอาศัยความละเอียดและประสบการณ์ แต่หากใช้ได้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณเข้าตลาดก่อนคนส่วนใหญ่ และเพิ่มโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น

illustration of trading strategy with MACD

การตั้งค่า MACD: ความหมายของตัวเลข 12, 26, 9

เมื่อคุณเพิ่ม MACD ลงในกราฟ จะสังเกตเห็นค่าตั้งต้นที่คือ 12, 26, 9 ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้มาแบบสุ่ม แต่มีที่มาจากการพัฒนาของ Gerald Appel ผู้สร้าง MACD

  • 12: จำนวนคาบเวลา (Period) ของ EMA ระยะสั้น (Fast EMA)
  • 26: จำนวนคาบเวลาของ EMA ระยะยาว (Slow EMA)
  • 9: จำนวนคาบเวลาที่ใช้คำนวณเส้นสัญญาณ (Signal Line)

ค่ามาตรฐานนี้ออกแบบมาเพื่อใช้กับกราฟรายวัน โดย EMA 12 วันแทนค่าเฉลี่ยประมาณ 2.5 สัปดาห์ และ EMA 26 วันแทน 1 เดือน เป็นช่วงที่สมดุลระหว่างความเร็วและความแม่นยำ อย่างไรก็ตาม ค่านี้ไม่ใช่กฎตายตัว และสามารถปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมของกลยุทธ์การเทรด

กลยุทธ์การปรับแต่ง MACD ขั้นสูง

แม้ค่า 12, 26, 9 จะเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่นักเทรดระดับสูงมักปรับค่าเพื่อให้เหมาะสมกับกรอบเวลา สินทรัพย์ หรือสไตล์การเทรดของตน

ปรับค่า MACD อย่างไรให้เหมาะกับ Timeframe ต่างๆ

การตั้งค่าที่ดีต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่าง “ความไว” และ “ความแม่นยำ”

  • สำหรับ Day Trader หรือ Scalper (M5, M15): ต้องการสัญญาณที่รวดเร็ว อาจใช้ค่า (5, 35, 5) หรือ (8, 17, 9) เพื่อให้ได้สัญญาณที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องยอมรับว่าอาจเจอสัญญาณหลอกบ่อยขึ้น
  • สำหรับ Swing Trader หรือ Position Trader (H4, D1): ต้องการสัญญาณที่มั่นคงและกรองความผันผวนระยะสั้น อาจใช้ค่า (24, 52, 18) ซึ่งให้ภาพรวมแนวโน้มที่ชัดเจนและนิ่งกว่า

กลยุทธ์ MACD สำหรับเทรดทองคำ (Gold Trading)

ทองคำ (XAU/USD) เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงและตอบสนองต่อปัจจัยพื้นฐานอย่างรวดเร็ว นักเทรดบางกลุ่มพบว่าค่ามาตรฐานทำให้เกิดความล่าช้า (Lag) มากเกินไป จึงนิยมใช้ค่าที่เร็วขึ้น เช่น (5, 34, 5) หรือ (3, 10, 16) เพื่อจับโมเมนตัมที่เกิดขึ้นฉับพลันได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรทดสอบกลยุทธ์ผ่านการ backtest ก่อนนำไปใช้จริง

MACD 2 เส้น คืออะไร? ต่างจากแบบปกติอย่างไร?

คำว่า “MACD 2 เส้น” มักทำให้มือใหม่สับสน แต่จริงๆ แล้วมันคือการแสดงผลที่ต่างกันบนแพลตฟอร์มต่างๆ

  • MACD แบบดั้งเดิม (ใน MT4/MT5): แสดงเฉพาะฮิสโตแกรมและเส้นสัญญาณ เส้น MACD ถูกซ่อนไว้ในแท่งฮิสโตแกรม ทำให้ดูเฉพาะโมเมนตัมเป็นหลัก
  • MACD 2 เส้น (ใน TradingView): แสดงทั้งเส้น MACD และเส้นสัญญาณอย่างชัดเจน ทำให้มองเห็นการตัดกันได้ง่าย นักเทรดหลายคนชอบรูปแบบนี้เพราะมองภาพรวมได้ดี

ทั้งสองแบบใช้สูตรคำนวณเดียวกัน ให้สัญญาณเหมือนกัน เพียงแต่รูปแบบการแสดงผลที่ต่างกัน

วิธีตั้งค่า MACD บนแพลตฟอร์มยอดนิยม (MT5 และ TradingView)

การเพิ่ม MACD ลงในกราฟทำได้ง่าย ไม่ว่าคุณจะใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์หรือมือถือ

ตั้งค่าบน MetaTrader 5 (MT5) บนคอมพิวเตอร์:

  1. เปิด MT5 และเลือกคู่เงินหรือสินทรัพย์ที่ต้องการวิเคราะห์
  2. คลิก “Insert” > “Indicators” > “Oscillators”
  3. เลือก “MACD” จากลิสต์
  4. ในหน้าต่างตั้งค่า คุณสามารถใช้ค่ามาตรฐาน (12, 26, 9) หรือปรับเปลี่ยนตามกลยุทธ์ แล้วกด “OK”
  5. อินดิเคเตอร์จะแสดงที่ด้านล่างกราฟทันที

ตั้งค่าบน TradingView (เว็บและมือถือ):

  1. เปิดกราฟที่ต้องการวิเคราะห์
  2. คลิกหรือแตะที่ไอคอน “Indicators” (fx)
  3. พิมพ์ “MACD” ในช่องค้นหา
  4. เลือก “Moving Average Convergence Divergence”
  5. MACD จะถูกเพิ่มอัตโนมัติ
  6. แตะที่ชื่อ MACD แล้วคลิกไอคอนรูปฟันเฟืองเพื่อปรับ “Inputs” ได้ตามต้องการ

หากคุณเป็นผู้ใช้งาน Moneta Markets ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่รองรับ MT5 และ TradingView อย่างเต็มรูปแบบ การตั้งค่า MACD บนแพลตฟอร์มของ Moneta Markets จะมีขั้นตอนที่คล้ายกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัยและค่าสเปรดที่แข่งขันได้

ข้อดีและข้อควรระวังของ MACD ที่นักเทรดต้องเข้าใจ

MACD เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่ “หมุดหมาย” ที่การันตีผลกำไร 100% การใช้งานอย่างชาญฉลาดคือการรู้ทั้งจุดแข็งและข้อจำกัด

ข้อดี (Pros) ข้อจำกัด (Cons)
ใช้งานง่าย: สัญญาณ Crossover และ Divergence เข้าใจได้ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับมือใหม่ เป็น Lagging Indicator: สัญญาณมาหลังราคาจริง เนื่องจากคำนวณจากข้อมูลอดีต
ให้ข้อมูลครบถ้วน: ทั้งทิศทางแนวโน้มและโมเมนตัมในเครื่องมือเดียว สัญญาณหลอกในตลาดไซด์เวย์: เมื่อไม่มีแนวโน้มชัดเจน MACD อาจให้สัญญาณผิดบ่อย
สัญญาณ Divergence มีประสิทธิภาพสูง: เตือนการกลับตัวได้ล่วงหน้า ไม่ระบุ Overbought/Oversold: ต่างจาก RSI ที่มีระดับ 70 และ 30 MACD ไม่มีขอบเขตแน่นอน

คำแนะนำที่ดีที่สุดคืออย่าใช้ MACD เพียงตัวเดียว ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น เช่น แนวรับ-แนวต้าน เส้นเทรนด์ หรือ RSI เพื่อยืนยันสัญญาณและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

การตั้งค่า MACD ที่ดีที่สุดคือเท่าไหร่?

ไม่มีค่าเดียวที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ค่ามาตรฐาน (12, 26, 9) เหมาะกับกราฟรายวันและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี นักเทรดควรทดลองปรับค่าตามกรอบเวลา สินทรัพย์ และสไตล์การเทรดของตัวเอง แล้วกลับไปทดสอบย้อนหลัง (Backtest) เพื่อหาค่าที่เหมาะสมที่สุด

MACD 12, 26, 9 คืออะไรและหมายถึงอะไร?

ตัวเลขทั้งสามตัวคือพารามิเตอร์ในการคำนวณ:

  • 12: คาบเวลาของ EMA ระยะสั้น
  • 26: คาบเวลาของ EMA ระยะยาว
  • 9: คาบเวลาของ EMA ที่ใช้สร้างเส้นสัญญาณ

วิธีการตั้งค่า MACD ในโทรศัพท์มือถือทำอย่างไร?

ในแอป MT5 หรือ TradingView ให้ไปที่ “Indicators” (fx) ค้นหา “MACD” แล้วเพิ่มลงในกราฟ จากนั้นแตะที่ชื่ออินดิเคเตอร์และเลือก “Settings” เพื่อปรับค่าพารามิเตอร์ได้ทันที

ควรตั้งค่า MACD อย่างไรสำหรับการเทรดทองคำ?

เนื่องจากทองคำมีความผันผวนสูง นักเทรดหลายรายนิยมใช้ค่าที่ตอบสนองเร็วขึ้น เช่น (5, 34, 5) หรือ (3, 10, 16) เพื่อให้จับการเคลื่อนไหวได้ทันที แต่ควรทดสอบกลยุทธ์ก่อนใช้จริง

MACD Indicator มีความแม่นยำแค่ไหน?

MACD แม่นยำที่สุดในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market) แต่จะให้สัญญาณผิดในตลาดไซด์เวย์ ดังนั้นควรใช้ร่วมกับเครื่องมือยืนยันอื่นๆ เสมอ

สัญญาณ Divergence ของ MACD เชื่อถือได้หรือไม่?

Divergence เป็นหนึ่งในสัญญาณที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับการเตือนการกลับตัว แต่ไม่ใช่การันตี 100% ควรรอสัญญาณยืนยัน เช่น การกลับตัวของแท่งเทียน หรือการทะลุแนวรับ-แนวต้าน

MACD แตกต่างจาก RSI อย่างไร?

ตามข้อมูลจาก IG.com ข้อแตกต่างหลักคือ:

  • MACD: วิเคราะห์ทิศทางแนวโน้มและโมเมนตัมจากความสัมพันธ์ของ EMA สองเส้น
  • RSI: วัดความเร็วของราคาเพื่อระบุสภาวะ Overbought (มากกว่า 70) หรือ Oversold (ต่ำกว่า 30)

นักเทรดมักใช้ทั้งสองอย่างร่วมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำ

เราสามารถใช้ MACD เพียงอย่างเดียวในการเทรดได้หรือไม่?

ไม่แนะนำ ตามที่ BabyPips ระบุ การใช้ MACD เพียงตัวเดียวเพิ่มความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก ควรใช้ร่วมกับ Price Action, แนวรับ-แนวต้าน หรืออินดิเคเตอร์อื่นเพื่อสร้างระบบการเทรดที่สมดุลและน่าเชื่อถือ

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *