ค่าสเปรด คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐานสำหรับมือใหม่
ค่าสเปรด หรือที่รู้จักกันในชื่อ Spread คือความแตกต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) กับราคาขาย (Ask) ในตลาดการเงิน เช่น การเทรด Forex หรือทองคำ ซึ่งถือเป็นแนวคิดพื้นฐานที่เทรดเดอร์มือใหม่ทุกคนควรรู้จักให้ดี เพราะมันคือต้นทุนหลักที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เปิดหรือปิดออเดอร์

เมื่อคุณอยากซื้อสินทรัพย์ โบรกเกอร์จะเสนอราคา Ask ซึ่งเป็นราคาที่คุณต้องจ่ายจริงๆ ส่วนตอนขาย จะได้ราคา Bid ซึ่งต่ำกว่านั้นพอดี ความห่างนี้เองที่กลายเป็นรายได้หลักของโบรกเกอร์ โดยเฉพาะในตลาด Forex หากคุณเทรดบ่อยๆ ค่าสเปรดจะยิ่งมีผลต่อกำไรหรือขาดทุนโดยตรง ดังนั้น การเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไรจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์ที่มีกลยุทธ์ฉลาดยิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าสเปรด
ประเภทของค่าสเปรด: คงที่ vs. ลอยตัว (Fixed vs. Variable Spread)
ในโลกการเทรด ค่าสเปรดที่พบเจอหลักๆ จะแบ่งออกเป็นสองแบบ คือสเปรดคงที่และสเปรดลอยตัว แต่ละแบบมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกัน และเหมาะกับรูปแบบการเทรดที่ไม่เหมือนกัน

สเปรดคงที่ (Fixed Spread)
สเปรดคงที่คือค่าที่กำหนดไว้ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ตลาด เช่น ถ้าโบรกเกอร์บอกว่าสเปรดสำหรับคู่ EUR/USD คือ 2 Pip มันจะอยู่ที่ 2 Pip เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
- ข้อดี: ช่วยให้คุณคาดการณ์ต้นทุนได้ชัดเจน เหมาะกับคนที่ชอบวางแผนการเทรดแบบมีกรอบแน่นอน
- ข้อเสีย: โบรกเกอร์ที่ใช้สเปรดแบบนี้มักมีค่าที่สูงกว่าปกติ และบางครั้งอาจเกิดการ requote หรือขยายสเปรดชั่วคราวในช่วงตลาดวุ่นวายหรือมีข่าวใหญ่ เพื่อปกป้องความเสี่ยงของตัวเอง
สเปรดลอยตัว (Variable/Floating Spread)
ส่วนสเปรดลอยตัวจะปรับเปลี่ยนตามสภาพตลาด ความผันผวน และระดับสภาพคล่อง ถ้าตลาดคึกคักและนิ่งๆ สเปรดจะแคบ แต่ถ้าตลาดเด้งแรงหรือสภาพคล่องน้อย ค่าจะกว้างขึ้น
- ข้อดี: โดยปกติแล้ว ค่านี้จะต่ำกว่าสเปรดคงที่ในช่วงตลาดปกติ ช่วยลดต้นทุนการเทรด เหมาะสำหรับคนที่เทรดตอนตลาดมีสภาพคล่องดี
- ข้อเสีย: ไม่แน่นอน ทำให้คำนวณกำไรล่วงหน้าได้ยาก และอาจพุ่งสูงในช่วงข่าวสำคัญ
เทรดเดอร์ควรลองประเมินกลยุทธ์ตัวเองก่อนเลือก ถ้าคุณเป็น scalper หรือ day trader ที่อยากได้ต้นทุนต่ำ สเปรดลอยตัวน่าจะตอบโจทย์ แต่ถ้าชอบความมั่นใจในการคำนวณ สเปรดคงที่อาจดีกว่า
คุณสมบัติ | สเปรดคงที่ (Fixed Spread) | สเปรดลอยตัว (Variable/Floating Spread) |
---|---|---|
การเปลี่ยนแปลง | คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง | เปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด |
ความผันผวนของต้นทุน | คาดการณ์ได้ง่าย | คาดการณ์ได้ยากกว่า |
ช่วงเวลาข่าวสำคัญ | อาจมี Requote หรือขยายสเปรดชั่วคราว | มักจะกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด |
สภาพคล่อง | ไม่ส่งผลโดยตรงต่อตัวเลขสเปรด | สภาพคล่องสูง สเปรดแคบ; สภาพคล่องต่ำ สเปรดกว้าง |
กลุ่มเทรดเดอร์ที่เหมาะสม | มือใหม่, เน้นความแน่นอนในการคำนวณ | Scalper, Day Trader, เน้นต้นทุนต่ำในช่วงปกติ |
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าสเปรด
ค่าสเปรดไม่ได้คงที่เสมอไป (เว้นแต่แบบคงที่จากบางโบรกเกอร์) แต่จะขึ้นลงตามปัจจัยหลายอย่าง การรู้จักปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงช่วงที่สเปรดกว้างเกิน จนกระทบการเทรด

- สภาพคล่อง (Liquidity): ปัจจัยหลักเลย สินทรัพย์ที่มีผู้ซื้อผู้ขายเยอะจะมีสเปรดแคบ เพราะจับคู่ออเดอร์ง่าย แต่สินทรัพย์หายากอย่างคู่เงินแปลกๆ จะกว้างกว่า
- ความผันผวน (Volatility): ตลาดเด้งแรง ราคาวิ่งเร็ว โบรกเกอร์มักขยายสเปรดเพื่อลดความเสี่ยงจากราคาที่เดาไม่ถูก
- ช่วงเวลาการเทรด (Trading Session): ตลาด Forex เปิด 24 ชม. แต่สภาพคล่องต่างกัน ช่วงตลาดใหญ่ๆ อย่างลอนดอนกับนิวยอร์กทับซ้อนกัน สเปรดจะแคบ แต่ช่วงเอเชียดึกๆ จะกว้างเพราะคล่องตัวน้อย
- ข่าวเศรษฐกิจสำคัญ (Major Economic News): ข่าวใหญ่ๆ อย่างอัตราดอกเบี้ย NFP หรือประชุมธนาคารกลาง จะทำให้ตลาดสั่นคลอน สภาพคล่องลด สเปรดพุ่งทันที
- ประเภทสินทรัพย์ (Asset Type): แต่ละสินทรัพย์มีเอกลักษณ์ คู่เงินหลักอย่าง EUR/USD หรือ GBP/USD สเปรดแคบที่สุด คู่รองหรือแปลกจะกว้าง ส่วนทองคำ น้ำมัน หรือคริปโต ก็ขึ้นกับคล่องตัวและความเด้งของตัวเอง ทำความเข้าใจ Bid-Ask Spread เพิ่มเติม
การคำนวณและทำความเข้าใจหน่วย “Pip” ในค่าสเปรด
ในการเทรด Forex หรือสินทรัพย์อื่นๆ เรามักใช้นิยาม “Pip” เพื่อวัดการเคลื่อนไหวของราคาและขนาดสเปรด การเข้าใจวิธีนี้จะช่วยให้คุณประเมินต้นทุนได้แม่นยำยิ่งขึ้น
Pip คืออะไร?
Pip ย่อมาจาก Percentage in Point หรือ Price Interest Point คือหน่วยเล็กสุดที่ใช้วัดการเปลี่ยนราคาใน Forex สำหรับคู่เงินส่วนใหญ่ 1 Pip เท่ากับหลักที่สี่หลังทศนิยม เช่น EUR/USD จาก 1.1234 เป็น 1.1235 คือ 1 Pip
ข้อยกเว้น: ถ้าคู่เงินมีเยนญี่ปุ่นเป็นฐาน เช่น USD/JPY 1 Pip จะเป็นหลักที่สองหลังทศนิยม เช่น จาก 109.12 เป็น 109.13
การคำนวณค่าสเปรดเป็นต้นทุนจริง
พอรู้สเปรดกี่ Pip แล้ว ก็แปลงเป็นเงินจริงได้ โดยดูจากมูลค่า Pip ต่อขนาด lot ที่เทรด
ตัวอย่างการคำนวณ:
สมมติเทรด EUR/USD สเปรด 1.5 Pip
- มูลค่า 1 Pip สำหรับ 1 Standard Lot (100,000 หน่วย): สำหรับคู่เงินที่ USD เป็นฐาน ประมาณ $10 ต่อ Pip
- ดังนั้น สำหรับ 1 Standard Lot: 1.5 Pip × $10 = $15
- สำหรับ 1 Mini Lot (10,000 หน่วย): มูลค่า 1 Pip = $1 → 1.5 × $1 = $1.5
- สำหรับ 1 Micro Lot (1,000 หน่วย): มูลค่า 1 Pip = $0.1 → 1.5 × $0.1 = $0.15
การคำนวณแบบนี้ทำให้คุณเห็นภาพต้นทุนชัดเจน ช่วยวางแผนการลงทุนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทรดขนาดเล็กเพื่อทดลอง
ค่าสเปรดส่งผลต่อการเทรดและกำไรของคุณอย่างไร
ค่าสเปรดเหมือนค่าบริการที่โบรกเกอร์เรียกทุกครั้งที่คุณเปิดปิดเทรด ดังนั้น มันกระทบกำไรขาดทุนโดยตรงแบบที่มองข้ามไม่ได้
- ต้นทุนโดยตรง: ตอนเปิดออเดอร์ซื้อ คุณเริ่มจากราคา Ask ที่สูงกว่าราคา Bid ตามสเปรดทันที ทำให้ติดลบตั้งแต่แรก ราคาต้องวิ่งไปในทิศทางที่หวังอย่างน้อยเท่าสเปรดถึงจะกำไร
- ผลกระทบต่อกำไร: สเปรดสูงเท่าไหร่ กำไรสุทธิยิ่งหายไปมาก โดยเฉพาะนักเทรดที่หวังกำไรจาก pip เล็กๆ อย่าง scalping สเปรดแค่ 1-2 Pip ก็เปลี่ยนผลลัพธ์ได้ทั้งหมด
- การตั้ง Stop Loss และ Take Profit: สเปรดมีส่วนในจุดตัดขาดทุนและทำกำไร ถ้าตั้ง Stop Loss ใกล้เกินไป แล้วสเปรดขยาย อาจโดนตัดก่อนที่ราคาจะไปตามแผน สำหรับ Take Profit ราคาต้องเลยสเปรดไปถึงเป้า
- กลยุทธ์การเทรด:
- Scalping และ Day Trading: เปิดปิดบ่อย หวังกำไรเล็กน้อย สเปรดต่ำจึงสำคัญมาก เพราะต้นทุนสะสมเร็ว
- Swing Trading และ Position Trading: ถือยาว หวังกำไรใหญ่ สเปรดยังเป็นต้นทุนแต่กระทบน้อยกว่า เพราะกำไรคาดหวังมากพอชดเชย
พอเข้าใจผลกระทบแบบนี้ คุณจะเลือกโบรกเกอร์ สินทรัพย์ และกลยุทธ์ได้เหมาะสม ลดความเสี่ยงจากต้นทุนที่ไม่คาดคิด
การเลือกโบรกเกอร์ในไทยจากค่าสเปรด: สิ่งที่ต้องพิจารณา
สำหรับเทรดเดอร์ไทย การหาโบรกเกอร์ดีๆ คือกุญแจสำคัญ และค่าสเปรดเป็นปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้าม แต่ละโบรกเกอร์มีนโยบายต่างกัน การเปรียบเทียบละเอียดจะช่วยประหยัดต้นทุนได้เยอะ
สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกโบรกเกอร์จากค่าสเปรด:
- ตัวเลขสเปรดเฉลี่ย: ตรวจค่าสเปรดสำหรับคู่เงินหรือสินทรัพย์ที่คุณสนใจ เช่น EUR/USD, GBP/USD หรือทองคำ
- ประเภทบัญชี: โบรกเกอร์มีหลายแบบ เช่น Standard, Raw Spread, ECN ซึ่งสเปรดและค่าธรรมเนียมต่างกัน Raw Spread มักแคบแต่มีคอมมิชชั่น
- ความเสถียรของสเปรด: ไม่ใช่แค่ต่ำในปกติ แต่ต้องดูว่าขยายมากไหมตอนตลาดวุ่นวาย
- ค่าสเปรด Exness Pantip และการเปรียบเทียบโบรกเกอร์ยอดนิยม:
- Exness: ได้รับความนิยมในไทยจาก Pantip เพราะสเปรดต่ำและบัญชีหลากหลาย เช่น Standard, Raw Spread, Zero เลือกให้ตรงกลยุทธ์
- XM: มีโปรโมชั่นดี สเปรดปานกลางแต่แข่งขันได้ ขึ้นกับบัญชี
- FBS: เน้นโบนัส สเปรดไม่ใช่ต่ำสุดแต่ยังดี
- XTB, ThinkMarkets, LiteFinance, FxPro, ATFX: ตัวเลือกอื่นๆ ที่มีจุดเด่นเรื่องสเปรดและบริการ ควรเช็คเว็บตรง
นอกเหนือจากค่าสเปรด ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เทรดเดอร์ไทยควรพิจารณา:
- ใบอนุญาตและกฎระเบียบ (Regulation): มีใบอนุญาตจากหน่วยงานน่าเชื่อถือ เพื่อความปลอดภัยเงินทุน
- ช่องทางการฝาก-ถอนเงิน: รองรับธนาคารไทยอย่างกสิกร ไทยพาณิชย์ หรือกรุงเทพ และเร็วแค่ไหน
- การสนับสนุนลูกค้า (Customer Support): มีภาษาไทย รองรับเร็ว และมีประสิทธิภาพ
- แพลตฟอร์มการเทรด (Trading Platform): รองรับ MT4/MT5 และเครื่องมือช่วยเทรดอื่นๆ
การเลือกโบรกเกอร์ไม่ใช่แค่สเปรดต่ำสุด แต่ดูภาพรวม ความน่าเชื่อถือ และเหมาะกับสไตล์คุณ เพื่อการเทรดที่ยั่งยืน
กลยุทธ์และเคล็ดลับในการจัดการค่าสเปรดสำหรับเทรดเดอร์ไทย
ถึงค่าสเปรดจะเป็นต้นทุนที่เลี่ยงไม่ได้ แต่เทรดเดอร์ไทยสามารถใช้กลยุทธ์ลดผลกระทบได้ เพื่อให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เลือกช่วงเวลาการเทรดที่เหมาะสม:
- เทรดในช่วงตลาดเปิดหลัก: ช่วงลอนดอน-นิวยอร์กทับกัน (ราว 15:00-21:00 น. ไทย) คล่องตัวสูง สเปรดแคบ
- หลีกเลี่ยงช่วงตลาดปิด/สภาพคล่องต่ำ: กลางคืนเอเชีย (02:00-07:00 น.) สเปรดกว้าง
- หลีกเลี่ยงช่วงเปิดตลาดวันจันทร์และปิดตลาดวันศุกร์: สภาพคล่องยังไม่เต็มที่หรือไม่แน่นอนก่อนวันหยุด
- ติดตามข่าวเศรษฐกิจสำคัญ (Economic News):
- ข่าวใหญ่ๆ อย่างดอกเบี้ย เงินเฟ้อ หรือประชุมธนาคารกลาง ทำให้สเปรดพุ่ง
- เลี่ยงเปิดปิดออเดอร์ตอนนั้น หรือลดขนาด lot ถ้าจำเป็น
- พิจารณาใช้ Pending Order (คำสั่งซื้อขายล่วงหน้า):
- Limit หรือ Stop Order ช่วยกำหนดราคาล่วงหน้า ลดเสี่ยงจากสเปรดขยาย แต่ยังมี slippage ถ้าตลาดเด้งแรง
- เลือกบัญชีประเภท ECN/Raw Spread หากเป็น Scalper หรือ Day Trader:
- สเปรดใกล้ 0 แต่มีคอมมิชชั่น คุ้มกว่าสำหรับเทรดบ่อย
- ระมัดระวังช่วงวันหยุดราชการไทยและวันหยุดธนาคาร:
- อาจกระทบคล่องตัวคู่เงินบาท หรือช่องทางฝากถอน แม้ไม่ตรงสเปรดหลัก แต่ควรระวัง
- ใช้เครื่องมือตรวจสอบสเปรด:
- โบรกเกอร์บางแห่งมีอินดิเคเตอร์ realtime บน MT4/MT5 ช่วยดูการเปลี่ยนแปลงก่อนเทรด
การจัดการสเปรดแบบนี้เป็นส่วนของการบริหารความเสี่ยงทั้งหมด ช่วยให้ต้นทุนควบคุมได้ และเพิ่มโอกาสกำไรระยะยาว โดยเฉพาะในตลาดที่ผันผวนบ่อย
สรุป: ค่าสเปรด คือ กุญแจสู่การเทรดอย่างชาญฉลาด
ค่าสเปรดคือองค์ประกอบหลักในตลาด Forex และสินทรัพย์อื่นๆ ที่เทรดเดอร์ โดยเฉพาะมือใหม่ ต้องเข้าใจลึกซึ้ง มันไม่ใช่แค่ตัวเลขเล็กน้อย แต่เป็นต้นทุนจริงที่กระทบทุกออเดอร์ การรู้จักนิยาม ประเภท ปัจจัยเปลี่ยนแปลง วิธีคำนวณ และการจัดการ จะช่วยให้คุณเลือกโบรกเกอร์ วางกลยุทธ์ และควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมือโปร
ความสำเร็จในการเทรดไม่ใช่แค่กำไร แต่รวมถึงการลดต้นทุนให้ต่ำสุด และค่าสเปรดคือหนึ่งในนั้น การเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสเปรดตลาดจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้คุณอยู่รอดและเติบโตในวงการนี้
ค่าสเปรดต่ําดีไหม และต่ำแค่ไหนถึงเรียกว่าดีสำหรับเทรดเดอร์ไทย?
ค่าสเปรดต่ำย่อมดีกว่าเสมอ เพราะช่วยลดต้นทุนการเทรด เพิ่มโอกาสกำไร สำหรับเทรดเดอร์ไทย ความ “ดี” ขึ้นกับสินทรัพย์และบัญชีที่ใช้
- คู่เงินหลัก (Major Pairs เช่น EUR/USD): น้อยกว่า 1.0-1.5 Pip ในบัญชี Standard ถือว่าดีเยี่ยม สำหรับ Raw Spread/ECN อาจต่ำถึง 0.3-0.5 Pip แต่มีคอมมิชชั่น
- ทองคำ (XAU/USD): น้อยกว่า 20-30 จุด (2.0-3.0 Pip) ถือว่าดี (โดย 1 Pip ของทองคือ 10 จุดในโบรกเกอร์ส่วนใหญ่)
แต่ไม่ใช่แค่ต่ำอย่างเดียว ต้องดูความเสถียรด้วย โดยเฉพาะตอนข่าวใหญ่ที่สเปรดไม่ขยายเกินควร
“สเปรด” แปลว่าอะไร ในภาษาไทย และมีใช้ในบริบทใดอีกบ้างนอกจาก Forex?
สเปรดในภาษาไทยแปลว่าส่วนต่างหรือความห่างไกล นอกเหนือจาก Forex ที่หมายถึงส่วนต่าง Bid-Ask แล้ว ในวงการการเงินยังใช้ในแบบอื่น เช่น
- Credit Spread: ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างตราสารหนี้เสี่ยงต่างกัน
- Option Spread: กลยุทธ์เทรดออปชั่นที่ซื้อขายพร้อมกัน
- Yield Spread: ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรประเภทต่างๆ
本质แล้วคือแนวคิดเรื่องส่วนต่างระหว่างสองสิ่งเสมอ
ค่าสเปรด Exness Pantip มีประเด็นอะไรที่เทรดเดอร์ไทยควรรู้ก่อนตัดสินใจ?
จากรีวิวใน Pantip และชุมชนเทรดเดอร์ไทย ประเด็นค่าสเปรดของ Exness ที่น่าสนใจมีดังนี้
- สเปรดแข่งขัน: Exness โด่งดังเรื่องสเปรดต่ำ โดยเฉพาะบัญชี Raw Spread และ Zero
- บัญชีหลากหลาย: มี Standard, Standard Cent, Pro, Zero, Raw Spread แต่ละแบบสเปรดและคอมมิชชั่นต่างกัน ต้องเลือกตรงสไตล์เทรด
- เสถียรตอนข่าว: ช่วงข่าวใหญ่สเปรดอาจขยายบ้าง แต่โดยรวมจัดการดี
- ฝากถอนเร็ว: จุดเด่นที่คนไทยชอบ นอกเหนือสเปรด
โดยรวม Exness เป็นตัวเลือกยอดนิยมในไทย แต่ศึกษาบัญชีให้ละเอียดก่อนเริ่ม
ราคา ASK คืออะไร และมันแตกต่างจากราคา BID อย่างไรในการซื้อขาย Forex?
ราคา ASK และ BID คือส่วนประกอบหลักของสเปรด
- ราคา BID (ราคาซื้อ): ราคาที่โบรกเกอร์ยอมซื้อจากคุณ หรือราคาขายของคุณ
- ราคา ASK (ราคาขาย หรือ Offer Price): ราคาที่โบรกเกอร์ยอมขายให้คุณ หรือราคาซื้อของคุณ
ASK สูงกว่า BID เสมอ ส่วนต่างคือสเปรด ตอน buy ใช้ ASK ตอน sell ใช้ BID
ค่าสเปรดทองแต่ละโบรกเกอร์ในไทยแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน และควรเลือกอย่างไร?
สเปรดทองคำ (XAU/USD) ในโบรกเกอร์ไทยต่างกันชัดเจน ปกติ 10-50 จุด (1.0-5.0 Pip) ในตลาดปกติ
ปัจจัยต่าง:
- ประเภทบัญชี: Raw Spread มักต่ำกว่า Standard
- สภาพคล่อง: โบรกเกอร์เข้าถึงคล่องตัวดี สเปรดแคบกว่า
- นโยบาย: บางแห่งโปรโมทสเปรดต่ำเพื่อดึงลูกค้า
การเลือก: เปรียบเทียบสเปรดเฉลี่ยตอนคุณเทรดบ่อย และดูขยายตอนข่าว เลือกที่แข่งขันและเสถียร
ค่าสเปรดคิดยังไง และมีค่าธรรมเนียมอื่นอีกไหมที่เทรดเดอร์ไทยต้องจ่าย?
สเปรดคำนวณจากส่วนต่าง Bid-Ask ในหน่วย Pip แล้วแปลงเป็นเงินตาม lot เช่น 1.5 Pip EUR/USD 1 Lot = 1.5 × $10 = $15
นอกจากนี้ เทรดเดอร์ไทยอาจเจอ
- ค่าคอมมิชชั่น: ใน ECN/Raw Spread สเปรดแคบแต่มีคอมต่อ lot
- ค่า Swap: ค่าถือคืน อาจบวกหรือลบ ขึ้นกับคู่เงินและดอกเบี้ย
- ค่าฝาก-ถอน: ส่วนใหญ่ฟรีฝาก แต่ถอนอาจมีจากธนาคาร
- ค่าบัญชีไม่เคลื่อนไหว: ถ้าไม่ได้เทรดนาน บางแห่งคิด
เทรดตอนไหนค่าสเปรดจะต่ำที่สุดในตลาด Forex และช่วงไหนควรเลี่ยง?
สเปรดต่ำสุดตอนตลาดคล่องสูง ผันผวนต่ำ
- ช่วงต่ำสุด: ลอนดอน-นิวยอร์กทับ (15:00-21:00 น. ไทย) ปริมาณเทรดสูงสุด
- ช่วงเลี่ยง:
- ข่าวใหญ่ (NFP, ดอกเบี้ย, CPI)
- เปิดจันทร์หรือปิดศุกร์
- กลางคืนเอเชีย (02:00-07:00 น. ไทย) คล่องต่ำ
- วันหยุดธนาคารกลาง
เลี่ยงช่วงกว้างช่วยลดต้นทุน ป้องกัน Stop Loss ฟรี
โบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าสเปรดจริงหรือ?
มีโบรกเกอร์ Zero Spread จริง แต่มีข้อควรระวัง
- มีคอมมิชชั่นแทน: ชดเชยด้วยค่าต่อ lot รวมแล้วอาจไม่ถูกเสมอไป
- จำกัดคู่เงิน: มักเฉพาะหลักๆ ไม่ใช่ทุกอย่าง
- ไม่ศูนย์ตลอด: ผันผวนสูงอาจขยายชั่วคราว
ถ้าเจอคำว่า “ไม่มีสเปรด” ตรวจคอมและเงื่อนไขดีๆ ก่อน
ค่าสเปรด XM เท่าไหร่ โดยเฉลี่ย และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
สเปรด XM แตกต่างตามบัญชีและคู่เงิน
- Standard: EUR/USD ราว 1.6-1.8 Pip
- Micro: ใกล้เคียง Standard
- XM Ultra Low: ต่ำกว่า 0.6-0.8 Pip สำหรับ EUR/USD แต่มีเงื่อนไข lot
- Shares: โครงสร้างต่าง
เป็นแบบลอยตัว เปลี่ยนตามตลาด คล่อง และผันผวน แคบตอนปกติ กว้างตอนข่าวหรือคล่องต่ำ เหมือนโบรกเกอร์ทั่วไป
สเปรดกว้างขึ้นหมายถึงอะไร และเทรดเดอร์ไทยควรรับมืออย่างไร?
สเปรดกว้างคือส่วนต่าง Bid-Ask เพิ่ม ต้นทุนสูง ต้องรอราคาวิ่งมากกว่าเดิมถึงกำไร
ผลกระทบ:
- ต้นทุนพุ่ง
- เสี่ยง Stop Loss ง่ายถ้าตั้งใกล้
- Scalping/Day Trading ยากขึ้น
รับมือ:
- เลี่ยงเทรดตอนกว้าง: ข่าวใหญ่ คล่องต่ำ หรือวันหยุด
- ลด lot: ถ้าต้องเทรด ลดขนาดเพื่อเสี่ยงน้อย
- เช็ค realtime: ดูสเปรดบนแพลตฟอร์มก่อนเข้า
- ใช้ Raw/ECN: สเปรดแคบกว่าแม้ผันผวน