ไขปริศนา “ภาวะเงินฝืด”: สาเหตุหลัก ผลกระทบ และทางออกสำหรับเศรษฐกิจไทยและโลก
สวัสดีครับ นักลงทุนและผู้ที่สนใจทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่บทความเชิงลึกที่เราจะมาทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญไม่แพ้ภาวะเงินเฟ้อ นั่นคือ ภาวะเงินฝืด (Deflation) นั่นเองครับ
หลายครั้งที่เราพูดถึงภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งคือสภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปปรับตัวสูงขึ้น แต่ภาวะเงินฝืดกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง มันคือสภาวะที่ ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
คุณอาจคิดว่า “ราคาสินค้าถูกลงก็ดีสิ?” ในระยะสั้นอาจใช่ครับ แต่ในระยะยาว ภาวะเงินฝืดสามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้ ซึ่งเราจะได้ลงรายละเอียดกันในบทความนี้
- การเข้าใจภาวะเงินฝืดมีความสำคัญสำหรับนักลงทุน
- ต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวในเศรษฐกิจโลก
- บทความนี้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและการวางแผนการเงิน
ในฐานะผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจกลไกทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อการลงทุน เราเชื่อว่าการทำความเข้าใจภาวะเงินฝืดอย่างถ่องแท้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบางประเทศกำลังเผชิญความเสี่ยงหรืออยู่ในภาวะเงินฝืดจริง ๆ และประเทศไทยเองก็มีสัญญาณบางอย่างที่น่าจับตามอง
ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกตั้งแต่พื้นฐานว่าภาวะเงินฝืดคืออะไร มีเกณฑ์การพิจารณาอย่างไร สาเหตุหลัก ๆ มาจากปัจจัยใดบ้าง ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ทั้งต่อตัวคุณ ภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงแนวทางที่รัฐบาลและธนาคารกลางใช้ในการแก้ไขปัญหา และบทเรียนที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากตัวอย่างจริงในประเทศต่าง ๆ เช่น จีนและญี่ปุ่น พร้อมทั้งแนะนำแนวทางการรับมือและการลงทุนในช่วงภาวะเงินฝืด
เรามาเริ่มการเดินทางทำความเข้าใจภาวะเงินฝืดไปด้วยกันเลยครับ
นิยามและเกณฑ์บ่งชี้ภาวะเงินฝืด: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเงินฝืดมาถึงแล้ว?
ก่อนที่เราจะไปถึงสาเหตุ เราต้องรู้ก่อนว่า “ภาวะเงินฝืด” หมายถึงอะไร และเราจะสังเกตเห็นมันได้อย่างไร
ตามนิยามที่เข้าใจง่ายที่สุด ภาวะเงินฝืดคือสภาวะที่ระดับราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงข้ามกับภาวะเงินเฟ้อที่ราคาสูงขึ้น
คำว่า “อย่างต่อเนื่อง” เป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะการที่ราคาสินค้าบางอย่างลดลงชั่วคราวหรือตามฤดูกาล ไม่ถือว่าเป็นภาวะเงินฝืดโดยรวม
นักเศรษฐศาสตร์และธนาคารกลางมีเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นในการประกาศว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดอย่างเป็นทางการ ตัวอย่างเช่น ตามนิยามของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ภาวะเงินฝืดต้องมีคุณสมบัติหลักๆ ดังนี้
คุณสมบัติ | รายละเอียด |
---|---|
อัตราเงินเฟ้อติดลบเป็นระยะเวลานาน | ตัวชี้วัดหลักอย่างดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือตัวหักลบเงินเฟ้อของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP Deflator) ต้องแสดงค่าติดลบและแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่เดือนสองเดือน |
อัตราเงินเฟ้อติดลบกระจายในหลายหมวดสินค้า/บริการ | การที่ราคาลดลงต้องเกิดขึ้นในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ในสินค้าหรือบริการบางกลุ่ม เช่น ราคาพลังงานลดลงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ |
การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวต่ำกว่าเป้าหมาย | ความคาดหวังของประชาชนและภาคธุรกิจต่อการเปลี่ยนแปลงราคาในอนาคตก็มีบทบาทสำคัญ |
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบและอัตราว่างงานสูงขึ้น | ภาวะเงินฝืดมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่อ่อนแอ การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลดลงหรือติดลบ |
เราอาจเคยได้ยินคำว่า “ภาวะเงินฝืดทางเทคนิค” ในบริบทของประเทศไทย ซึ่งอาจหมายถึงสถานการณ์ที่กำลังซื้อของประชาชนหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าตัวเลข CPI โดยรวมอาจยังไม่ติดลบต่อเนื่องตามเกณฑ์สากล แต่สัญญาณเช่น ยอดปฏิเสธสินเชื่อที่พุ่งสูงขึ้น ก็บ่งชี้ถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในกำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งเป็นความเปราะบางที่สำคัญและอาจนำไปสู่ความเสี่ยงเงินฝืดได้หากไม่ได้รับการแก้ไข
ดังนั้น การพิจารณาว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญภาวะเงินฝืดหรือไม่ ต้องดูจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งตัวเลขราคา แนวโน้ม ความคาดหวัง และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมครับ
วิเคราะห์หลากหลายสาเหตุหลักที่นำพาเศรษฐกิจสู่ภาวะเงินฝืด
ภาวะเงินฝืดไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่มีรากฐานมาจากปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลระหว่างอุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) และอุปทาน (ปริมาณสินค้า/บริการ) ในระบบเศรษฐกิจ โดยหลักแล้ว สาเหตุของภาวะเงินฝืดสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่มดังนี้ครับ
สาเหตุจากด้านอุปสงค์ที่หดตัว (Demand-Side Deflation)
นี่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดและมีความสำคัญอย่างยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจซบเซา เมื่อประชาชนและภาคธุรกิจลดการใช้จ่ายลง ความต้องการสินค้าและบริการโดยรวมก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งเมื่ออุปสงค์น้อยกว่าปริมาณสินค้าที่มีอยู่ ผู้ขายจำเป็นต้องลดราคาเพื่อจูงใจให้เกิดการซื้อ
ทำไมอุปสงค์ถึงหดตัวล่ะ?
-
ผู้บริโภคไม่กล้าใช้จ่าย/ชะลอการใช้จ่าย: ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน มีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต การจ้างงาน หรือภาระหนี้สิน ประชาชนมักจะเลือกที่จะออมเงินมากขึ้นและลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง
-
ความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลง: เมื่อธุรกิจเห็นว่ายอดขายลดลงและมีความไม่แน่นอนสูง พวกเขาจะลดการลงทุนใหม่ๆ ลดการขยายกิจการ และอาจถึงขั้นลดการผลิตและปลดพนักงาน
-
การชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์: ในประเทศที่ภาคอสังหาริมทรัพย์มีขนาดใหญ่และเชื่อมโยงกับการกู้ยืมของประชาชน เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ราคาบ้านลดลง ประชาชนจะรู้สึกว่าความมั่งคั่งลดลง
ลองนึกภาพว่าทุกคนในหมู่บ้านพร้อมใจกันงดซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีงานทำอยู่ไหม ร้านค้าก็ต้องลดราคาเพื่อระบายสินค้าใช่ไหมครับ นั่นคือภาพอย่างง่ายของภาวะเงินฝืดจากอุปสงค์ที่หดตัว
สาเหตุจากปริมาณเงินหรือสินเชื่อในระบบไม่เพียงพอ (Money Supply Contraction)
ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมีผลโดยตรงต่อระดับราคา เมื่อปริมาณเงินหรือสินเชื่อในระบบลดลง หรือเติบโตช้ากว่าการเติบโตของสินค้าและบริการ ก็จะเกิดแรงกดดันให้ราคาสินค้าและบริการลดลงได้
ปัจจัยที่ทำให้ปริมาณเงินในระบบลดลง ได้แก่:
-
ธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด: หากธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ การกู้ยืมจะยากขึ้นและแพงขึ้น
-
ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อน้อยลง: หากธนาคารพาณิชย์มีความกังวลต่อความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ สภาพคล่องก็จะยังคงจำกัดอยู่ในระบบธนาคาร
-
เงินทุนไหลออกนอกประเทศมากเกินไป: หากมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจำนวนมากออกไปลงทุนในต่างประเทศ เงินที่จะนำมาใช้จ่ายหรือลงทุนภายในประเทศก็จะลดน้อยลง
-
เงินออมในระบบลดลงหรือเปลี่ยนรูปแบบ: หากประชาชนเลือกที่จะเก็บออมเงินสดไว้กับตัวจำนวนมาก แทนที่จะนำไปฝากธนาคารหรือลงทุนผ่านช่องทางอื่น
หากเปรียบระบบเศรษฐกิจเป็นร่างกาย ปริมาณเงินก็เหมือนเลือด หากเลือดหมุนเวียนไม่พอ อวัยวะต่างๆ ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะชะลอตัว และราคาก็มีแนวโน้มลดลงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ
สาเหตุจากด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้น หรือต้นทุนลดลง (Supply-Side Deflation)
ในบางกรณี ภาวะเงินฝืดอาจเกิดจากปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งมักเป็นสัญญาณที่ดีกว่าเงินฝืดจากด้านอุปสงค์ที่หดตัว สาเหตุในกลุ่มนี้ได้แก่:
-
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ๆ มักช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมหาศาล
-
การแข่งขันระดับโลกที่เพิ่มขึ้น: การเปิดเสรีทางการค้าและการขนส่งที่รวดเร็วขึ้น ทำให้สินค้าจากประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำสามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น
-
ผลิตเกินกำลัง (Overcapacity): ในบางอุตสาหกรรม อาจเกิดภาวะที่ความสามารถในการผลิตมากกว่าความต้องการซื้อในตลาด
แม้ว่าเงินฝืดจากสาเหตุเหล่านี้จะดีกว่าเงินฝืดจากอุปสงค์ที่หดตัว แต่หากเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ก็ยังคงสร้างปัญหาให้กับธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวลดต้นทุนได้เร็วพอ และอาจนำไปสู่การเลิกจ้างงานได้เช่นกัน
สาเหตุจากนโยบายของรัฐบาล (Policy-Induced Deflation)
นโยบายของรัฐบาลและธนาคารกลางอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเงินฝืดได้เช่นกัน หากนโยบายนั้นไม่เหมาะสมหรือไม่ได้รับการสื่อสารที่ดีพอ
-
นโยบายการเงินที่เข้มงวดเกินไป: การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไป อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและเกิดภาวะเงินฝืดได้
-
นโยบายการคลังที่เข้มงวดเกินไป: หากรัฐบาลลดการใช้จ่ายภาครัฐลงอย่างมาก จะลดกำลังซื้อของประชาชนและภาคธุรกิจโดยตรง
-
การบริหารจัดการหนี้สาธารณะ: ในบางกรณี รัฐบาลอาจต้องลดการใช้จ่ายเพื่อควบคุมหนี้สาธารณะ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและการคาดการณ์ที่แม่นยำ เพราะผลกระทบอาจเกิดขึ้นในวงกว้างและซับซ้อน
ผลกระทบลูกโซ่ของภาวะเงินฝืดต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชน: ทำไมเงินฝืดถึงน่ากลัวกว่าที่คิด?
ในตอนแรก เราอาจมองว่าการที่ราคาสินค้าถูกลงเป็นเรื่องที่ดี เพราะเงิน 100 บาทของเราสามารถซื้อสินค้าได้มากขึ้นในวันนี้ แต่ปัญหาคือ ภาวะเงินฝืดไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น มันสร้างวัฏจักรเชิงลบที่ทำลายความมั่งคั่งและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
ลองมาดูผลกระทบที่สำคัญกันครับ
-
กำไรของธุรกิจลดลง: เมื่อราคาสินค้าลดลง ธุรกิจที่ผลิตสินค้าหรือให้บริการนั้นๆ จะมีรายได้ลดลง ในขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่ยังคงที่หรือปรับลดลงช้ากว่ารายได้
-
ลดการผลิตและการลงทุน: เมื่อธุรกิจกำไรลดลง พวกเขาย่อมไม่มีแรงจูงใจในการขยายการผลิตหรือลงทุนในเครื่องมือใหม่ๆ การลดการผลิตเป็นผลโดยตรงตามมา
-
การจ้างงานลดลงและอัตราว่างงานสูงขึ้น: เมื่อธุรกิจลดการผลิตหรือประสบปัญหาขาดทุน พวกเขาอาจไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลดค่าใช้จ่ายด้วยการเลิกจ้างพนักงาน
-
กำลังซื้อภาคประชาชนหดตัว: เมื่อมีผู้ว่างงานมากขึ้น หรือผู้ที่มีงานทำมีรายได้ลดลง กำลังซื้อโดยรวมในระบบเศรษฐกิจก็จะลดลงตามไปด้วย
-
วัฏจักรชะลอการบริโภคและการลงทุน: เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าราคาสินค้ากำลังลดลง และคาดว่าจะลดลงไปอีกในอนาคต พวกเขาก็จะยิ่งชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไป
-
มูลค่าที่แท้จริงของหนี้เพิ่มขึ้น: นี่เป็นผลกระทบที่ร้ายแรงและมักถูกมองข้าม ในช่วงภาวะเงินฝืด เงินที่เรายืมมาในอดีตจะมีมูลค่าที่แท้จริงเพิ่มขึ้น
-
อัตราผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น: เมื่อรายได้ลดลง และภาระหนี้สินหนักขึ้น ความสามารถในการชำระหนี้ของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจก็ลดลงอย่างมาก
-
เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวและซบเซา: ผลกระทบทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมลดลง
ดังนั้น ภาวะเงินฝืดจึงไม่ใช่แค่เรื่องของราคาถูกลง แต่เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่และสร้างความเสียหายในวงกว้าง
มาตรการรับมือภาวะเงินฝืด: บทบาทของนโยบายการเงินและการคลัง
เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืด รัฐบาลและธนาคารกลางจะไม่นิ่งเฉยครับ มีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์หลายอย่างที่สามารถนำมาใช้ต่อสู้กับภาวะนี้ โดยหลักๆ จะเน้นไปที่การกระตุ้นอุปสงค์และเพิ่มปริมาณเงินในระบบ
นโยบายการเงิน (Monetary Policy) โดยธนาคารกลาง
บทบาทหลักของธนาคารกลางคือการดูแลเสถียรภาพของราคา (ควบคุมเงินเฟ้อ) และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในภาวะเงินฝืด ธนาคารกลางจะดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลาย (Loosening Policy) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นการใช้จ่าย
-
ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: การลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ลดลง
-
ลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (Reserve Requirement Ratio): การลดสัดส่วนเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ต้องสำรองไว้ที่ธนาคารกลาง จะเพิ่มปริมาณเงินที่ธนาคารพาณิชย์สามารถนำไปปล่อยสินเชื่อได้
-
การเข้าซื้อสินทรัพย์ (Quantitative Easing – QE): การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ จากตลาด เพื่ออัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบโดยตรง
-
การสื่อสารนโยบาย (Forward Guidance): ธนาคารกลางอาจสื่อสารแนวโน้มการดำเนินนโยบายในอนาคตอย่างชัดเจน
การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าเป้าหมายและภาคการผลิตที่อ่อนแอ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ภาวะชะลอตัวหรือเงินฝืดได้
นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) โดยรัฐบาล
รัฐบาลมีบทบาทในการใช้เครื่องมือทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะเงินฝืด โดยมักจะดำเนินนโยบายแบบขาดดุล (Deficit Spending) ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายมากกว่ารายได้ เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ
-
ลดภาษี: การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล จะเพิ่มรายได้ที่ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถนำไปใช้จ่ายหรือลงทุนได้มากขึ้น
-
เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ: รัฐบาลสามารถเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างถนน รถไฟ หรือโครงการพัฒนาขนาดใหญ่
-
การให้เงินอุดหนุนหรือมาตรการช่วยเหลือโดยตรง: รัฐบาลอาจให้เงินช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชนที่มีรายได้น้อย
-
ซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล: การที่รัฐบาลซื้อคืนพันธบัตรที่ตนเองออกไว้ในอดีต ก็เป็นการนำเงินสดกลับคืนสู่ผู้ถือพันธบัตร
การประสานงานระหว่างนโยบายการเงินและการคลังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับภาวะเงินฝืด รัฐบาลและธนาคารกลางต้องทำงานร่วมกัน
บทเรียนจากสถานการณ์จริง: จีนและญี่ปุ่นกับความท้าทายภาวะเงินฝืด
การศึกษาจากประเทศที่เคยหรือกำลังเผชิญภาวะเงินฝืดอย่างยืดเยื้อ จะช่วยให้เราเข้าใจความซับซ้อนและความท้าทายในการจัดการปัญหาได้อย่างลึกซึ้งขึ้น
บทเรียนจากประเทศจีน: ภาวะเงินฝืดที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ
ประเทศจีน กำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืดที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่ายืดเยื้อที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และตัวหักลบเงินเฟ้อของ GDP ของจีนบางช่วงเวลาติดลบพร้อมกัน บ่งชี้ถึงแรงกดดันเงินฝืดที่รุนแรง
สาเหตุของภาวะเงินฝืดในจีนมีความซับซ้อนและแตกต่างจากภาวะเงินฝืดแบบดั้งเดิมในประเทศตะวันตกอยู่บ้าง
-
วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์: การล่มสลายของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายแห่ง และราคาบ้านที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
-
การผลิตเกินกำลัง (Overcapacity): เศรษฐกิจจีนพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมานาน
-
การเข้มงวดกฎระเบียบในภาคเทคโนโลยี: การที่รัฐบาลจีนเข้ามากำกับดูแลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
-
แรงกดดันจากภายนอก: สงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา
แม้รัฐบาลจีนและธนาคารประชาชนจีน (PBOC) จะพยายามใช้มาตรการกระตุ้นทั้งทางการเงินและการคลัง แต่ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจนนัก
บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่น: “ทศวรรษที่สูญหาย” และการต่อสู้ที่ยาวนาน
ประเทศญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างคลาสสิกของประเทศที่เผชิญภาวะเงินฝืดอย่างยาวนาน หรือที่เรียกว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” (Lost Decades)
หลังจากฟองสบู่แตก ราคาอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหาหนี้เสียในภาคธนาคาร
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) พยายามใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างเต็มที่ ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนเข้าสู่ระดับใกล้ศูนย์
บทเรียนจากญี่ปุ่นบอกเราว่า การต่อสู้กับภาวะเงินฝืดอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปี
การเปรียบเทียบระหว่างภาวะเงินฝืดและภาวะเงินเฟ้อ: สองด้านของเหรียญทางเศรษฐกิจ
เพื่อให้เข้าใจภาวะเงินฝืดได้ดียิ่งขึ้น เราควรเปรียบเทียบกับภาวะเงินเฟ้อที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
ปัจจัย | ภาวะเงินเฟ้อ | ภาวะเงินฝืด |
---|---|---|
ทิศทางของราคา | ราคาสูงขึ้น | ราคาลดลง |
สาเหตุหลัก | อุปสงค์สูงเกินไป | อุปสงค์หดตัว |
ผลกระทบต่อการใช้จ่าย | กระตุ้นให้คนเร่งใช้จ่าย | กระตุ้นให้คนชะลอการใช้จ่าย |
ผลกระทบต่อหนี้สิน | ช่วยลดภาระหนี้สิน | เพิ่มภาระหนี้สิน |
นโยบายรับมือ | นโยบายเข็มงวด | นโยบายผ่อนคลาย |
ทั้งเงินเฟ้อและเงินฝืดที่รุนแรงล้วนเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ
โอกาสในการลงทุนและแนวทางการรับมือในช่วงภาวะเงินฝืด
ในฐานะนักลงทุน เราไม่สามารถควบคุมสภาวะเศรษฐกิจมหภาคได้ แต่เราสามารถเตรียมพร้อมและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้
ในช่วงภาวะเงินฝืด สินทรัพย์บางประเภทอาจได้รับผลกระทบเชิงลบ แต่บางประเภทอาจได้รับผลดี หรือเป็นแหล่งพักพิงที่ปลอดภัย
สินทรัพย์ที่อาจได้รับผลดีหรือเป็นแหล่งพักพิง:
-
เงินสด: การถือเงินสดจำนวนหนึ่งไว้จึงเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัย
-
ตราสารหนี้คุณภาพสูง: โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง
-
ทองคำ: ทองคำมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน
สินทรัพย์ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ:
-
ตราสารทุน (หุ้น): ภาวะเงินฝืดมักส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำไรของบริษัท
-
อสังหาริมทรัพย์: โดยทั่วไปราคาอสังหาริมทรัพย์มักลดลงในช่วงภาวะเงินฝืด
สิ่งสำคัญที่สุดคือการกระจายความเสี่ยง การศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในการซื้อขายในตลาดการเงินที่หลากหลาย
หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด
สถานการณ์และตัวอย่างภาวะเงินฝืดในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย แม้ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) โดยรวมอาจยังไม่เข้าข่ายภาวะเงินฝืดอย่างเป็นทางการตามนิยามของกระทรวงพาณิชย์หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB)
-
ความกังวลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.): การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 2% ท่ามกลางความกังวลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าประมาณการ
-
ภาวะเงินฝืดทางเทคนิคและการหดตัวของกำลังซื้อ: สัญญาณอย่างกำลังซื้อของภาคครัวเรือนที่หดตัวลง
-
ผลกระทบจากราคาพลังงานและมาตรการรัฐ: ตัวเลข CPI โดยรวมของไทยในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาพลังงาน
ดังนั้น แม้ประเทศไทยอาจยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดเต็มรูปแบบ แต่สัญญาณเตือนและความเสี่ยงก็มีอยู่ การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
สรุปประเด็นสำคัญ: ภาวะเงินฝืด ความท้าทายที่ต้องเผชิญและทางออก
ตลอดบทความนี้ เราได้เดินทางทำความเข้าใจภาวะเงินฝืด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่ตรงข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ แต่มีผลกระทบที่รุนแรงและแก้ไขได้ยากไม่แพ้กัน
เราได้เรียนรู้ว่า ภาวะเงินฝืดคือสภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวมลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยหลายประการ
-
อุปสงค์รวมที่หดตัว ไม่ว่าจะเป็นจากความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภค
-
ปริมาณเงินหรือสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจมีไม่เพียงพอ
-
ปัจจัยด้านอุปทาน เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
-
ความผิดพลาดเชิงนโยบายของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง
เรายังได้เห็นว่า ภาวะเงินฝืดสร้างผลกระทบเชิงลบเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่การลดลงของกำไรธุรกิจ การลดการผลิต การเลิกจ้างงาน
แม้ว่าภาวะเงินฝืดจะเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน แต่ก็มีแนวทางที่ภาครัฐสามารถนำมาใช้ต่อสู้ได้
บทเรียนจากประเทศอย่างจีนและญี่ปุ่นก็ชี้ให้เห็นว่า การจัดการภาวะเงินฝืดอาจต้องใช้เวลาหลายปี
สำหรับตัวเราในฐานะประชาชนและนักลงทุน การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการเงินและการลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น
เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้ไขปริศนาของภาวะเงินฝืด และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับกลไก สาเหตุ และผลกระทบของมัน
ขอให้คุณโชคดีกับการเดินทางในโลกของการลงทุนครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสาเหตุของภาวะเงินฝืด
Q:ภาวะเงินฝืดหมายความว่าอย่างไร?
A:ภาวะเงินฝืดคือสภาวะที่ระดับราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง。
Q:อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะเงินฝืด?
A:สาเหตุหลักได้แก่ อุปสงค์ที่หดตัว หรือปริมาณเงินหรือสินเชื่อในระบบไม่เพียงพอ。
Q:การเกิดภาวะเงินฝืดมีผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจ?
A:ภาวะเงินฝืดสามารถนำไปสู่การลดการผลิต กำไรของธุรกิจลดลง และเพิ่มภาระหนี้สินให้สูงขึ้น。