QE QT คืออะไร? 5 สิ่งที่นักลงทุนไทยต้องรู้เมื่อ Fed เปลี่ยนนโยบาย

## บทนำ: ทำไมนักลงทุนไทยทุกคนควรรู้จัก QE และ QT?

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินจากธนาคารกลางชั้นนำ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด จึงส่งผลสะเทือนไปถึงเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง หรือแนวโน้มของตลาดหุ้นและค่าเงินบาท สองเครื่องมือสำคัญที่มักถูกหยิบยกมาพูดถึงคือการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE และการตึงตัวเชิงปริมาณ หรือ QT ซึ่งบทความนี้จะอธิบายรายละเอียดตั้งแต่ความหมาย วิธีการทำงาน ผลกระทบที่เกิดขึ้น และเคล็ดลับที่นักลงทุนไทยควรเตรียมตัวรับมือกับกระแสเหล่านี้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ภาพประกอบแสดงการเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก ธนาคารกลางที่มีอิทธิพลต่อเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และตลาดหุ้นในประเทศไทย

## อะไรคือการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)?

### QE คืออะไร และมีที่มาอย่างไร?

QE หรือการผ่อนคลายเชิงปริมาณ เป็นกลยุทธ์พิเศษที่ธนาคารกลางนำมาใช้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่เผชิญวิกฤตหรือภาวะถดถอยรุนแรง โดยปกติธนาคารกลางจะพึ่งพาการลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อปลุกเศรษฐกิจให้คึกคัก แต่พออัตราดอกเบี้ยใกล้แตะระดับศูนย์แล้ว ไม่สามารถลดลงได้อีก QE จึงเข้ามาเป็นทางออกหลัก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 หรือระหว่างการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจหลายประเทศฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

### QE ทำงานอย่างไร?

หลักการสำคัญของ QE คือธนาคารกลางจะเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินจำนวนมากจากตลาด เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันการจำนอง จากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นๆ การกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดผลหลายอย่างที่เชื่อมโยงกัน ดังนี้

– **การขยายงบดุล:** ธนาคารกลางจะมีสินทรัพย์เพิ่มพูนในงบดุลของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
– **เพิ่มสภาพคล่องในระบบ:** เงินที่จ่ายให้ผู้ขายสินทรัพย์จะไหลเข้าสู่ระบบธนาคาร ทำให้เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมหาศาล
– **กดดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำลง:** เมื่อซื้อพันธบัตรจำนวนมาก ราคาพันธบัตรจะถูกดันให้สูงขึ้น ส่งผลให้ผลตอบแทนหรืออัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดตัวลง
– **จุดมุ่งหมายหลัก:** เพื่อให้ธุรกิจและประชาชนกู้เงินได้สะดวกและถูกกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยจุดประกายให้เกิดการลงทุนและการใช้จ่ายมากขึ้น สร้างแรงผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัว

ภาพประกอบแสดงกลไกการผ่อนคลายเชิงปริมาณ: ธนาคารกลางซื้อพันธบัตรรัฐบาล ขยายงบดุล เพิ่มปริมาณเงิน และลดดอกเบี้ยระยะยาว

### ผลกระทบหลักของ QE

แม้ QE จะมีบทบาทช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ก็มาพร้อมผลข้างเคียงที่ต้องระวัง

– **ต่อตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์:** ด้วยสภาพคล่องที่ล้นหลามและดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนจึงหันไปหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก ส่งผลให้ราคาหุ้นและที่ดินพุ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เงินทุนไหลเวียนง่าย
– **เสี่ยงต่อเงินเฟ้อและฟองสบู่:** เงินในระบบที่มากเกินไปอาจจุดชนวนให้เกิดเงินเฟ้อ หรือสร้างฟองสบู่ในสินทรัพย์ หากราคาที่พุ่งไม่สอดคล้องกับมูลค่าจริง
– **ต่อค่าเงินบาท:** เมื่อเฟดหรือธนาคารกลางใหญ่ใช้ QE เงินทุนมักไหลเข้าตลาดเกิดใหม่อย่างไทย เพื่อไล่ล่าผลตอบแทนที่สูงกว่า สุดท้ายทำให้บาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจกระทบผู้ส่งออกที่สินค้าแพงขึ้นในสายตาลูกค้าต่างชาติ

## อะไรคือการตึงตัวเชิงปริมาณ (QT)?

### QT คืออะไร และมีที่มาอย่างไร?

QT หรือการตึงตัวเชิงปริมาณ เป็นนโยบายตรงข้ามกับ QE โดยตรง ซึ่งธนาคารกลางนำมาใช้เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแข็งแกร่งเกินไป หรือเงินเฟ้อพุ่งสูงจนน่ากังวล เป้าหมายหลักคือลดปริมาณเงินในระบบและดึงสภาพคล่องกลับ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบและนำเศรษฐกิจสู่สมดุลที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยมักเกิดขึ้นหลังจากช่วง QE ที่เงินถูกปล่อยออกมามากเกิน

### QT ทำงานอย่างไร?

วิธีการหลักของ QT คือการหดตัวของงบดุลธนาคารกลาง ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ

– **การลดขนาดงบดุล:** ธนาคารกลางอาจหยุดนำเงินจากพันธบัตรที่ครบกำหนดไปลงทุนใหม่ หรือขายสินทรัพย์บางส่วนที่ถือไว้
– **ลดปริมาณเงินในระบบ:** การไม่ลงทุนใหม่หรือขายสินทรัพย์จะดึงเงินออกจากระบบธนาคาร สร้างความตึงตัวในสภาพคล่อง
– **เพิ่มดอกเบี้ยระยะยาว:** เมื่อธนาคารกลางลดการซื้อพันธบัตร ความต้องการในตลาดจะลดลง ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น และดอกเบี้ยระยะยาวโดยรวมปรับตัวเพิ่ม
– **จุดมุ่งหมายหลัก:** เพื่อยกระดับต้นทุนการกู้ยืม ชะลอการลงทุนและบริโภคที่ร้อนแรงเกิน และช่วยระงับเงินเฟ้อไม่ให้ลุกลาม

ภาพประกอบแสดงกลไกการตึงตัวเชิงปริมาณ: ธนาคารกลางลดขนาดงบดุล ขายสินทรัพย์ ลดปริมาณเงิน และเพิ่มดอกเบี้ยระยะยาว

### ผลกระทบหลักของ QT

ผลจาก QT จะแตกต่างจาก QE อย่างสิ้นเชิง โดยมักสร้างความท้าทายมากกว่า

– **ต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้:** สภาพคล่องที่หดตัวและดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จะกดดันให้ราคาหุ้นและพันธบัตรปรับลดลง เนื่องจากเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสู่ที่ปลอดภัยกว่า
– **เสี่ยงเศรษฐกิจชะลอหรือถดถอย:** หากดึงสภาพคล่องออกเร็วเกิน เศรษฐกิจอาจสะดุดและเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ โดยเฉพาะถ้าการเติบโตยังเปราะบาง
– **ต่อค่าเงินบาท:** เมื่อเฟดใช้ QT เงินทุนจะไหลย้อนกลับสหรัฐเพื่อไล่ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้เงินไหลออกจากไทยและบาทอ่อนค่าลง ซึ่งช่วยผู้ส่งออกแต่เพิ่มภาระผู้นำเข้า
– จากการศึกษาของ IMF พบว่าการลดงบดุลธนาคารกลางสามารถกระทบอัตราดอกเบี้ยในตลาดเกิดใหม่อย่างมีนัยสำคัญ อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

### ชี้แจงความเข้าใจผิด: “QT” ไม่ใช่ “ใบเสนอราคา”

บางครั้งคำว่า QT ในแวดวงการเงินอาจทำให้สับสนกับ QT ที่หมายถึงใบเสนอราคาในธุรกิจ แต่ที่นี่เรากำลังพูดถึง Quantitative Tightening ซึ่งเป็นเครื่องมือควบคุมเศรษฐกิจของธนาคารกลางเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำใบเสนอราคาเชิงพาณิชย์เลย

## เปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง QE และ QT

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ตารางต่อไปนี้สรุปจุดต่างหลักๆ ระหว่าง QE กับ QT อย่างกระชับ

| คุณสมบัติ | Quantitative Easing (QE) | Quantitative Tightening (QT) |
| :—————- | :——————————————————- | :———————————————————- |
| **วัตถุประสงค์** | กระตุ้นเศรษฐกิจ, ลดภาวะเงินฝืด, ลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว | ชะลอเศรษฐกิจ, ควบคุม เงินเฟ้อ, เพิ่มอัตราดอกเบี้ยระยะยาว |
| **ทิศทางการดำเนินงาน** | ธนาคารกลางซื้อสินทรัพย์ (เช่น พันธบัตรรัฐบาล) เข้ามาในงบดุล | ธนาคารกลางลดการลงทุนใหม่ในพันธบัตร หรือขายสินทรัพย์ออกไป |
| **ผลต่องบดุล** | ขยายขนาดงบดุลของธนาคารกลาง (Balance Sheet Expansion) | ลดขนาดงบดุลของธนาคารกลาง (Balance Sheet Reduction) |
| **ผลต่อสภาพคล่อง** | เพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน (Increase Liquidity) | ลดสภาพคล่องในระบบการเงิน (Decrease Liquidity) |
| **ผลต่ออัตราดอกเบี้ย** | ลด อัตราดอกเบี้ย ระยะยาว | เพิ่ม อัตราดอกเบี้ย ระยะยาว |
| **ผลต่อเงินเฟ้อ** | อาจก่อให้เกิด เงินเฟ้อ หรือเงินเฟ้อในสินทรัพย์ | ช่วยควบคุม เงินเฟ้อ |
| **ผลต่อเศรษฐกิจ** | กระตุ้นการเติบโต, การลงทุน, การบริโภค | ชะลอการเติบโต, ลดการลงทุน, การบริโภค |
| **ปฏิกิริยา ตลาดการเงิน** | ตลาดหุ้น/อสังหาฯ มักปรับขึ้น, ค่าเงินอ่อนค่าลง (เงินไหลออก) | ตลาดหุ้น/อสังหาฯ อาจปรับลง, ค่าเงินแข็งค่าขึ้น (เงินไหลเข้า) |

## ผลกระทบของนโยบาย QE/QT ทั่วโลกต่อประเทศไทยโดยเฉพาะ

การตัดสินใจนโยบายการเงินจากประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะเฟด มีน้ำหนักมหาศาลต่อเศรษฐกิจ ตลาดทุน และระบบการเงินของไทย เนื่องจากไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดที่พึ่งพาการค้าและเงินทุนจากต่างชาติอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงแผ่วเบาไม่ได้

### ผลกระทบต่อค่าเงินบาท

– **ในช่วง QE:** สภาพคล่องโลกที่ล้นทำให้เงินทุนไหลสู่ตลาดเกิดใหม่ นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนสูง ส่งผลให้บาทแข็งค่าและกระทบผู้ส่งออกที่สินค้าแข่งขันยากขึ้น
– **ในช่วง QT:** ตรงกันข้าม สภาพคล่องถูกดึงกลับสหรัฐเพราะดอกเบี้ยสูง เงินทุนไหลออกจากไทย ทำให้บาทอ่อนค่า ซึ่งช่วยผู้ส่งออกแต่เพิ่มค่าผลิตภัณฑ์นำเข้า

### ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย (SET)

– **ในช่วง QE:** เงินทุนที่ไหลเข้าบวกกับดอกเบี้ยต่ำ ช่วยหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยพุ่งขึ้น บริษัทกู้เงินทุนถูก สร้างโอกาสลงทุนมากมาย
– **ในช่วง QT:** สภาพคล่องหดและดอกเบี้ยสูง กดดันให้หุ้นปรับตัวลง นักลงทุนหันไปสินทรัพย์ปลอดภัย สร้างความผันผวนในตลาด

### ผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดตราสารหนี้ไทย

– **ในช่วง QE:** ดอกเบี้ยต่ำจากเฟดอาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยคงดอกเบี้ยต่ำตาม ช่วยลดต้นทุนสินเชื่อบ้านและธุรกิจ ส่งเสริมตลาดอสังหาฯ และตราสารหนี้ให้คึกคัก
– **ในช่วง QT:** เฟดขึ้นดอกเบี้ยและ QT จะกดดันให้ BOT ต้องปรับขึ้นตาม เพื่อป้องกันเงินทุนไหลออกและควบคุมเงินเฟ้อ สุดท้ายต้นทุนสินเชื่อสูงขึ้น ตลาดอสังหาฯ และตราสารหนี้ชะลอตัว

### ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) มีกลยุทธ์รับมืออย่างไร?

BOT จึงต้องเฝ้าติดตามนโยบาย QE/QT ของเฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับนโยบายให้เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจไทย เช่น เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือใช้เครื่องมืออื่นๆ รักษาเสถียรภาพโดยรวม โดยพิจารณาจากปัจจัยภายในอย่างการเติบโตและเงินเฟ้อในประเทศด้วย

### ความท้าทายและโอกาสสำหรับภาคการส่งออกและท่องเที่ยวของไทย

– **บาทแข็งใน QE:** สินค้าส่งออกแพงขึ้น ลดขีดความสามารถแข่งขัน แต่ช่วยให้นำเข้าถูกกว่า เอื้อต่ออุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบต่างชาติ
– **บาทอ่อนใน QT:** สินค้าส่งออกถูกลง ดึงดูดลูกค้าต่างชาติมากขึ้น และช่วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่นักเดินทางรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในไทยถูกลง สร้างรายได้จากค่าเงินต่างประเทศได้มากกว่า

## นักลงทุนไทยในภาวะ QE/QT ควรปรับกลยุทธ์อย่างไร?

การทำความเข้าใจวัฏจักร QE และ QT จะช่วยให้นักลงทุนไทยวางแผนได้ดีขึ้น ปกป้องพอร์ตและหาโอกาสเพิ่มผลตอบแทน โดยปรับตามสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป

– **ในภาวะ QE (สภาพคล่องสูง ดอกเบี้ยต่ำ):**
– **หุ้นเติบโต:** บริษัทที่มีศักยภาพขยายตัวสูงจะได้ประโยชน์จากเงินทุนที่ไหลเวียนง่าย เช่น ภาคเทคโนโลยีหรือค้าปลีกที่เติบโตเร็ว
– **หุ้นปันผลสูง:** เมื่อดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ หุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอจะดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการรายได้คงที่
– **อสังหาริมทรัพย์:** การกู้ยืมง่ายและถูกช่วยให้ราคาที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ปรับขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่
– **สินทรัพย์ทางเลือก:** ทองคำหรือคริปโตบางตัวอาจเป็นที่นิยม เมื่อนักลงทุนมองหาวิธีเก็บมูลค่าท่ามกลางเงินเฟ้อที่อาจเกิด

– **ในภาวะ QT (สภาพคล่องลด ดอกเบี้ยสูง):**
– **หุ้นคุณค่า:** บริษัทพื้นฐานดีแต่ราคาต่ำกว่ามูลจริง จะทนทานต่อความผันผวนได้ดีกว่า
– **หุ้นกลุ่มป้องกัน:** เช่น สาธารณูปโภคหรือสินค้าจำเป็นพื้นฐาน ที่รายได้มั่นคงไม่ขึ้นกับเศรษฐกิจรอบด้าน
– **สินทรัพย์รายได้คงที่:** พันธบัตรหรือหุ้นกู้เกรดดี กลับมาน่าสนใจเพราะดอกเบี้ยสูงให้ผลตอบแทนดี
– **ทองคำ:** ยังคงเป็นที่พึ่งในยามตลาดสั่นคลอนหรือเงินเฟ้อพุ่ง โดยเฉพาะเมื่อเงินทุนหดตัว

ที่สำคัญคือต้องกระจายความเสี่ยงให้กว้างและบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยปรับพอร์ตตามสถานการณ์เศรษฐกิจ และติดตามข่าวจาก BOT กับธนาคารกลางหลักๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตัดสินใจได้ทันท่วงที

จากการวิเคราะห์ของ World Bank ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินจากเศรษฐกิจหลัก ส่งผลโดยตรงต่อกระแสเงินทุนและการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ ความรู้เช่นนี้จะช่วยให้นักลงทุนไทยตัดสินใจได้อย่างมีกลยุทธ์

## สรุป: ทำความเข้าใจ QE/QT เพื่อคว้าโอกาสการลงทุนในไทย

QE และ QT คือสองเครื่องมือหลักในคลังแสงนโยบายการเงินสมัยใหม่ ที่ธนาคารกลางใช้จัดการเศรษฐกิจให้สมดุล QE ช่วยจุดประกายการเติบโตในช่วงอ่อนแอ ขณะที่ QT ควบคุมความร้อนแรงและเงินเฟ้อที่เกินควบคุม

สำหรับนักลงทุนไทย การรู้จัก QE/QT ไม่ใช่แค่ความรู้เศรษฐศาสตร์ แต่เป็นกุญแจสู่การลงทุนที่ชาญฉลาด ไม่ว่าจะในตลาดหุ้น ค่าเงินบาท หรืออสังหาริมทรัพย์ การเฝ้าติดตามเฟดและ BOT อย่างใกล้ชิด บวกกับการปรับพอร์ตให้ยืดหยุ่น จะช่วยรับมือความผันผวนและคว้าโอกาสในทุกช่วงเศรษฐกิจได้อย่างมั่นใจ

Table of Contents

QT คือ ย่อมาจากอะไร?มันเกี่ยวข้องกับนโยบายการเงินอย่างไร?

QT ย่อมาจาก “Quantitative Tightening” ซึ่งเป็นการตึงตัวเชิงปริมาณ เป็นนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางใช้เพื่อลดปริมาณเงินในระบบและดึงสภาพคล่องกลับออกจากตลาด โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น

Qe คืออะไร และมันส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพในประเทศไทยอย่างไรบ้าง?

QE ย่อมาจาก “Quantitative Easing” หรือการผ่อนคลายเชิงปริมาณ เป็นนโยบายที่ธนาคารกลางใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเพิ่มสภาพคล่องในระบบ การทำ QE อาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการในประเทศไทยสูงขึ้น ทำให้ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นได้

QT Fed คืออะไร?ทำไมการตัดสินใจของ Fed เกี่ยวกับ QT จึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย?

QT Fed หมายถึงการตึงตัวเชิงปริมาณที่ดำเนินการโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) การตัดสินใจของ Fed มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เพราะสหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อการไหลของเงินทุนทั่วโลก เมื่อ Fed ทำ QT อาจทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศไทย ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า ตลาดหุ้นไทยผันผวน และอัตราดอกเบี้ยในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น

Quantitative Tightening คืออะไร?มันจะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านในประเทศไทยอย่างไร?

Quantitative Tightening คือการที่ธนาคารกลางลดขนาดงบดุลและดึงสภาพคล่องออกจากระบบ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตาม ทำให้ต้นทุนของสินเชื่อบ้านในประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

Quantitative Easing คืออะไร?มันจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นหรือไม่?

Quantitative Easing คือการที่ธนาคารกลางเพิ่มสภาพคล่องในระบบและลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว ซึ่งมักจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น เมื่อมีสภาพคล่องสูงและอัตราดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนมักจะโยกย้ายเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้

ในบริบทของ QT คือ การเงิน นักลงทุนไทยควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร?

ในภาวะ QT ที่สภาพคล่องลดลงและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น นักลงทุนไทยควรพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ที่มีความยืดหยุ่น เช่น

  • หุ้นคุณค่า (Value Stocks) หรือ หุ้นกลุ่ม Defensive
  • สินทรัพย์ที่มีรายได้คงที่ (Fixed Income) เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้คุณภาพดี
  • ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน

นอกจากนี้ ควรเน้นการกระจายความเสี่ยงและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) มีโอกาสจะใช้มาตรการ QE หรือ QT หรือไม่?

ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) มีเครื่องมือและนโยบายการเงินของตนเองเพื่อดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย ในอดีต BOT ไม่ได้ใช้มาตรการ QE หรือ QT ในรูปแบบเดียวกับ Fed อย่างชัดเจนนัก แต่ก็มีการบริหารจัดการสภาพคล่องในระบบผ่านเครื่องมืออื่นๆ อย่างไรก็ตาม หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรง BOT ก็อาจพิจารณาเครื่องมือที่เหมาะสม รวมถึงมาตรการที่คล้ายคลึงกับ QE หรือ QT เพื่อรักษาเสถียรภาพ

อะไรคือ “QT” ในใบเสนอราคา?มันเกี่ยวข้องกับนโยบายการเงิน QT หรือไม่?

“QT” ในใบเสนอราคา มักย่อมาจาก “Quantity” หรือ “Quantity Total” ซึ่งหมายถึงปริมาณหรือจำนวนรวมของสินค้า/บริการที่เสนอราคา ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ “Quantitative Tightening” ซึ่งเป็นนโยบายการเงินของธนาคารกลาง เป็นคนละคำกันโดยสิ้นเชิง

QE และ QT มีผลกระทบต่อค่าเงินบาทและภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างไรบ้าง?

ในภาวะ QE เงินทุนมักไหลเข้าไทย ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลเสียต่อภาคการท่องเที่ยวที่รายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ

ในภาวะ QT เงินทุนมักไหลออกจากไทย ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งอาจส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยว โดยทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในไทยถูกลง

ในภาวะ QE/QT นักลงทุนไทยควรให้ความสนใจกับการลงทุนประเภทใดเป็นพิเศษ?

ในภาวะ QE ควรสนใจ: หุ้นเติบโต, หุ้นปันผลสูง, อสังหาริมทรัพย์

ในภาวะ QT ควรสนใจ: หุ้นคุณค่า, หุ้นกลุ่ม Defensive, สินทรัพย์ที่มีรายได้คงที่, ทองคำ

สิ่งสำคัญคือการกระจายความเสี่ยงและพิจารณาตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *