กราฟ DXY: เข็มทิศค่าเงินดอลลาร์และอิทธิพลต่อตลาดโลกที่นักลงทุนต้องรู้ 2025

Table of Contents

แกะรอยดัชนี DXY: เข็มทิศค่าเงินดอลลาร์และอิทธิพลต่อตลาดโลกที่นักลงทุนต้องรู้

สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน! ในโลกของการลงทุนและการเทรดค่าเงิน มีเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่เปรียบเสมือนเข็มทิศสำคัญในการทำความเข้าใจทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสกุลเงินหลักของโลก เครื่องมือนั้นก็คือ **ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ** หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า **DXY** นั่นเองครับ

ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกทำความรู้จักกับ DXY กันอย่างละเอียด ตั้งแต่ว่ามันคืออะไร มีองค์ประกอบอย่างไร ไปจนถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของมัน และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะมาดูกันว่าความรู้เรื่อง DXY นี้ จะช่วยให้คุณเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่เก่งขึ้นได้อย่างไรบ้าง พร้อมแล้วหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มต้นการเดินทางสำรวจโลกของ DXY ไปพร้อมๆ กันเลย

DXY คืออะไร? ทำความเข้าใจองค์ประกอบและการคำนวณ

**ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (U.S. Dollar Index หรือ DXY)** เป็นมาตรวัดที่สะท้อน **ความแข็งแกร่งโดยรวมของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ** เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มของสกุลเงินหลักอื่นๆ ของโลก คิดค้นโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ในปี 1973 หลังจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัวตามข้อตกลงเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Agreement) สิ้นสุดลง

จริงๆ แล้ว DXY เป็นดัชนีแบบถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average) ซึ่งหมายความว่า เงินดอลลาร์ไม่ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับสกุลเงินทุกสกุลเท่าๆ กัน แต่จะถูกเปรียบเทียบกับสกุลเงิน 6 สกุลหลักที่มีความสำคัญทางการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด และแต่ละสกุลเงินจะมีน้ำหนักในการคำนวณที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณการค้าของประเทศนั้นๆ กับสหรัฐฯ ครับ

สกุลเงินทั้ง 6 สกุลที่อยู่ในตะกร้าของ DXY และน้ำหนักการคำนวณ มีดังนี้:

  • ยูโร (EUR) มีน้ำหนักมากที่สุดถึง 57.6%
  • เยนญี่ปุ่น (JPY) มีน้ำหนัก 13.6%
  • ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) มีน้ำหนัก 11.9%
  • ดอลลาร์แคนาดา (CAD) มีน้ำหนัก 9.1%
  • โครนาสวีเดน (SEK) มีน้ำหนัก 4.2%
  • ฟรังก์สวิส (CHF) มีน้ำหนัก 3.6%

คุณจะเห็นได้ว่า สกุลเงินยูโรมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของ DXY สูงมาก เนื่องจากมีน้ำหนักเกือบ 60% นั่นหมายความว่า หากเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ โดยปัจจัยอื่นๆ คงที่ DXY ก็มักจะอ่อนค่าลง และในทางกลับกัน หากเงินยูโรอ่อนค่า DXY ก็มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น ส่วนสกุลเงินอื่นๆ ก็มีผลเช่นกัน แต่ในสัดส่วนที่น้อยกว่า

การคำนวณ DXY ใช้สูตรเฉพาะที่ซับซ้อนเล็กน้อย โดยมีการกำหนดค่าฐานเริ่มต้นที่ 100 ในปี 1973 ดังนั้น ค่า DXY ที่สูงกว่า 100 แสดงว่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าฐานในปีนั้น และค่าที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าฐานครับ

ฉากการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินที่แสดงดัชนี DXY

บทบาทของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต่อทิศทาง DXY: ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก

หากจะพูดถึงปัจจัยที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี DXY เราคงหนีไม่พ้น **ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Federal Reserve)** ครับ การตัดสินใจและท่าทีเกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด มีผลกระทบโดยตรงต่อความน่าสนใจและความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในเวทีโลก

กลไกหลักที่เฟดใช้ในการขับเคลื่อนค่าเงินดอลลาร์ คือ **อัตราดอกเบี้ย** โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) เมื่อเฟดตัดสินใจ **ขึ้นอัตราดอกเบี้ย** นั่นหมายความว่า การถือครองสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นดอลลาร์ (เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เงินฝาก) จะให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งจะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศให้ไหลเข้าสู่สหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ทำให้ความต้องการเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ **เงินดอลลาร์แข็งค่า** และดันให้ DXY ปรับตัวสูงขึ้น

ในทางกลับกัน หากเฟดตัดสินใจ **ลดอัตราดอกเบี้ย** เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การถือครองสินทรัพย์ดอลลาร์จะให้ผลตอบแทนลดลง ความน่าสนใจของเงินดอลลาร์ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติก็จะลดลง เงินทุนมีแนวโน้มไหลออก หรือไหลเข้าช้าลง ทำให้ความต้องการเงินดอลลาร์ลดลง ส่งผลให้ **เงินดอลลาร์อ่อนค่า** และ DXY ปรับตัวลดลงครับ

นอกจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว ท่าที (Stance) และการส่งสัญญาณ (Forward Guidance) ของเฟด ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ DXY ครับ การประชุมของ **คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC – Federal Open Market Committee)** เป็นเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาดู เพราะถ้อยแถลงของประธานเฟดและสมาชิก FOMC จะบอกใบ้ถึงทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต หากตลาดตีความว่าเฟดกำลังจะมีท่าที Hawkish (เน้นการคุมเข้มทางการเงิน ต่อสู้เงินเฟ้อ) DXY ก็มีแนวโน้มแข็งค่าล่วงหน้า ในขณะที่ท่าที Dovish (เน้นการผ่อนคลายทางการเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจ) มักจะส่งผลให้ DXY อ่อนค่าลง

เครื่องมืออื่นๆ ของเฟด เช่น การดำเนินนโยบายการเงินเชิงปริมาณ (Quantitative Easing – QE หรือ Quantitative Tightening – QT) หรือที่เรียกว่าการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ (พิมพ์เงินซื้อพันธบัตร) หรือการดูดสภาพคล่องออกจากระบบ ก็มีผลต่อสภาพคล่องของเงินดอลลาร์ในตลาดโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และ DXY เช่นกัน นโยบาย QE มักทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า (มีปริมาณในระบบมาก) ในขณะที่ QT มักทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่า (ปริมาณในระบบลดลง) ครับ

นักลงทุนกำลังวิเคราะห์แนวโน้ม DXY ด้วยกราฟและแผนภูมิ

ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตัวขับเคลื่อนสำคัญต่อความคาดหวังของเฟด

ความคาดหวังต่อนโยบายของเฟดไม่ได้มาจากคำพูดของเจ้าหน้าที่เฟดเท่านั้น แต่ส่วนสำคัญมาจาก **ข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆ ของสหรัฐฯ** ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของเศรษฐกิจอเมริกา หากเศรษฐกิจแข็งแกร่ง มีแนวโน้มเติบโตดี อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่น่ากังวล เฟดก็มีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อป้องกันภาวะเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป หรือควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจะหนุนให้ DXY แข็งค่าขึ้น

ในทางกลับกัน หากข้อมูลเศรษฐกิจออกมาอ่อนแอ สะท้อนภาวะชะลอตัว เฟดก็มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะกดดันให้ DXY อ่อนค่าลง

ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่คุณควรจับตาดู เพราะมีผลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของ DXY มีดังนี้ครับ:

  • **ตัวเลขเงินเฟ้อ:** โดยเฉพาะดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE – Personal Consumption Expenditures) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญมากที่สุด และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI – Consumer Price Index) ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด มักจะเพิ่มความกังวลว่าเฟดจะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้ DXY แข็งค่าขึ้น
  • **ตลาดแรงงาน:** ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP – Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และข้อมูลค่าจ้าง (Wage Growth) ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง สะท้อนว่าเศรษฐกิจเติบโตดี ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดคุมเข้มทางการเงิน ส่งผลดีต่อ DXY
  • **ข้อมูลภาคการผลิตและบริการ:** เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI – Purchasing Managers’ Index) หรือดัชนี ISM (Institute for Supply Management) ซึ่งสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคส่วนสำคัญของสหรัฐฯ ตัวเลขที่แข็งแกร่งมักบ่งชี้ถึงการเติบโตที่ดี และเป็นบวกต่อ DXY
  • **ยอดค้าปลีก (Retail Sales):** เป็นตัวชี้วัดการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยอดค้าปลีกที่เติบโตดี สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
  • **ความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence):** มาตรวัดทัศนคติของผู้บริโภคต่อสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันและอนาคต ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจใช้จ่าย

การวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ดูตัวเลขว่าดีหรือแย่ แต่ต้องดูว่าตัวเลขที่ออกมานั้น **สูงกว่าหรือต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้** และ **ตีความว่าข้อมูลนั้นจะส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟดอย่างไร** ครับ นี่คือจุดสำคัญที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ

นี่คือข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเพื่อการวิเคราะห์ DXY:

ข้อมูลเศรษฐกิจ คำอธิบาย
ตัวเลขเงินเฟ้อ วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าในช่วงเวลา และส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟด
ตลาดแรงงาน สะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจจากการจ้างงานและการเติบโตของค่าจ้าง
ข้อมูลภาคผลิตและบริการ แสดงถึงกิจกรรมเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ
ยอดค้าปลีก บอกความมั่นใจของผู้บริโภคที่จะใช้จ่าย
ความเชื่อมั่นผู้บริโภค วัดทัศนคติของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจ

ผลกระทบจากนโยบายการค้าและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์

นอกเหนือจากนโยบายการเงินและข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศแล้ว ดัชนี DXY ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น **นโยบายการค้า** และ **เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์** ด้วยครับ

ประเด็นด้านนโยบายการค้า เช่น สงครามการค้า การขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างประเทศ สามารถสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ได้ครับ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ในช่วงที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินนโยบายการค้าที่เข้มงวด มีการขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน หรือ สหภาพยุโรป ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นนี้ มักจะทำให้นักลงทุนมองหา **สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Assets)** เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และในหลายกรณี **เงินดอลลาร์สหรัฐฯ** ก็ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยที่สำคัญของโลก

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เกิดความตึงเครียดทางการค้า หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มักจะแข็งค่าขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และดันให้ DXY ปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้ว่าความขัดแย้งทางการค้านั้นอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองในระยะยาว แต่ในระยะสั้น ความต้องการถือเงินดอลลาร์เพื่อความปลอดภัยก็มักจะเข้ามาเป็นปัจจัยหลัก

เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์สำคัญๆ ของโลก เช่น สงคราม การก่อการร้าย การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศสำคัญๆ หรือแม้แต่การแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่ ก็สามารถส่งผลกระทบต่อ DXY ได้เช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้มักสร้างความไม่แน่นอนและความกังวลในตลาดการเงิน ทำให้นักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่าอย่างเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ DXY มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว

ภาพแนวคิดของสกุลเงินดอลลาร์ทั่วโลกพร้อมสัญลักษณ์ DXY

นอกจากนี้ นโยบายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีสกุลเงินอยู่ในตะกร้า DXY (เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร) ก็มีผลต่อ DXY โดยอ้อมเช่นกันครับ ตัวอย่างเช่น หากเศรษฐกิจยุโรปอ่อนแอ หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB) ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน เงินยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ และเนื่องจากยูโรมีน้ำหนักสูงในตะกร้า DXY การอ่อนค่าของยูโรก็จะส่งผลให้ DXY แข็งค่าขึ้นได้ครับ

DXY และความสัมพันธ์กับตลาดสินทรัพย์อื่นๆ: โอกาสและความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกัน

การเคลื่อนไหวของดัชนี DXY ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาดค่าเงินเท่านั้น แต่ยังมีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์อื่นๆ ทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจความสัมพันธ์เหล่านี้ ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของตลาด และวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หนึ่งในความสัมพันธ์ที่สำคัญและถูกพูดถึงบ่อยที่สุด คือความสัมพันธ์ระหว่าง **DXY กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักๆ** โดยเฉพาะ **ทองคำ** และ **น้ำมัน** สินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกซื้อขายในตลาดโลกด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ครับ

ความสัมพันธ์โดยทั่วไปมักเป็นแบบ **ผกผัน (Inverse Relationship)** กล่าวคือ:

  • เมื่อ **DXY แข็งค่า** ขึ้น นั่นหมายความว่าต้องใช้เงินสกุลอื่นจำนวนมากขึ้นเพื่อซื้อเงินดอลลาร์ ในมุมของผู้ที่ถือเงินสกุลอื่น การซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตั้งราคาเป็นดอลลาร์ก็จะแพงขึ้น ทำให้ความต้องการซื้อลดลง **ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จึงมีแนวโน้มลดลง** (โดยเฉพาะ ทองคำ และ น้ำมัน)
  • ในทางกลับกัน เมื่อ **DXY อ่อนค่า** ลง การซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตั้งราคาเป็นดอลลาร์ก็จะถูกลงสำหรับผู้ที่ถือเงินสกุลอื่น ทำให้ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น **ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จึงมีแนวโน้มสูงขึ้น**

นอกจากสินค้าโภคภัณฑ์แล้ว DXY ยังมีความสัมพันธ์กับ **ตลาดหุ้น** ในหลายกรณีด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ ที่มีรายได้หลักมาจากต่างประเทศ เนื่องจากรายได้ที่แปลงกลับมาเป็นดอลลาร์จะมีค่าน้อยลง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอาจทำให้สินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ดูน่าสนใจน้อยลงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเหล่านี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้เช่นกัน ดังนั้น เรามักจะเห็นว่าในช่วงที่ DXY แข็งค่ามากๆ ตลาดหุ้นอาจเผชิญแรงกดดันได้ครับ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้มีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับบริบททางเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

และแน่นอนว่า DXY มีผลโดยตรงต่อ **ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (Forex Market)** การเคลื่อนไหวของ DXY สะท้อนความแข็งแกร่งโดยรวมของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินในตะกร้า นั่นหมายความว่า หาก DXY แข็งค่าขึ้น คู่สกุลเงินที่มีเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินอ้างอิง (เช่น EUR/USD, GBP/USD, AUD/USD) มักจะปรับตัวลง ในขณะที่คู่สกุลเงินที่มีเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลัก (เช่น USD/JPY, USD/CAD, USD/CHF) มักจะปรับตัวขึ้น การวิเคราะห์ DXY จึงเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ในตลาด Forex ครับ

หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือสำรวจผลิตภัณฑ์สัญญาซื้อขายส่วนต่างเพิ่มเติม Moneta Markets เป็นแพลตฟอร์มที่น่าพิจารณา มันมาจากออสเตรเลีย มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เลือกมากกว่า 1,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือเทรดเดอร์มืออาชีพก็สามารถค้นหาทางเลือกที่เหมาะสมได้ครับ

การวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับ DXY: มองหาแนวโน้มจากกราฟ

เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ ดัชนี DXY ก็สามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย **การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)** ได้ครับ นักวิเคราะห์และเทรดเดอร์จำนวนมากใช้กราฟราคาของ DXY เพื่อศึกษาพฤติกรรมราคาในอดีต และคาดการณ์แนวโน้มการเคลื่อนไหวในอนาคต

เครื่องมือและแนวคิดทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ DXY ก็เหมือนกับที่ใช้กับคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น:

  • **การระบุแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Levels):** ระดับราคาที่มักจะมีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามามาก ทำให้ราคาหยุดชะงักหรือกลับตัว แนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่งของ DXY สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนในตลาดค่าเงินอื่นๆ ได้
  • **การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ (Chart Patterns):** เช่น Head and Shoulders, Double Tops/Bottoms, Triangles เพื่อหาเบาะแสของทิศทางราคาที่เป็นไปได้
  • **การใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators):** เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) ที่ช่วยระบุแนวโน้ม, RSI (Relative Strength Index) ที่วัดภาวะซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป, MACD (Moving Average Convergence Divergence) ที่ช่วยระบุโมเมนตัม
  • **การวิเคราะห์ตามทฤษฎีคลื่นเอลเลียต (Elliott Wave Theory) หรือ Fibonacci Retracement:** สำหรับนักวิเคราะห์ที่ใช้เครื่องมือขั้นสูงเพื่อหาเป้าหมายราคาที่เป็นไปได้

การวิเคราะห์ทางเทคนิคของ DXY มักจะทำควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ตัวอย่างเช่น หากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานบ่งชี้ว่าเฟดมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อ DXY การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็อาจช่วยระบุจุดเข้าซื้อหรือเป้าหมายราคาที่เป็นไปได้ โดยพิจารณาจากแนวรับ/แนวต้าน หรือรูปแบบกราฟที่กำลังก่อตัวขึ้น

การวิเคราะห์กราฟ DXY สามารถทำได้บนแพลตฟอร์มการเทรดต่างๆ เช่น MT4, MT5, หรือแพลตฟอร์มเฉพาะของโบรกเกอร์บางแห่ง การติดตามกราฟ DXY แบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณเห็นภาพการเคลื่อนไหวของดอลลาร์ได้ทันท่วงที และนำไปปรับใช้กับการตัดสินใจเทรดคู่สกุลเงินที่คุณสนใจ

การคำนวณดัชนี DXY ในเชิงลึก: สัดส่วนน้ำหนักที่สำคัญ

เราได้พูดถึงองค์ประกอบของตะกร้าสกุลเงินในดัชนี DXY ไปแล้ว แต่การทำความเข้าใจวิธีการคำนวณอย่างละเอียดจะช่วยให้เราเห็นภาพว่า ทำไมสกุลเงินยูโรถึงมีอิทธิพลสูงมาก และทำไมการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์จึงมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตัวดัชนีโดยรวม

สูตรการคำนวณ DXY ไม่ใช่เพียงแค่การนำอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันของเงินดอลลาร์เทียบกับแต่ละสกุลเงินในตะกร้ามาหาค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักโดยตรง แต่เป็นการคำนวณแบบดัชนีเรขาคณิต (Geometric Mean) และมีการใช้ค่าคงที่ (Constants) ที่สะท้อนน้ำหนักและความสัมพันธ์ในอดีต สูตรมาตรฐานที่ใช้โดย ICE Futures U.S. (ตลาดที่มีการซื้อขายสัญญา DXY Futures) คือ:

USDX = 50.14348112 × EURUSD^-0.576 × USDJPY^0.136 × GBPUSD^-0.119 × USDCAD^0.091 × USDSEK^0.042 × USDCHF^0.036

จากสูตรนี้ คุณจะสังเกตเห็นว่า:

  • ค่าคงที่ 50.14348112 เป็นตัวปรับให้ค่าฐานในปี 1973 เท่ากับ 100
  • สำหรับ EUR, GBP, CHF (สกุลเงินที่มักแสดงในรูป USD ต่อ 1 หน่วยสกุลเงินอื่น เช่น EUR/USD) จะอยู่ในรูปแบบ **USD/สกุลเงิน** โดยใช้เลขยกกำลังติดลบ (ยกกำลังด้วยน้ำหนักของมัน แต่เป็นค่าลบ) ซึ่งหมายความว่า เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD สูงขึ้น (เงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์) ตัวเลขที่ยกกำลังด้วยค่าลบจะน้อยลง ทำให้ค่า USDX โดยรวมลดลง (ดอลลาร์อ่อนค่า) เป็นไปตามความสัมพันธ์ผกผันที่เราทราบ
  • สำหรับ JPY, CAD, SEK (สกุลเงินที่มักแสดงในรูป สกุลเงินอื่น ต่อ 1 หน่วยดอลลาร์ เช่น USD/JPY) จะอยู่ในรูปแบบ **USD/สกุลเงิน** โดยใช้เลขยกกำลังเป็นค่าบวก ซึ่งหมายความว่า เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน USD/JPY สูงขึ้น (เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเยน) ตัวเลขที่ยกกำลังด้วยค่าบวกจะมากขึ้น ทำให้ค่า USDX โดยรวมเพิ่มขึ้น (ดอลลาร์แข็งค่า) เป็นไปตามความสัมพันธ์โดยตรง

การใช้น้ำหนักคงที่ที่กำหนดในปี 1973 (และมีการปรับปรุงบ้างในอดีต แต่โครงสร้างหลักยังคงเดิม) และสูตรแบบดัชนีเรขาคณิตนี้ ทำให้ DXY สะท้อนความแข็งแกร่งของดอลลาร์ในกรอบที่ค่อนข้างคงที่ตามเวลา ทำให้เปรียบเทียบค่าเงินดอลลาร์ในช่วงเวลาต่างๆ ได้สะดวก

อย่างไรก็ตาม การที่น้ำหนักของสกุลเงินในตะกร้ายังคงอิงกับรูปแบบการค้าในอดีต อาจทำให้ DXY ไม่ได้สะท้อนภาพรวมความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ กับทั่วโลกในปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ **เงินหยวนจีน (CNY)** ซึ่งปัจจุบันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้าโลกและสหรัฐฯ **ไม่ได้อยู่ในตะกร้าการคำนวณของ DXY** ถือเป็นข้อจำกัดสำคัญที่นักลงทุนควรตระหนักถึงครับ

ประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของ DXY และบริบททางเศรษฐกิจ

การศึกษาประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของดัชนี DXY สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพลวัตของค่าเงินดอลลาร์และเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในอดีตได้ครับ นับตั้งแต่มีการก่อตั้งในปี 1973 DXY มีการเคลื่อนไหวเป็นรอบๆ สะท้อนวัฏจักรเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และเหตุการณ์โลกต่างๆ

ตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อ DXY:

  • **ช่วงทศวรรษ 1980:** DXY แข็งค่าขึ้นอย่างมากในช่วงต้นทศวรรษ เนื่องจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟดภายใต้การนำของ Paul Volcker เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อระดับสูง ต่อมาในปี 1985 ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ลงนามในข้อตกลง **Plaza Accord** ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างเป็นระเบียบ เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ DXY ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • **ช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 (GFC):** แม้วิกฤตจะเริ่มต้นในสหรัฐฯ แต่ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยทั่วโลกกลับทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นชั่วคราวในช่วงที่วิกฤตรุนแรงที่สุด ก่อนที่จะอ่อนค่าลงตามนโยบาย QE ของเฟด
  • **ช่วงหลัง QE และการฟื้นตัว:** DXY เริ่มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา เมื่อเฟดส่งสัญญาณและเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ธนาคารกลางอื่นยังคงใช้นโยบายผ่อนคลาย
  • **ช่วงการแพร่ระบาด COVID-19:** ในช่วงแรกของการระบาด ความตื่นตระหนกในตลาดโลกทำให้ความต้องการเงินดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยพุ่งสูงขึ้น ดันให้ DXY แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เฟดจะดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินครั้งใหญ่ (ลดดอกเบี้ยลงสู่ศูนย์ และทำ QE ขนาดใหญ่) ซึ่งทำให้ DXY อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2020
  • **ช่วงเงินเฟ้อสูงและเฟดขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง (2021-2022):** เมื่อเงินเฟ้อในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นมาก เฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ (ส่วนใหญ่ยังขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่า) ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมหาศาล และ DXY พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 20 ปี ในช่วงปลายปี 2022

การศึกษาประวัติศาสตร์เหล่านี้ ช่วยให้เราเห็นว่า DXY มักจะเป็นกระจกสะท้อนเหตุการณ์สำคัญทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก และการทำความเข้าใจบริบททางเศรษฐกิจที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของ DXY จะช่วยให้เราคาดการณ์ทิศทางในอนาคตได้ดีขึ้น

DXY ในฐานะตัวชี้วัดสภาพคล่องโลก

นอกเหนือจากการเป็นมาตรวัดความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์แล้ว ดัชนี DXY ยังสามารถถูกมองในอีกมุมหนึ่ง คือการเป็น **ตัวชี้วัดสภาพคล่องของเงินดอลลาร์ในระบบการเงินโลก** หรือที่เรียกว่า **Global Dollar Liquidity** ครับ

เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศหลักของโลก และถูกใช้ในการทำธุรกรรมทางการค้าและการเงินระหว่างประเทศจำนวนมหาศาล การที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น (DXY สูงขึ้น) อาจสะท้อนถึง **ความตึงตัวของสภาพคล่องเงินดอลลาร์** ในระบบได้

เมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น การกู้ยืมเงินดอลลาร์สำหรับผู้ที่อยู่นอกสหรัฐฯ (เช่น ธนาคาร บริษัท หรือรัฐบาลในต่างประเทศ) จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น (ต้องใช้เงินสกุลท้องถิ่นมากขึ้นเพื่อแลกเงินดอลลาร์เพื่อชำระหนี้) ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกได้

ในทางกลับกัน เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (DXY ต่ำลง) สภาพคล่องของเงินดอลลาร์ในระบบการเงินโลกมักจะเพิ่มขึ้น การกู้ยืมเงินดอลลาร์มีต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งมักจะเป็นผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การลงทุน และราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

ดังนั้น นักลงทุนบางส่วนจึงใช้ DXY เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดในการประเมินสภาพแวดล้อมของตลาดการเงินโลก โดยหาก DXY มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความตึงเครียดด้านสภาพคล่องและความเสี่ยงในตลาด ในขณะที่ DXY ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า มักจะสนับสนุนภาวะ Risk-On (นักลงทุนกล้าเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง) ครับ

ในฐานะนักลงทุน การติดตาม DXY ควบคู่ไปกับตัวชี้วัดสภาพคล่องอื่นๆ เช่น TED Spread หรือ Cross-Currency Basis Swaps สามารถช่วยให้เราเข้าใจสภาวะการเงินโลกได้ดียิ่งขึ้น และเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตการลงทุนของเรา

ข้อจำกัดของดัชนี DXY ที่นักลงทุนควรทราบ

แม้ว่า DXY จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการประเมินความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ แต่ก็มี **ข้อจำกัดบางประการ** ที่นักลงทุนควรตระหนักถึง เพื่อไม่ให้ตีความผลจาก DXY เพียงอย่างเดียวโดยมองข้ามปัจจัยอื่นๆ ครับ

ข้อจำกัดหลักๆ ของ DXY ได้แก่:

  • **ความล้าสมัยของสัดส่วนน้ำหนัก:** ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วว่า น้ำหนักของสกุลเงินในตะกร้า DXY อิงกับรูปแบบการค้าเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งอาจไม่สะท้อนความสำคัญทางการค้าและการเงินของประเทศคู่ค้าสำคัญบางประเทศในปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การที่เงินหยวนจีน (CNY) ไม่อยู่ในตะกร้า
  • **การมีน้ำหนักของ EUR มากเกินไป:** การที่ยูโรมีน้ำหนักเกือบ 60% หมายความว่า การเคลื่อนไหวของ DXY ส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ระหว่างเงินดอลลาร์กับเงินยูโร ซึ่งอาจบดบังการเคลื่อนไหวที่สำคัญของเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า
  • **ไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินทั้งหมดในโลก:** DXY เปรียบเทียบดอลลาร์กับสกุลเงินหลักเพียง 6 สกุลเท่านั้น ซึ่งมีจำนวนจำกัด สกุลเงินอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในตะกร้า (เช่น เงินบาทไทย ดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์นิวซีแลนด์ สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่) อาจมีการเคลื่อนไหวเมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่แตกต่างออกไปจากที่ DXY แสดง

ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ นักลงทุนบางส่วนจึงอาจเลือกใช้ดัชนีวัดค่าเงินดอลลาร์อื่นๆ ที่มีวิธีการคำนวณหรือองค์ประกอบของตะกร้าสกุลเงินที่แตกต่างออกไป เช่น **Broad U.S. Dollar Index** ที่จัดทำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ เอง ซึ่งครอบคลุมสกุลเงินจำนวนมากกว่าและปรับน้ำหนักตามการเปลี่ยนแปลงทางการค้าเป็นประจำ เพื่อให้ได้มุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม สำหรับการวิเคราะห์ในเบื้องต้นและการติดตามภาพรวม ดัชนี DXY ยังคงเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และมีข้อมูลกราฟที่หาได้ง่าย

การนำความรู้เรื่อง DXY ไปใช้ในการเทรด

เมื่อคุณเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อ DXY และความสัมพันธ์ของมันกับตลาดสินทรัพย์อื่นๆ แล้ว คุณสามารถนำความรู้นี้ไปปรับใช้กับการตัดสินใจเทรดของคุณได้หลายรูปแบบครับ

แนวทางการนำไปใช้ ได้แก่:

  • **การยืนยันแนวโน้มในตลาด Forex:** หากคุณกำลังวิเคราะห์คู่สกุลเงินที่มีเงินดอลลาร์เกี่ยวข้อง เช่น EUR/USD หรือ USD/JPY การดูแนวโน้มของ DXY สามารถช่วยยืนยันการคาดการณ์ของคุณได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณคาดว่า EUR/USD จะปรับตัวลง และ DXY กำลังแสดงสัญญาณแข็งค่าขึ้น นี่จะเป็นการยืนยันแนวโน้มที่สอดคล้องกัน
  • **การมองหาโอกาสในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์:** หากคุณคาดการณ์ว่า DXY จะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากปัจจัยพื้นฐานหรือทางเทคนิค นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการพิจารณาเข้าซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตั้งราคาเป็นดอลลาร์ เช่น ทองคำ หรือ น้ำมัน
  • **การประเมินความเสี่ยงในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง:** การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของ DXY อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความตึงเครียดในระบบการเงินโลกและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ในทางกลับกัน หาก DXY อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง อาจสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้
  • **การสร้างกลยุทธ์การเทรดแบบ Macro-driven:** สำหรับนักลงทุนที่เน้นการเทรดตามปัจจัยมหภาค (Macro Trading) การติดตามและวิเคราะห์ DXY ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะ DXY สะท้อนภาพรวมของนโยบายการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบการเงินโลก การคาดการณ์ทิศทางของ DXY จากปัจจัยพื้นฐานต่างๆ สามารถนำไปสู่การวางแผนการเทรดในหลากหลายตลาดได้

โปรดจำไว้ว่า DXY เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์ ไม่ควรใช้เป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุน คุณควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ที่คุณสนใจโดยเฉพาะ ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ DXY เพื่อให้ได้ภาพที่รอบด้านที่สุด

ในส่วนของการเลือกแพลตฟอร์มเพื่อทำการซื้อขาย หากคุณสนใจเทรด Forex หรือ CFD ต่างๆ Moneta Markets มีแพลตฟอร์มที่หลากหลายให้เลือกใช้ เช่น MT4, MT5, และ Pro Trader ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด แพลตฟอร์มเหล่านี้มาพร้อมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคครบครัน ช่วยให้คุณสามารถติดตามกราฟ DXY และสินทรัพย์อื่นๆ ได้อย่างสะดวก และด้วยจุดเด่นด้านการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและสเปรดที่แข่งขันได้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่น่าสนใจสำหรับเทรดเดอร์ครับ

สรุป: DXY เข็มทิศที่ขาดไม่ได้สำหรับนักลงทุน

โดยสรุปแล้ว **ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY)** เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่สนใจในตลาดค่าเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือตลาดสินทรัพย์อื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์

เราได้เห็นแล้วว่า DXY คืออะไร ประกอบด้วยสกุลเงินใดบ้าง และที่สำคัญคือได้เจาะลึกถึงปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ทั้งจากนโยบายของเฟด ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปจนถึงประเด็นการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้ เรายังได้สำรวจความสัมพันธ์ของ DXY กับตลาดสินทรัพย์อื่นๆ และวิธีการนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้กับการวิเคราะห์และการเทรด

การทำความเข้าใจ DXY ไม่ได้ทำให้คุณสามารถคาดการณ์ตลาดได้อย่างแม่นยำ 100% แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ช่วยให้คุณมีมุมมองที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพและความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในระบบการเงินโลก และช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลและรอบคอบมากขึ้นครับ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับดัชนี DXY ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนะครับ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกราฟ dxy

Q:DXY คืออะไร?

A:DXY คือดัชนีที่วัดความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล

Q:ปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของ DXY คืออะไร?

A:ปัจจัยที่มีผลรวมถึงนโยบายการเงินของเฟด ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเหตุการณ์ทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์

Q:DXY ส่งผลต่อสินทรัพย์อื่นๆ อย่างไร?

A:DXY มีความสัมพันธ์แบบผกผันกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลัก เช่น ทองคำและน้ำมัน รวมถึงตลาดหุ้นและตลาด Forex ด้วย

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *