ค่าสเปรด Forex คืออะไร? ทำไมมันถึงสำคัญ?
ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Forex ค่าสเปรดหมายถึงช่องว่างระหว่างราคาที่ผู้ซื้อเสนอให้กับผู้ขาย หรือที่เรียกว่า Bid Price และ Ask Price สำหรับคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่กำลังซื้อขายกัน พูดให้เข้าใจง่ายๆ มันคือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทันทีเมื่อคุณเริ่มเปิดการเทรดใดๆ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ใช้ค่าสเปรดนี้เป็นแหล่งรายได้หลักในการให้บริการ ลองนึกภาพดู ถ้าราคา Bid ของคู่ EUR/USD อยู่ที่ 1.08000 และ Ask อยู่ที่ 1.08002 ช่องว่างนั้นก็คือ 0.00002 หรือเท่ากับ 2 Pips

Pip หรือ Percentage in Point คือหน่วยวัดมาตรฐานสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex โดยปกติ 1 Pip จะเท่ากับ 0.0001 สำหรับคู่สกุลเงินทั่วไป และ 0.01 สำหรับคู่ที่เกี่ยวข้องกับเงินเยนญี่ปุ่น การรู้จักค่าสเปรดให้ดีจึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องเข้าใจ เพราะมันกระทบตรงๆ ต่อค่าใช้จ่ายในการเทรดและกำไรที่สะสมในระยะยาว ถ้าคุณเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดเหมาะสมกับวิธีการเทรดของคุณ ก็จะช่วยควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น และเปิดโอกาสให้ทำกำไรได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงกลยุทธ์ที่คุณใช้ เช่น การเทรดสั้นหรือยาว
ประเภทของค่าสเปรด: คงที่ vs. ลอยตัว
ก่อนจะลงลึกถึงรายละเอียด การรู้จักประเภทต่างๆ ของค่าสเปรดช่วยให้คุณคาดการณ์ค่าใช้จ่ายในการเทรดได้ชัดเจนขึ้น และปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาพตลาดได้ดีกว่า

ค่าสเปรดคงที่ (Fixed Spread)
ค่าสเปรดแบบคงที่จะมีอัตราคงที่ตามที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรในสภาวะปกติ ข้อดีที่เห็นชัดคือช่วยให้เทรดเดอร์วางแผนต้นทุนได้แน่นอน เหมาะมากสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่ชินกับความแปรปรวน หรือคนที่อยากมั่นใจเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ในทางตรงข้าม มันมักจะสูงกว่าประเภทอื่นๆ และบางโบรกเกอร์อาจต้องขอราคาใหม่หรือปฏิเสธคำสั่งในช่วงตลาดวุ่นวาย เพื่อปกป้องตัวเองจากความเสี่ยง ซึ่งอาจทำให้การเทรดสะดุดได้
ค่าสเปรดลอยตัว (Floating/Variable Spread)
ส่วนค่าสเปรดลอยตัวจะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลาด สภาพคล่อง และปริมาณการซื้อขายในขณะนั้น ในช่วงที่ตลาดคึกคักและราคาไม่ผันผวนมาก เช่น เวลาตลาดลอนดอนกับนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน สเปรดมักจะแคบจนน่าดึงดูด แต่ถ้ามีข่าวเศรษฐกิจใหญ่หรือตลาดปั่นป่วน มันก็อาจกว้างขึ้นทันที ข้อดีคือในสภาวะปกติ มันต่ำกว่าสเปรดคงที่ และสะท้อนภาพตลาดจริงๆ ได้ดีกว่า เหมาะสำหรับเทรดเดอร์เก๋าที่รับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบติดตามข่าวสารเพื่อจับจังหวะ
ค่าสเปรดแบบ Raw Spread / Zero Spread (สเปรดดิบ / สเปรดศูนย์)
สำหรับบัญชี Raw Spread หรือ Zero Spread โบรกเกอร์จะให้สเปรดต่ำสุดหรือถึงศูนย์สำหรับคู่สกุลเงินบางตัว โดยเฉพาะในช่วงสภาพคล่องดี แต่จะเก็บค่าคอมมิชชั่นแทนสำหรับแต่ละล็อตที่เทรด ประเภทนี้เหมาะสุดสำหรับคนที่เน้นเทรดเร็วๆ อย่าง Scalping หรือเทรดเดอร์ที่มี volume สูง เพราะเข้าถึงราคาตลาดจริงได้ใกล้ชิดมาก โดยต้นทุนจะชัดเจนผ่านค่าคอมมิชชั่นแทนการจ่ายสเปรดแพงๆ ซึ่งช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวเร็ว

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรด
ค่าสเปรดไม่ใช่ตัวเลขตายตัวเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่เทรดเดอร์ควรศึกษาก่อนวางแผนการเทรด เพื่อให้ทุกการเคลื่อนไหวมีเหตุผลและลดความเสี่ยงลง
* **สภาพคล่อง (Liquidity) และปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume):** สภาพคล่องสูงหมายถึงการซื้อขายสินทรัพย์ได้ง่ายโดยไม่กระทบราคามากนัก ถ้าตลาดมีผู้เล่นเยอะและ volume มาก สเปรดก็จะแคบ เพราะหาคู่ซื้อขายตรงข้ามได้ไว ราคา Bid กับ Ask จึงใกล้กัน แต่ถ้าสภาพคล่องต่ำ เช่น ช่วงตลาดเงียบ สเปรดก็จะกว้างขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยง
* **ความผันผวน (Volatility) และข่าวสารเศรษฐกิจสำคัญ:** ตลาดที่ผันผวนหนัก เช่น เวลาออกข่าว Non-Farm Payroll หรือการประชุมธนาคารกลาง หรือเหตุการณ์การเมืองไม่คาดฝัน สเปรดจะขยายตัวเร็วเพราะความไม่แน่นอนและสภาพคล่องชั่วคราวที่หดตัว โบรกเกอร์จึงปรับสเปรดให้กว้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง ซึ่งเทรดเดอร์ควรระวังเพราะอาจทำให้ต้นทุนพุ่ง
* **คู่เงิน (Currency Pair) หรือสินทรัพย์ (Asset) ที่ซื้อขาย:** คู่หลักอย่าง EUR/USD หรือ GBP/USD มักมีสเปรดต่ำสุดเพราะ liquidity สูงและคนเทรดเยอะ แต่คู่รองหรือ exotic pairs รวมถึงสินค้าอย่างทองคำ XAUUSD หรือน้ำมัน Crude Oil จะมีสเปรดกว้างกว่า เนื่องจากผู้เล่นน้อยกว่าและเสี่ยงมากขึ้น
* **ประเภทโบรกเกอร์ (Broker Type) และรูปแบบธุรกิจ:**
* **โบรกเกอร์แบบ ECN/STP:** ให้สเปรดแคบมากแบบ Raw Spread เพราะส่งคำสั่งตรงไปหาผู้ให้บริการ liquidity และหาเงินจากคอมมิชชั่น ซึ่งโปร่งใสและใกล้เคียงตลาดจริง
* **โบรกเกอร์แบบ Market Maker:** สเปรดอาจกว้างนิดหน่อยแต่ควบคุมได้ดี เป็นคู่สัญญาตรงกับเทรดเดอร์เอง ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบความแน่นอนแต่ต้องระวังเรื่อง re-quotes
* **ช่วงเวลาการซื้อขาย (Trading Session):** สเปรดจะเปลี่ยนตาม session ตลาด ช่วง overlap ระหว่างลอนดอนกับนิวยอร์ก liquidity สูงสุด สเปรดจึงแคบ แต่ช่วงตลาดปิดหรือวันหยุด สเปรดจะกว้างเพราะ activity น้อย
เปรียบเทียบค่าสเปรดแต่ละโบรกเกอร์ยอดนิยมในไทย (โดยเฉพาะทองคำ XAUUSD)
สำหรับเทรดเดอร์ในไทย การหาโบรกเกอร์ที่สเปรดดี โดยเฉพาะกับทองคำ XAUUSD ที่เป็นสินค้ายอดฮิต ถือเป็นกุญแจสำคัญในการลดต้นทุน เราจึงรวบรวมข้อมูลสเปรดโดยประมาณจากโบรกเกอร์ยอดนิยมในตลาดไทย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่โปรดจำไว้ว่าสเปรดเหล่านี้เป็นค่าเฉลี่ยและอาจผันผวนตามตลาดกับประเภทบัญชี แหล่งข้อมูลจาก Investopedia ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยหลักที่ต้องดูตอนเลือกโบรกเกอร์
ตารางเปรียบเทียบค่าสเปรดโดยประมาณ (สำหรับบัญชี Standard หรือเทียบเท่า)
| โบรกเกอร์ | EURUSD (Pips) | GBPUSD (Pips) | XAUUSD (Pips) | ประเภทสเปรดหลัก | บัญชี Raw Spread/Zero Spread |
| :————— | :———— | :———— | :———— | :————– | :————————– |
| **XM** | 1.0 – 1.6 | 1.5 – 2.5 | 25 – 45 | ลอยตัว | มี (Ultra Low) |
| **Exness** | 0.7 – 1.2 | 1.0 – 1.8 | 15 – 30 | ลอยตัว | มี (Raw Spread, Zero) |
| **OctaFX** | 0.8 – 1.3 | 1.2 – 2.0 | 20 – 35 | ลอยตัว | ไม่มี |
| **LiteFinance** | 1.0 – 1.8 | 1.5 – 2.5 | 25 – 40 | ลอยตัว | มี (ECN) |
| **Eightcap** | 0.6 – 1.0 | 0.9 – 1.5 | 12 – 25 | ลอยตัว | มี (Raw Account) |
| **Pepperstone** | 0.6 – 1.0 | 0.9 – 1.5 | 12 – 25 | ลอยตัว | มี (Razor Account) |
*หมายเหตุ: ค่าสเปรดสำหรับทองคำ (XAUUSD) มักจะแสดงเป็น Pips ของราคา หรือจุดทศนิยมที่สองหลังจากจุดทศนิยมหลัก (เช่น 25 Pips หมายถึง 2.5 เหรียญต่อออนซ์ หรือ 0.25 ของราคาต่อออนซ์ ขึ้นอยู่กับการแสดงผลของโบรกเกอร์) สำหรับทองคำ 1 Pip มักจะหมายถึง 0.01 ดอลลาร์ ดังนั้น 25 Pips คือ 0.25 ดอลลาร์*
**การวิเคราะห์สำหรับทองคำ (XAUUSD):**
จากข้อมูลในตาราง โบรกเกอร์อย่าง Exness, Eightcap และ Pepperstone ดูจะโดดเด่นด้วยสเปรดทองคำที่ต่ำกว่า โดยเฉพาะในบัญชี Raw Spread หรือ Zero Spread ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์ที่โฟกัสทองคำมีต้นทุนแข่งขันได้ดี แต่ XM เองก็ยังครองใจเทรดเดอร์ไทยด้วยบริการครบครันและโปรโมชั่นน่าเอ็นดู แม้สเปรดมาตรฐานจะสูงกว่านิดหน่อย ถ้าคุณค้นหา “XM ค่าสเปรดทอง” หรือ “ค่าสเปรด Exness ทอง” ควรดูประเภทบัญชีที่เหมาะกับตัวเองด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
นอกเหนือจากสเปรด ชื่อเสียงในตลาดไทย การดูแลลูกค้า การฝากถอนที่สะดวก และแพลตฟอร์มที่มั่นคง ล้วนเป็นส่วนที่ช่วยให้การเลือกโบรกเกอร์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการความมั่นใจในระยะยาว
วิธีเลือกโบรกเกอร์จากค่าสเปรดให้เหมาะกับสไตล์การเทรดของคุณ
การหาโบรกเกอร์ที่ดีไม่ใช่แค่ดูสเปรดต่ำสุด แต่ต้องมองว่ามันเข้ากับสไตล์เทรดและความต้องการของคุณแค่ไหน เพื่อให้การเทรดราบรื่นและยั่งยืน
1. **พิจารณาจากสไตล์การเทรด:**
* **Scalping (การเทรดสั้น):** ถ้าคุณชอบเปิดปิดออเดอร์บ่อยเพื่อกำไรเล็กๆ น้อยๆ สเปรดต่ำสุดคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ เลือกบัญชี Raw Spread หรือ Zero Spread ที่คอมมิชชั่นไม่แพง เพื่อให้ต้นทุนต่อเทรดต่ำลงจริงๆ
* **Day Trading (การเทรดรายวัน):** เทรดเดอร์แบบนี้ยังได้ประโยชน์จากสเปรดต่ำ แต่ยืดหยุ่นกว่า Scalping นิดหน่อย บัญชี Raw หรือ Standard กับสเปรดลอยตัวต่ำก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะถ้าคุณเทรดในช่วง liquidity สูง
* **Swing Trading/Position Trading (การเทรดยาว):** สำหรับคนที่ถือออเดอร์หลายวันหรือสัปดาห์ สเปรดไม่ใช่ปัจจัยหลักเพราะกำไรต่อเทรดมักมากพอที่จะชดเชย แต่ควรดูค่าธรรมเนียมอื่นๆ อย่าง Swap หรือความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์มากกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนซ่อนเร้น
2. **พิจารณาจากสินทรัพย์ที่ซื้อขาย:**
* **คู่สกุลเงินหลัก:** โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แข่งกันเรื่องสเปรดต่ำสำหรับ EURUSD หรือ GBPUSD อยู่แล้ว
* **ทองคำ (XAUUSD):** ถ้าโฟกัสทองคำ ให้หาโบรกเกอร์ที่ถนัดสินค้าโภคภัณฑ์และมีสเปรดพิเศษต่ำ เช่น Eightcap หรือ Pepperstone ในบัญชี Raw ซึ่งช่วยให้เทรดทองได้คุ้มค่ากว่า
* **สินทรัพย์อื่นๆ:** สำหรับของ liquidity ต่ำอย่างหุ้นเดี่ยวหรือคริปโต สเปรดกว้างเป็นเรื่องปกติ แต่ควรเช็คกับโบรกเกอร์ว่ามีตัวเลือกดีแค่ไหน
3. **พิจารณาประเภทบัญชี:**
* **บัญชี Standard:** สเปรดกว้างหน่อยแต่ไม่เสียคอมมิชชั่น เหมาะกับมือใหม่ที่อยากเริ่มง่ายๆ
* **บัญชี Raw Spread/Zero Spread:** สเปรดแคบสุดแต่มีคอมมิชชั่นต่อล็อต ดีสำหรับ Scalper หรือ Day Trader ที่เทรดเยอะ
* **บัญชี Cent/Micro:** สเปรดอาจกว้างแต่ทุนน้อยก็เริ่มได้ เหมาะสำหรับฝึกฝน
4. **ปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณานอกเหนือจากค่าสเปรด:**
* **ค่าคอมมิชชั่น (Commission):** ถ้าเลือก Raw ต้องรวมคอมมิชชั่นเข้าการคำนวณสเปรดด้วยเสมอ
* **ค่าธรรมเนียมอื่นๆ:** อย่าง Swap สำหรับถือคืน ซึ่งสำคัญสำหรับเทรดยาว
* **เลเวอเรจ (Leverage):** เช็คว่าเหมาะกับการจัดการความเสี่ยงของคุณไหม
* **การกำกับดูแล (Regulation):** เลือกที่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานเชื่อถือได้ เช่น FCA (อังกฤษ), ASIC (ออสเตรเลีย), CySEC (ไซปรัส) เพื่อปกป้องเงินทุน แม้ในไทยไม่มีใบอนุญาตตรงๆ แต่หน่วยงานเหล่านี้ช่วยรับประกันความปลอดภัย ข้อมูลจาก FCA ย้ำถึงความสำคัญของการกำกับดูแลในการเทรด Forex
* **แพลตฟอร์มการซื้อขาย:** ต้องเสถียรและเร็ว เช่น MetaTrader 4/5 เพื่อไม่ให้พลาดโอกาส
* **การบริการลูกค้า:** สนับสนุนภาษาไทยรวดเร็วสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ไทย
* **ช่องทางการฝาก-ถอน:** ดูว่ารองรับธนาคารไทยหรือ e-wallet ที่คุณถนัดไหม
กลยุทธ์การจัดการค่าสเปรดและหลีกเลี่ยงต้นทุนแฝง
การจัดการสเปรดอย่างชาญฉลาดและหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายซ่อนเร้น จะช่วยยกระดับกำไรจากการเทรดของคุณได้ชัดเจน โดยไม่ต้องเสี่ยงมากเกินไป
1. **เลือกช่วงเวลาการซื้อขายที่เหมาะสม:**
สเปรดแคบสุดในช่วง liquidity สูง เช่น overlap ลอนดอน-นิวยอร์ก (บ่ายถึงเย็น) หลีกเลี่ยงเปิดหรือปิดออเดอร์ช่วงตลาดปิดหรือวันหยุด เพราะสเปรดอาจพุ่งสูงผิดปกติ ซึ่งอาจกินกำไรทั้งหมดได้
2. **หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าวสารเศรษฐกิจสำคัญ:**
ข่าวใหญ่ทำให้สเปรดขยายเพราะ volatility พุ่ง ถ้าไม่ชัวร์ อย่าเข้าเทรดดีกว่า หรือถ้าต้องเข้า ลดขนาด lot และเตรียมรับมือการสวิงราคา การเช็คปฏิทินเศรษฐกิจช่วยให้วางแผนล่วงหน้าได้
3. **ทำความเข้าใจ Slippage (สลิปเพจ) และ Re-quotes (รีโควท):**
* **Slippage (สลิปเพจ):** คำสั่งถูก执行ที่ราคาไม่ตรงกับที่ตั้งใจ มักเกิดในตลาดวุ่นวายหรือ volume สูง ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนโดยไม่รู้ตัว
* **Re-quotes (รีโควท):** โบรกเกอร์เสนอราคาใหม่เพราะตลาดเปลี่ยนเร็ว โดยเฉพาะ Market Maker ถ้าไม่รับ คำสั่งก็ไม่เกิด เลือก ECN/STP ช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้เยอะ
4. **คำนวณต้นทุนการเทรดที่แท้จริง:**
อย่าดูแค่สเปรด แต่รวมคอมมิชชั่น Swap และ slippage ด้วย สูตรง่ายๆ คือ ต้นทุนรวม = สเปรด + คอมมิชชั่น + Swap (ถ้ามี) + slippage ซึ่งช่วยให้เห็นภาพชัดว่าการเทรดแต่ละครั้งคุ้มไหม โดยเฉพาะในกลยุทธ์ที่เทรดบ่อย
5. **กลยุทธ์การรับมือกับสเปรดขยายตัวในตลาดไทย:**
ในไทย อาจเจอสเปรดขยายจากข่าวในประเทศที่กระทบ liquidity ชั่วคราว แม้ไม่ใช่คู่หลักโลก แต่ก็ส่งผลต่อสินค้าอื่นๆ มีแผนสำรองอย่างตั้ง Stop Loss กว้างขึ้นหรือเว้นช่วงนั้น จะช่วยควบคุมความเสี่ยงได้ดี โดยเฉพาะถ้าคุณเทรดทองคำที่ sensitive กับข่าว
สรุป: การเลือกโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดจากค่าสเปรด
สรุปแล้ว การเลือกโบรกเกอร์ Forex จากค่าสเปรดเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องดูภาพรวมทั้งหมด สเปรดคือต้นทุนหลักที่แบ่งเป็นแบบคงที่และลอยตัว แต่ละแบบมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่าง การเข้าใจปัจจัยอย่าง liquidity volatility และสินทรัพย์ จะช่วยให้คุณเลือกได้อย่างมั่นใจ
สำหรับเทรดเดอร์ไทยที่สนใจทองคำ XAUUSD การเปรียบเทียบสเปรดจาก Exness XM Eightcap Pepperstone จะให้ภาพชัดเจน และเลือกบัญชี Raw Spread เพื่อต้นทุนต่ำสุด แต่สุดท้าย การตัดสินใจต้องครอบคลุมสไตล์เทรด สินค้าที่ชอบ รวมถึงคอมมิชชั่น Swap เลเวอเรจ การกำกับดูแล แพลตฟอร์ม และบริการ ลองเปิด demo account ทดสอบสเปรดจริงก่อนลงเงินจริงเสมอ เพราะการทดลองด้วยตัวเองคือทางที่ดีที่สุดในการหาโบรกเกอร์ที่ใช่สำหรับคุณ
ค่าสเปรดทอง (XAUUSD) ของโบรกเกอร์ XM และ Exness แตกต่างกันอย่างไร และโบรกไหนเหมาะกับเทรดทองมากกว่ากัน?
โดยปกติ Exness ให้สเปรดทองคำ XAUUSD ต่ำกว่า XM โดยเฉพาะในบัญชี Raw Spread หรือ Zero Spread ที่อาจเหลือแค่ 15-30 Pips ขณะที่ XM ในบัญชี Standard อยู่ราว 25-45 Pips Exness โดดเด่นเรื่องสเปรดแคบและโปร่งใส จึงเหมาะกับเทรดเดอร์ที่อยากลดต้นทุนทองคำ แต่ XM ชนะเรื่องแพลตฟอร์มใช้งานง่ายและโปรโมชั่นหลากหลาย สุดท้ายขึ้นกับว่าคุณให้ความสำคัญกับสเปรดต่ำหรือบริการรวมมากกว่า
การเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดต่ำที่สุดสำหรับเทรดทองคำในตลาดไทย ควรพิจารณาจากอะไรบ้าง?
ในการหาโบรกเกอร์สเปรดทองคำต่ำสุดในไทย ต้องดูหลายอย่าง:
- **ประเภทบัญชี:** เน้น Raw Spread หรือ Zero Spread
- **ค่าคอมมิชชั่น:** เช็คคอมมิชชั่นต่อล็อตเพราะกระทบต้นทุนรวม
- **สภาวะตลาดจริง:** ทดลองใน demo account ช่วงต่างๆ เพื่อเห็นสเปรดจริง
- **ความน่าเชื่อถือและการกำกับดูแล:** สเปรดต่ำแต่ต้องมั่นใจในความปลอดภัย
- **สภาพคล่อง:** โบรกเกอร์ที่เชื่อม liquidity providers หลายเจ้ามักสเปรดดีกว่า
ทำไมค่าสเปรดของบางโบรกเกอร์ถึงสูงขึ้นมากในช่วงข่าวสำคัญ และเราควรรับมืออย่างไร?
สเปรดพุ่งสูงในช่วงข่าวใหญ่เพราะตลาดผันผวนและ liquidity ชั่วคราวลดลง โบรกเกอร์ขยายสเปรดเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาที่สวิงแรง
วิธีรับมือ:
- **หลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าว:** ถ้าไม่ถนัด การรอเป็นทางเลือกปลอดภัย
- **ตั้ง Stop Loss ให้กว้างขึ้น:** เพื่อไม่ให้โดนตี Stop จาก volatility ชั่วคราว
- **ลดขนาดล็อต:** ควบคุมความเสี่ยงโดยลงทุนน้อยลง
- **ใช้โบรกเกอร์ ECN/STP:** ได้ราคาจาก liquidity provider โดยตรง สเปรดขยายน้อยกว่า (แต่ก็ยังมี)
บัญชีประเภท Raw Spread หรือ Zero Spread แตกต่างจากบัญชี Standard อย่างไร และคุ้มค่ากับค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายไปหรือไม่?
บัญชี Standard มีสเปรดกว้างแต่ไม่เสียคอมมิชชั่นเพิ่ม ต้นทุนรวมอยู่ในสเปรด เหมาะกับมือใหม่ที่อยากเรียบง่าย
Raw Spread หรือ Zero Spread ให้สเปรดแคบมากหรือศูนย์ แต่เก็บคอมมิชชั่นต่อล็อต
คุ้มค่าหรือไม่ขึ้นกับสไตล์:
- **คุ้มสำหรับ Scalper และ Day Trader:** เทรดบ่อย volume สูง คอมมิชชั่นเล็กน้อยแลกกับสเปรดแคบช่วยลดต้นทุนรวมเยอะ
- **อาจไม่คุ้มสำหรับ Swing Trader:** ถือยาว สเปรดไม่ใช่ประเด็นหลัก คอมมิชชั่นอาจแพงกว่าสเปรดกว้างของ Standard
ค่าสเปรดคงที่ (Fixed Spread) เหมาะกับการเทรดแบบไหน และในตลาด Forex ไทย มีโบรกเกอร์ใดบ้างที่เสนอแบบนี้?
สเปรดคงที่เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการต้นทุนแน่นอน ไม่ชอบความแปรปรวน เช่น มือใหม่หรือกลยุทธ์ที่ต้องคาดการณ์ค่าใช้จ่ายชัดๆ
ในตลาดไทย โบรกเกอร์ที่ให้สเปรดคงที่ตรงๆ ไม่ค่อยเยอะ มักเป็น Market Maker แต่หลายเจ้ามีบัญชีที่สเปรดค่อนข้างคงที่ในช่วงปกติหรือจำกัดการขยาย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มปัจจุบันเน้นสเปรดลอยตัวที่ใกล้เคียงตลาดจริง ควรเช็คเงื่อนไขกับโบรกเกอร์โดยตรง
นอกจากค่าสเปรดแล้ว ยังมีต้นทุนแฝงอะไรอีกบ้างที่เทรดเดอร์ไทยควรรู้ก่อนเลือกโบรกเกอร์?
นอกจากสเปรด เทรดเดอร์ไทยควรรู้ต้นทุนแฝงเหล่านี้:
- **ค่าคอมมิชชั่น (Commission):** สำหรับ Raw Spread หรือ Zero Spread
- **ค่า Swap / Rollover Fee:** ค่า持คืน (บวกหรือลบ) สำคัญสำหรับเทรดยาว
- **Slippage (สลิปเพจ):** คำสั่ง执行ราคาไม่ตรง
- **Re-quotes (รีโควท):** เสนอราคาใหม่ อาจพลาดโอกาส
- **ค่าธรรมเนียมการฝาก-ถอน:** บางช่องทางอาจมีค่าธรรมเนียม
- **ค่าธรรมเนียมการไม่ใช้งาน (Inactivity Fee):** ถ้าไม่เทรดนาน
- **อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ:** ถ้าฝากบาทแต่เทรด USD อาจเสียค่าปรับสกุล
การใช้โปรแกรม EA (Expert Advisor) ในการเทรด ส่งผลต่อการเลือกโบรกเกอร์จากค่าสเปรดอย่างไร?
การใช้ EA ทำให้สเปรดสำคัญมาก โดยเฉพาะถ้า EA เน้น Scalping หรือเทรดบ่อย:
- **ความไวต่อสเปรด:** เทรดบ่อย สเปรดกว้างอาจทำให้ EA ขาดทุนหรือกำไรน้อย
- **ความสอดคล้องของสเปรด:** ต้องการสเปรดแคบสม่ำเสมอ Raw Spread กับคอมมิชชั่นต่ำคือตัวเลือกดี
- **ความเร็วในการดำเนินการ:** โบรกเกอร์เร็ว Slippage ต่ำช่วยให้ EA ทำงานดี
- **สภาพคล่อง:** EA volume ใหญ่ต้องการ liquidity สูงเพื่อลด slippage
โบรกเกอร์ที่ไม่มีใบอนุญาตในไทย แต่เสนอสเปรดต่ำมาก เชื่อถือได้หรือไม่ และมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
โบรกเกอร์ในไทยส่วนใหญ่ไม่มีใบอนุญาตไทยตรงๆ แต่มีจากหน่วยงานนานาชาติอย่าง FCA ASIC หรือ CySEC ซึ่งยังน่าเชื่อถือ ถ้ามีใบอนุญาตเหล่านี้
แต่ถ้าเสนอสเปรดต่ำมากโดยไม่มีใบอนุญาตเลยหรือจากที่ไม่เข้มงวด เสี่ยงสูง:
- **ความปลอดภัยของเงินทุน:** ไม่มีคุ้มครองถ้าโบรกเกอร์ล้มหรือโกง
- **การดำเนินการที่ไม่เป็นธรรม:** อาจ manipulate ราคาหรือไม่โปร่งใส
- **ปัญหาการถอนเงิน:** ถอนยากหรือถูกปฏิเสธ
- **ข้อพิพาท:** ไม่มีช่องทางร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น อย่าเสี่ยงกับสเปรดต่ำถ้าต้องแลกกับความปลอดภัย เลือกที่มีการกำกับดูแลเข้มงวดก่อนเสมอ