ask bid: ต้นทุนแฝงและความสำคัญของ Bid-Ask Spread ในการลงทุน

Table of Contents

Bid-Ask Spread: ต้นทุนแฝงและตัวชี้วัดสภาพคล่องที่นักลงทุนต้องรู้

ในโลกของการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, Forex, ตราสารหนี้ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ มีแนวคิดพื้นฐานแต่สำคัญยิ่งยวดอย่างหนึ่งที่คุณในฐานะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ นั่นคือ Bid-Ask Spread

เราจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจส่วนต่างของราคาที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยนี้ แต่แท้จริงแล้วมันคือต้นทุนการทำธุรกรรมที่คุณต้องจ่าย และยังเป็นเครื่องมือชั้นดีในการประเมินสภาพคล่องและความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่คุณสนใจอีกด้วย การรู้เท่าทันกลไกและปัจจัยที่ส่งผลต่อ Spread จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาวครับ

แสดงภาพรวมของ Bid-Ask Spread ในตลาดการเงิน

ข้อควรทราบเกี่ยวกับ Bid-Ask Spread:

  • มันคือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายในตลาด
  • เป็นต้นทุนการทำธุรกรรมที่นักลงทุนต้องคำนึงถึง
  • ช่วยวัดระดับสภาพคล่องของสินทรัพย์ที่ซื้อขาย

ทำความรู้จักกับราคา Bid: ราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อพร้อมจ่าย

เมื่อคุณมองเข้าไปในหน้าต่างซื้อขายของสินทรัพย์ใดๆ คุณจะเห็นราคาปรากฏอยู่สองฝั่งเสมอ ด้านหนึ่งคือราคา Bid (ราคาเสนอซื้อ) และอีกด้านคือราคา Ask (ราคาเสนอขาย) ราคา Bid คืออะไร?

ราคา Bid คือ ราคาสูงสุด ที่ผู้ซื้อรายหนึ่งหรือกลุ่มผู้ซื้อในตลาด ณ ขณะนั้น ยินดีที่จะจ่าย เพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์นั้นๆ ลองนึกภาพว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการซื้อหุ้น ABC พวกเขาจะบอกว่า “ฉันยอมจ่ายสูงสุดเท่านี้บาทนะ!” ราคาสูงสุดที่พวกเขายอมจ่ายนี่แหละ คือ ราคา Bid ที่แสดงบนหน้าจอ

สำหรับคุณในฐานะผู้ซื้อ หากคุณต้องการซื้อสินทรัพย์ทันทีโดยใช้คำสั่งแบบ Market Order คุณจะต้องซื้อที่ราคา Ask ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ขายเสนอ ส่วนถ้าคุณเป็นผู้ขายและต้องการขายทันที คุณก็จะขายได้ที่ราคา Bid นี้แหละครับ

เทรดเดอร์กำลังวิเคราะห์ราคาบิดเสนอซื้อบนหน้าจอ

ทำความเข้าใจราคา Ask: ราคาต่ำสุดที่ผู้ขายพร้อมรับ

ตรงกันข้ามกับราคา Bid อีกฝั่งหนึ่งของหน้าจอซื้อขายคือราคา Ask หรือ ราคาเสนอขาย

ราคา Ask คือ ราคาต่ำสุด ที่ผู้ขายรายหนึ่งหรือกลุ่มผู้ขายในตลาด ณ ขณะนั้น ยินดีที่จะรับ เพื่อขายสินทรัพย์ที่พวกเขามีอยู่ให้กับผู้ซื้อ ลองนึกภาพผู้ที่ถือหุ้น ABC และต้องการขาย พวกเขาจะบอกว่า “ฉันยอมขายต่ำสุดเท่านี้บาทนะ!” ราคานี้เอง คือ ราคา Ask ที่ปรากฏขึ้น

สำหรับคุณในฐานะผู้ซื้อ หากคุณต้องการซื้อสินทรัพย์ทันที คุณจะต้องกดซื้อที่ราคา Ask นี้เอง เพราะนี่คือราคาที่คนพร้อมจะขายให้คุณในเวลานั้น ในทางกลับกัน หากคุณต้องการขายสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่ทันที คุณก็จะขายได้ที่ราคา Bid ที่มีผู้ซื้อพร้อมรับซื้อ

แสดงภาพของผู้ขายกำลังเสนอขายสินทรัพย์

Bid-Ask Spread: ต้นทุนแฝงที่ซ่อนอยู่ในการซื้อขาย

เมื่อเรานำราคา Bid และราคา Ask มาพิจารณาพร้อมกัน เราจะเห็นส่วนต่างระหว่างสองราคานี้ ซึ่งส่วนต่างนี้เองคือ Bid-Ask Spread

การคำนวณ Spread ทำได้ง่ายๆ คือ: Spread = ราคา Ask – ราคา Bid

ส่วนต่างนี้ถือเป็น ต้นทุนการทำธุรกรรม ที่สำคัญสำหรับผู้ซื้อขายทั่วไป (เรียกว่า Market Takers) เพราะเมื่อคุณต้องการซื้อทันที คุณต้องซื้อที่ราคา Ask ซึ่งสูงกว่าราคา Bid และเมื่อคุณต้องการขายทันที คุณก็ต้องขายที่ราคา Bid ซึ่งต่ำกว่าราคา Ask คุณจึงต้องจ่าย “ส่วนต่าง” นี้ในทุกๆ ครั้งที่เข้าและออกจากสถานะการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น หากหุ้น ABC มีราคา Bid อยู่ที่ 10.00 บาท และราคา Ask อยู่ที่ 10.05 บาท Spread คือ 0.05 บาท หากคุณซื้อที่ 10.05 บาท และขายทันทีที่ 10.00 บาท คุณจะเสีย 0.05 บาทต่อหุ้น นั่นคือต้นทุน Spread ของคุณ

กราฟแสดงความเปลี่ยนแปลงของ Bid-Ask Spread

บทบาทของผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers): หัวใจสำคัญของ Spread

แล้วส่วนต่างเล็กๆ นี้ไปอยู่ที่ไหน? ส่วนต่างนี้คือ กำไร หลักของ ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers)

ผู้ดูแลสภาพคล่องคือสถาบันการเงินหรือบริษัทที่เข้ามาทำหน้าที่สร้างสภาพคล่องให้กับตลาด พวกเขาทำหน้าที่พร้อมที่จะซื้อและขายสินทรัพย์อยู่ตลอดเวลา โดยจะตั้งราคา Bid และราคา Ask พร้อมๆ กัน ผู้ดูแลสภาพคล่องจะซื้อสินทรัพย์ที่ราคา Bid (ราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อพร้อมจ่าย) และขายสินทรัพย์ที่ราคา Ask (ราคาต่ำสุดที่ผู้ขายพร้อมรับ) ส่วนต่างระหว่างสองราคานี้คือผลตอบแทนที่พวกเขาได้รับจากการรับความเสี่ยงในการถือครองสินทรัพย์และสร้างสภาพคล่องให้กับตลาด

ลองนึกภาพผู้ดูแลสภาพคล่องเป็นเหมือนคนกลางในตลาดนัด เขาพร้อมรับซื้อสินค้าจากคนหนึ่งในราคาหนึ่ง และพร้อมขายสินค้าเดียวกันให้กับอีกคนหนึ่งในราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย ส่วนต่างนี้คือค่าบริการหรือกำไรของเขา การมีผู้ดูแลสภาพคล่องทำให้การซื้อขายเกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว เพราะมีคนพร้อมที่จะจับคู่คำสั่งซื้อและขายอยู่เสมอ

คนกลางในตลาดการเงินกำลังทำธุรกรรม

สภาพคล่อง (Liquidity): ตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อ Bid-Ask Spread

ปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อความกว้างหรือแคบของ Bid-Ask Spread คือ สภาพคล่อง (Liquidity) ของสินทรัพย์นั้นๆ

สภาพคล่องสูง หมายถึงสินทรัพย์ที่มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก มีปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) สูง คำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่สามารถทำได้โดยไม่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง มักจะมีผู้ดูแลสภาพคล่องหลายรายแข่งขันกันเสนอราคา ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask แคบ ลง Spread ที่แคบลงหมายถึงต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำลงสำหรับนักลงทุน ทำให้เข้าและออกจากสถานะได้สะดวกและรวดเร็ว

ในทางตรงกันข้าม สภาพคล่องต่ำ หมายถึงสินทรัพย์ที่มีผู้ซื้อขายไม่มาก ปริมาณการซื้อขายต่ำ การซื้อขายขนาดใหญ่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคา ในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ ผู้ดูแลสภาพคล่องอาจน้อยราย หรือมีความเสี่ยงสูงกว่าในการถือครองสินทรัพย์ ทำให้พวกเขาตั้งราคา Bid และ Ask ที่มีส่วนต่าง กว้าง ขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยง Spread ที่กว้างขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้น และอาจเป็นอุปสรรคในการเข้าออกสถานะ โดยเฉพาะสำหรับคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่

ความผันผวน (Volatility) และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อ Spread

นอกจากสภาพคล่องแล้ว ความผันผวน (Volatility) ของราคาสินทรัพย์ก็เป็นอีกปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อ Bid-Ask Spread

เมื่อราคาสินทรัพย์มีความผันผวนสูง หมายความว่าราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ความเสี่ยงที่ผู้ดูแลสภาพคล่องจะซื้อมาในราคาหนึ่ง แต่ราคาตกลงอย่างรวดเร็วก่อนที่พวกเขาจะขายออกไปได้มีสูงขึ้น เพื่อชดเชยความเสี่ยงนี้ ผู้ดูแลสภาพคล่องมักจะ ขยาย Bid-Ask Spread ให้กว้างขึ้น ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้ Spread กว้างขึ้นได้แก่:

  • ช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญ: เช่น การประกาศนโยบายของธนาคารกลาง, รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ หรือผลประกอบการบริษัท ข่าวเหล่านี้อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนและปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงขึ้น ทำให้ Spread กว้างขึ้นชั่วคราว
  • ช่วงเวลาที่ตลาดปิดหรือมีผู้ซื้อขายน้อย: เช่น ช่วงกลางคืนในบางตลาด หรือช่วงวันหยุดยาว สภาพคล่องโดยรวมจะลดลง ทำให้ Spread กว้างขึ้นได้
  • ขนาดของคำสั่งซื้อขาย: คำสั่งซื้อขายที่มีขนาดใหญ่มากๆ อาจต้องซื้อหรือขายในหลายระดับราคา ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยสูงขึ้น หรืออาจต้องซื้อ/ขายกับผู้ดูแลสภาพคล่องที่เสนอ Spread กว้างขึ้นสำหรับปริมาณมาก

ความแตกต่างของ Bid-Ask Spread ในตลาดสินทรัพย์ต่างๆ

Bid-Ask Spread มีลักษณะและความกว้างที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเภทสินทรัพย์ ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องและลักษณะเฉพาะของตลาดนั้นๆ

  • ตลาดหุ้น: หุ้นขนาดใหญ่ (Blue-chip) ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงและสภาพคล่องดี มักจะมี Spread ที่แคบมาก เพียงแค่ไม่กี่สตางค์หรือไม่กี่บาท ในขณะที่หุ้นขนาดเล็ก (Small-cap) หรือหุ้นที่มีการซื้อขายไม่บ่อย อาจมี Spread ที่กว้างกว่าอย่างเห็นได้ชัด
  • ตลาด Forex: ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก คู่เงินหลัก (Major Currency Pairs) เช่น EUR/USD, GBP/USD มักมี Spread ที่แคบมาก อาจวัดเป็น Pip (หน่วยทศนิยมตำแหน่งที่สี่) เพียงเล็กน้อย ในขณะที่คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) ที่มีการซื้อขายน้อยกว่า อาจมี Spread ที่กว้างกว่ามาก

    หากคุณกำลังสนใจการเทรด Forex หรือมองหาแพลตฟอร์มที่มีตัวเลือกสินค้าหลากหลาย Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจครับ แพลตฟอร์มนี้มาจากออสเตรเลียและมีสินค้าให้เลือกมากกว่า 1000 รายการ ทั้ง Forex และ CFD ซึ่งครอบคลุมความต้องการของเทรดเดอร์ทุกระดับ

  • ตลาดตราสารหนี้: Spread ในตลาดตราสารหนี้มีความหลากหลาย ตราสารหนี้รัฐบาลที่มีอายุสั้นและมีการซื้อขายมากมักจะมี Spread แคบ ส่วนตราสารหนี้บริษัท โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield Bonds) หรือตราสารหนี้ที่ไม่มีการซื้อขายบ่อย อาจมี Spread ที่กว้างกว่ามาก ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า Spread ในตลาดตราสารหนี้บางประเภท เช่น ตราสารหนี้สหรัฐฯ และยุโรป มีแนวโน้มแคบลงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น
  • สินค้าโภคภัณฑ์และคริปโตเคอร์เรนซี: Spread ในตลาดเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องและความผันผวนเช่นกัน สินค้าโภคภัณฑ์หลักๆ เช่น น้ำมัน ทองคำ ที่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้าขนาดใหญ่มักมี Spread ที่แข่งขันได้ ในขณะที่คริปโตเคอร์เรนซีบางสกุลที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือมีสภาพคล่องต่ำ อาจมี Spread ที่กว้างมาก

แนวโน้มปัจจุบันของ Bid-Ask Spread ในตลาดโลก

ดังที่กล่าวไปแล้วว่า แนวโน้ม Bid-Ask Spread สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะตลาดและเทคโนโลยี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเห็นแนวโน้มที่น่าสนใจในตลาดการเงินหลายแห่ง

หนึ่งในแนวโน้มที่โดดเด่นคือ การที่ Bid-Ask Spread ในตลาดตราสารหนี้บางประเภทมีแนวโน้มแคบลง แม้ว่าตลาดตราสารหนี้จะมีความซับซ้อนกว่าตลาดหุ้นหรือ Forex แต่การเข้ามาของแพลตฟอร์มการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์และผู้เล่นใหม่ๆ ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำธุรกรรมสำหรับนักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า Spread จะแคบลงในทุกตลาดเสมอไป ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน (Black Swan Events) สภาพคล่องในตลาดโดยรวมอาจลดลงอย่างรุนแรง ทำให้ Bid-Ask Spread ถ่างกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นที่ผู้ดูแลสภาพคล่องต้องแบกรับ และทำให้ต้นทุนการซื้อขายในช่วงเวลาดังกล่าวพุ่งสูงขึ้น

การพิจารณา Bid-Ask Spread เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาด

ในฐานะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ คุณควรใช้ Bid-Ask Spread เป็นหนึ่งในข้อมูลประกอบการตัดสินใจของคุณเสมอ Spread บอกอะไรเราได้บ้าง?

  • ต้นทุนการทำธุรกรรม: Spread คือต้นทุนโดยตรงที่คุณต้องจ่าย ยิ่ง Spread กว้าง ต้นทุนของคุณก็ยิ่งสูงขึ้น หากคุณซื้อขายบ่อยครั้งหรือใช้กลยุทธ์ที่เน้นการเข้าออกเร็ว การเลือกสินทรัพย์ที่มี Spread แคบจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรสุทธิ
  • สภาพคล่องของสินทรัพย์: Spread ที่แคบมักบ่งบอกถึงสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถซื้อหรือขายได้ในปริมาณที่ต้องการโดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมากนัก และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว ในทางกลับกัน Spread ที่กว้างคือสัญญาณเตือนว่าสินทรัพย์นั้นอาจมีสภาพคล่องต่ำ การเข้าออกอาจทำได้ยาก หรือมีต้นทุนสูง
  • ความเสี่ยงในตลาด: ในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนหรือมีความไม่แน่นอนสูง Spread มักจะกว้างขึ้น การเห็น Spread กว้างขึ้นอย่างผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังเผชิญกับแรงกดดันหรือความเสี่ยงบางอย่าง

การเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขายก็มีผลต่อ Spread เช่นกัน แพลตฟอร์มที่ดีมักจะเสนอ Spread ที่แข่งขันได้ และมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้การส่งคำสั่งซื้อขายรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณสามารถพิจารณาได้ แพลตฟอร์มนี้รองรับการเทรดผ่าน MT4, MT5 และ Pro Trader ซึ่งเป็นที่นิยม และยังมาพร้อมการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและ Spread ที่ออกแบบมาให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด

บทสรุป: ทำความเข้าใจ Spread กุญแจสู่การเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ

Bid-Ask Spread ไม่ใช่แค่ส่วนต่างของตัวเลขสองตัวบนหน้าจอ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่สะท้อนถึงกลไกการทำงานของตลาด สภาพคล่อง ความเสี่ยงที่ผู้ดูแลสภาพคล่องแบกรับ และพลวัตการแข่งขันในตลาดนั้นๆ

การทำความเข้าใจว่า Spread คืออะไร มาจากไหน และปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อความกว้างของมัน จะช่วยให้คุณ:

  • ประเมินต้นทุนที่แท้จริงของการซื้อขายแต่ละครั้งได้อย่างถูกต้อง
  • เลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องเหมาะสมกับกลยุทธ์และขนาดการลงทุนของคุณ
  • อ่านสัญญาณจากตลาดในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนหรือความผันผวนสูง
  • ตัดสินใจเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขายที่เสนอเงื่อนไขที่เหมาะสม

การพิจารณา Bid-Ask Spread ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคอื่นๆ จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณเป็นนักลงทุนที่รอบคอบ มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และเพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินของคุณได้สำเร็จครับ

ประเภทสินทรัพย์ ความกว้างของ Spread สาเหตุ
ตลาดหุ้น แคบมาก ปริมาณการซื้อขายสูง
ตลาด Forex แคบ สภาพคล่องสูงสุด
ตลาดตราสารหนี้ แคบถึงกว้าง ความเสี่ยงของตราสาร
สินค้าโภคภัณฑ์ แข่งขันได้ ตลาดขนาดใหญ่
คริปโตเคอร์เรนซี กว้างมาก สภาพคล่องต่ำ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับask bid

Q:Spread คืออะไร?

A:Spread คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายในตลาดที่เป็นต้นทุนการทำธุรกรรมที่นักลงทุนต้องคำนึงถึง.

Q:อะไรที่ทำให้ Bid-Ask Spread กว้างขึ้น?

A:หลายปัจจัย เช่น ความผันผวนของตลาด การประกาศข่าวสำคัญ หรือสภาพคล่องต่ำในเวลาฉุกเฉิน.

Q:เราจะตรวจสอบความสภาพคล่องในตลาดได้อย่างไร?

A:สามารถตรวจสอบสภาพคล่องโดยดูจากความกว้างของ Spread และปริมาณการซื้อขายในสินทรัพย์นั้นๆ.

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *