น้ํามันขึ้นราคา: ทำความเข้าใจเหตุผลที่ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นในตลาดโลก

สวัสดีครับ คุณผู้อ่านทุกท่านผู้ซึ่งให้ความสนใจในการทำความเข้าใจกลไกของตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างใกล้ชิด วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึง ปัจจัย ที่ทำให้ ราคาน้ำมัน มีการเปลี่ยนแปลงและมักจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนคงเคยตั้งคำถามในใจอยู่บ่อยครั้ง

ในฐานะนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือผู้ที่มีประสบการณ์ การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เพื่อการวางแผนการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ยังรวมถึงการมองหาโอกาสในการลงทุนในตลาดที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นของบริษัทพลังงาน กองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในภาคพลังงาน หรือแม้แต่การซื้อขายอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับ ราคาน้ำมันดิบ โดยตรง เพราะ ราคาน้ำมัน ไม่ได้ถูกกำหนดโดย ปัจจัย เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์จากความซับซ้อนของอุปสงค์ อุปทาน สถานการณ์ ตลาดโลก และนโยบายต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมด

บทความนี้จะพาคุณไปถอดรหัสความผันผวนของ ราคาน้ำมัน ทีละขั้น เหมือนกับการเรียนรู้จากครูผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้คุณมองเห็นภาพรวมและเข้าใจถึงเบื้องหลังของราคาที่คุณเห็นอยู่ทุกวันนี้อย่างแท้จริง

คุณสามารถมองเห็นภาพรวมของอุปสงค์และอุปทานที่สำคัญต่อราคาน้ำมัน โดยอาจแบ่งปัจจัยออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:

  • ปัจจัยจากเศรษฐกิจโลก
  • ความผันผวนตามฤดูกาล
  • การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์
ประเภทปัจจัย รายละเอียด
เศรษฐกิจโลก การเติบโตของเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในภาคพลังงานส่งผลต่อตลาดน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ
ความผันผวนตามฤดูกาล ความต้องการใช้น้ำมันในแต่ละฤดูอาจแตกต่างกันอย่างมาก
ภูมิรัฐศาสตร์ การตึงเครียดทางการเมืองในประเทศผู้ผลิตน้ำมันมีผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน

กลไกพื้นฐานที่สุดที่กำหนด ราคาน้ำมัน ก็ไม่ต่างจากสินค้าอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ นั่นคือ ปัจจัย ด้าน ความต้องการใช้น้ำมัน (Demand) และ ปริมาณน้ำมันดิบ ที่เข้าสู่ตลาด (Supply) เมื่อ ความต้องการใช้น้ำมัน ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ ปริมาณน้ำมันดิบ ในตลาดมีจำกัดหรือลดลง ราคาน้ำมัน ก็ย่อมมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น

คุณลองนึกภาพตามสิครับว่า เมื่อเศรษฐกิจโลกมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ผลิตสินค้ามากขึ้น การขนส่งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ก็ย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิด ความต้องการใช้น้ำมัน เชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความต้องการใช้น้ำมัน ที่เพิ่มขึ้นนี้เองที่เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ ราคาน้ำมัน ใน ตลาดโลก ปรับตัวขึ้น หาก กำลังการผลิต และ ปริมาณน้ำมันดิบ ที่เข้าสู่ตลาดไม่สามารถตอบสนอง ความต้องการใช้น้ำมัน ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างทันท่วงที

นอกจาก ปัจจัย ด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว ความต้องการใช้น้ำมัน ยังมี ปัจจัย ตามฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตัวอย่างเช่น ในซีกโลกเหนือ ช่วงฤดูร้อนผู้คนมักเดินทางท่องเที่ยวมากกว่าปกติ ทำให้ ความต้องการใช้น้ำมัน สำหรับการเดินทางและการขนส่งเพิ่มขึ้น ในขณะที่ช่วงฤดูหนาว ความต้องการใช้น้ำมัน เพื่อการทำความร้อน (Heating Oil) ในบางประเทศก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ปัจจัย ตามฤดูกาลเหล่านี้ แม้จะเป็นเพียงระยะสั้น แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อ ความผันผวน ของ ราคาน้ำมัน ได้

ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง การผลิตและการบริโภคลดลง ความต้องการใช้น้ำมัน ก็จะลดลงตามไปด้วย เมื่อ ความต้องการใช้น้ำมัน ลดลง ในขณะที่ ปริมาณน้ำมันดิบ ยังคงอยู่ในระดับสูงหรือเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมัน ก็จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ดังนั้น การจับตาดูแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการคาดการณ์ทิศทางพื้นฐานของ ราคาน้ำมัน

ภาพบรรยากาศการซื้อขายน้ำมันในตลาดโลก

ราคาน้ำมัน ไม่ได้ถูกกำหนดด้วย ปัจจัย ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเปราะบางอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ทาง ภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่เป็นแหล่งผลิต น้ำมันดิบ ที่สำคัญของโลก อย่างเช่น ภูมิภาค ตะวันออกกลาง

ลองนึกภาพดูว่า หากเกิด ความขัดแย้ง ทางทหาร หรือ ความไม่สงบ ภายในประเทศผู้ผลิต น้ำมันดิบ รายใหญ่ เหตุการณ์เหล่านี้สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อ กำลังการผลิต น้ำมัน หรือสร้างอุปสรรคในการขนส่ง น้ำมันดิบ ออกสู่ ตลาดโลก ได้ทันที การลดลงของ ปริมาณน้ำมันดิบ ในตลาด แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว ก็สามารถสร้าง ความผันผวน และผลักดันให้ ราคาน้ำมัน พุ่งสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากตลาดเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับปริมาณอุปทานที่จะหายไป

ยกตัวอย่างเช่น ความตึงเครียดระหว่างประเทศในภูมิภาค ตะวันออกกลาง การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศผู้ผลิตน้ำมันบางประเทศ หรือแม้แต่การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมัน เช่น แท่นขุดเจาะ หรือโรงกลั่น ล้วนเป็น ปัจจัย ทาง ภูมิรัฐศาสตร์ ที่มีศักยภาพสูงในการกระทบต่ออุปทานและส่งผลให้ ราคาน้ำมัน พุ่งขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ใน ตะวันออกกลาง จึงมีความสำคัญและถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิดโดยนักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดพลังงานทั่วโลก

นอกเหนือจาก ตะวันออกกลาง สถานการณ์ทางการเมืองหรือ ความไม่สงบ ในประเทศผู้ผลิตน้ำมันอื่นๆ ทั่วโลก เช่น แอฟริกา หรือบางประเทศในอเมริกาใต้ ก็สามารถส่งผลกระทบต่อ กำลังการผลิต และสร้าง ความผันผวน ให้กับ ราคาน้ำมัน ได้เช่นกัน ดังนั้น การติดตามข่าวสารการเมืองระหว่างประเทศและสถานการณ์ในพื้นที่ผลิตน้ำมันสำคัญจึงเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ ปัจจัย ที่ส่งผลต่อ ราคาน้ำมัน

การสำรวจน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลาง

เราคงไม่สามารถพูดถึง ราคาน้ำมัน ใน ตลาดโลก ได้เลย หากไม่กล่าวถึงบทบาทอันทรงอิทธิพลของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรารู้จักกันในนาม OPEC (Organization of the Petroleum Exporting Countries) และกลุ่มพันธมิตรที่เรียกว่า OPEC+ ซึ่งรวมถึงประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างรัสเซีย

กลุ่มประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะ OPEC+ มีความสามารถในการกำหนด ปริมาณน้ำมันดิบ ที่จะเข้าสู่ ตลาดโลก โดยการประชุมเพื่อตกลงร่วมกันว่าจะเพิ่ม ลด หรือคง กำลังการผลิต ในระดับใด การตัดสินใจของ OPEC+ มีผลกระทบอย่างมหาศาลต่ออุปทานน้ำมันใน ตลาดโลก และถือเป็นหนึ่งใน ปัจจัย มหภาคที่สำคัญที่สุดที่กำหนดทิศทางของ ราคาน้ำมันดิบ ในระยะสั้นถึงปานกลาง

หาก OPEC+ ตัดสินใจลด กำลังการผลิต นั่นหมายความว่า ปริมาณน้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก จะลดลง ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ ราคาน้ำมัน ปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากพวกเขาตัดสินใจเพิ่ม กำลังการผลิต หรือไม่สามารถตกลงกันได้ ทำให้สมาชิกบางรายผลิตน้ำมันออกมามากกว่าข้อตกลง ก็จะทำให้มี ปริมาณน้ำมันดิบ ในตลาดมากขึ้น และกดดันให้ ราคาน้ำมัน ปรับตัวลดลง

คุณอาจสงสัยว่า ทำไม OPEC+ ถึงมีอำนาจขนาดนี้? นั่นเป็นเพราะประเทศสมาชิกของ OPEC และ OPEC+ ถือครองสัดส่วน ปริมาณน้ำมันดิบ สำรองและ กำลังการผลิต น้ำมันส่วนใหญ่ของโลก การตัดสินใจร่วมกันของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานใน ตลาดโลก ได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การจับตาดูการประชุมของ OPEC+ และท่าทีของประเทศสมาชิกหลัก เช่น ซาอุดีอาระเบีย จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจใน ราคาน้ำมัน

การประชุมกลุ่ม OPEC เพื่อกำหนดนโยบายราคาน้ำมัน

นอกเหนือจาก ปัจจัย พื้นฐานด้านอุปสงค์ อุปทาน และ ภูมิรัฐศาสตร์ ยังมี ปัจจัย อื่นๆ ที่สร้าง ความผันผวน ให้กับ ราคาน้ำมัน ในระยะสั้นและกลาง หนึ่งในนั้นคือระดับ สต็อกน้ำมัน ดิบและ น้ำมันสำเร็จรูป ในประเทศผู้บริโภครายใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก

รายงานการเปลี่ยนแปลงของระดับ สต็อกน้ำมัน ดิบและ น้ำมันสำเร็จรูป ของ สหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาเป็นรายสัปดาห์ ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์อุปสงค์และอุปทานภายในประเทศ หากระดับ สต็อกน้ำมัน ดิบเพิ่มขึ้น นั่นอาจบ่งชี้ว่า ความต้องการใช้น้ำมัน ใน สหรัฐฯ ลดลง หรือมีการนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งมักจะส่งผลกดดันให้ ราคาน้ำมันดิบ น้ำมัน WTI (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิงของตลาด สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ในทางกลับกัน หากระดับ สต็อกน้ำมัน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ความต้องการใช้น้ำมัน เพิ่มขึ้น หรือ กำลังการผลิต/นำเข้าลดลง ซึ่งมักจะผลักดันให้ ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวสูงขึ้น

นอกจาก สต็อกน้ำมัน แล้ว กิจกรรม การเก็งกำไร ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันก็มีบทบาทสำคัญในการสร้าง ความผันผวน ในระยะสั้นเช่นกัน นักลงทุนและกองทุนต่างๆ อาจเข้าซื้อหรือขายสัญญาล่วงหน้าน้ำมันตามการคาดการณ์ ปัจจัย ต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น หรืออาจเข้าซื้อขายเพื่อทำกำไรจาก ความผันผวน ระยะสั้น การเคลื่อนไหวของเงินลงทุนจำนวนมากในตลาดเหล่านี้สามารถส่งผลต่อ ราคาน้ำมันดิบ ได้ในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์

เราจะเห็นได้ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับ สต็อกน้ำมัน และสถานะของนักลงทุนในตลาดซื้อขายล่วงหน้าจึงเป็นข้อมูลสำคัญที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนใช้ในการประเมินสถานการณ์ ราคาน้ำมัน ในระยะสั้น

ระดับสต็อกน้ำมัน ผลกระทบต่อราคาน้ำมัน
เพิ่มขึ้น แนวโน้มราคาน้ำมันลดลง
ลดลง แนวโน้มราคาน้ำมันสูงขึ้น
คงที่ ราคาน้ำมันคงที่ หรือผันผวนเล็กน้อย

ราคาน้ำมัน ยังมีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์และ ปัจจัย ทางเศรษฐกิจปกติ เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ สภาพอากาศที่รุนแรง หรือแม้แต่ โรคระบาด ใหญ่

ลองนึกถึงผลกระทบของพายุเฮอริเคนในบริเวณอ่าวเม็กซิโกของ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันและที่ตั้งของโรงกลั่นขนาดใหญ่ พายุเหล่านี้สามารถทำให้แท่นขุดเจาะต้องหยุดชะงัก โรงกลั่นต้องปิดตัวลง หรือสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ทำให้ กำลังการผลิต และอุปทานน้ำมันลดลงอย่างกะทันหัน และส่งผลให้ ราคาน้ำมัน ปรับตัวสูงขึ้น

ในทำนองเดียวกัน การแพร่ระบาดของ โรคระบาด อย่างเช่น โควิด-19 ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ ความต้องการใช้น้ำมัน ทั่วโลก เมื่อประเทศต่างๆ ใช้มาตรการล็อกดาวน์ ผู้คนหยุดเดินทาง เครื่องบินหยุดบิน รถยนต์วิ่งน้อยลง ความต้องการใช้น้ำมัน เชื้อเพลิงก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ ราคาน้ำมันดิบ ทรุดตัวลงอย่างหนักในระยะเวลาอันสั้น นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า เหตุการณ์ด้านสาธารณสุขระดับโลกสามารถส่งผลกระทบต่อ ราคาน้ำมัน ได้อย่างไร

นอกจากนี้ ความขัดแย้ง ทางการค้าระหว่างประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น สงครามการค้า ระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน ก็สามารถส่งผลกระทบต่อ ราคาน้ำมัน ได้เช่นกัน เนื่องจาก สงครามการค้า อาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะกระทบต่อ ความต้องการใช้น้ำมัน โดยรวมได้ ดังนั้น การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับภัยพิบัติ โรคระบาด และข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศจึงเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่สำคัญในการวิเคราะห์ ราคาน้ำมัน

เหตุการณ์ ผลกระทบต่อราคาน้ำมัน
พายุเฮอริเคน ลดการผลิตน้ำมัน ส่งผลราคาน้ำมันสูงขึ้น
โรคระบาด ลดความต้องการใช้น้ำมัน ราคาน้ำมันลดลง
สงครามการค้า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันผันผวน

เมื่อพูดถึง ราคาน้ำมัน ใน ตลาดโลก เราต้องทำความเข้าใจว่าการซื้อขายส่วนใหญ่ใช้ เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสกุลเงินหลัก นี่หมายความว่าสำหรับประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมัน ความผันผวนของ อัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างสกุลเงินท้องถิ่นกับ เงินดอลลาร์สหรัฐ มีผลกระทบโดยตรงต่อ ต้นทุน การนำเข้าน้ำมันของประเทศนั้นๆ

คุณลองคิดดูสิครับว่า หากเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ เงินดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่า ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก ที่คิดเป็น เงินดอลลาร์สหรัฐ จะยังคงเดิม หรือปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่เมื่อนำมาคำนวณเป็นเงินบาท ต้นทุน การนำเข้าน้ำมันก็อาจจะสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ ราคาขายปลีก น้ำมันในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงเห็นข่าวที่มักจะอธิบายว่า ราคาน้ำมัน ในประเทศปรับขึ้น แม้ว่า ราคาน้ำมัน ตลาดโลก จะไม่ได้พุ่งขึ้นมากนัก นั่นอาจเป็นเพราะ ปัจจัย ด้าน อัตราแลกเปลี่ยน เข้ามามีบทบาทสำคัญ

ในทางกลับกัน หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ เงินดอลลาร์สหรัฐ ต้นทุน การนำเข้าน้ำมันก็จะลดลง ซึ่งมีส่วนช่วยให้ ราคาขายปลีก น้ำมันในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลง หรืออย่างน้อยก็ไม่ปรับขึ้นมากนัก ดังนั้น ผู้ที่ติดตาม ราคาน้ำมัน ในประเทศจึงจำเป็นต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของ อัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินบาทกับ เงินดอลลาร์สหรัฐ ควบคู่ไปกับ ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก เสมอ

การทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันช่วยอธิบายว่าทำไม ราคาน้ำมัน ในแต่ละประเทศจึงอาจแตกต่างกันไป แม้จะอ้างอิง ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก เดียวกันก็ตาม

ภาพการแสดงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทไทยกับสกุลเงินหลักอื่นๆ

นอกจาก ปัจจัย ตลาดโลก และ อัตราแลกเปลี่ยน แล้ว ราคาน้ำมัน ที่คุณจ่ายเมื่อไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม ยังได้รับผลกระทบอย่างมากจาก นโยบายภาครัฐ ของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ นโยบายอุดหนุน ราคาและภาษี

ในหลายๆ ประเทศ รัฐบาลอาจใช้มาตรการ นโยบายอุดหนุน ราคาขายปลีก น้ำมัน เพื่อลดภาระ ต้นทุน ของประชาชนและภาคธุรกิจ โดยการอุดหนุน ราคาขายปลีก ให้ต่ำกว่า ต้นทุน จริงที่คำนวณจาก ราคาน้ำมัน ตลาดโลก อัตราแลกเปลี่ยน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เมื่อรัฐบาลยกเลิกหรือลดการอุดหนุน ราคาขายปลีก น้ำมันก็จะปรับตัวสูงขึ้นตาม ต้นทุน จริงทันที ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกว่า ราคาน้ำมัน พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจาก นโยบายอุดหนุน แล้ว โครงสร้างภาษีน้ำมันของแต่ละประเทศก็มีผลโดยตรงต่อ ราคาขายปลีก เช่นกัน ในประเทศไทย โครงสร้างราคาขายปลีก น้ำมันประกอบด้วยหลายส่วน ได้แก่ ต้นทุน เนื้อน้ำมันตาม ตลาดโลก ค่าการตลาดของโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมัน และที่สำคัญคือภาษีต่างๆ เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีมหาดไทย และเงินที่ต้องนำส่งเข้ากองทุนต่างๆ เช่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน

เงินที่นำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของ ราคาขายปลีก ในประเทศ เมื่อ ราคาน้ำมัน ใน ตลาดโลก สูงขึ้น กองทุนอาจใช้เงินอุดหนุน ราคาขายปลีก เพื่อไม่ให้ปรับขึ้นสูงเกินไป และเมื่อ ราคาน้ำมัน ตลาดโลก ลดลง กองทุนอาจเก็บเงินเข้ากองทุนมากขึ้นเพื่อสะสมเงินไว้ใช้ในการอุดหนุนในอนาคต กลไกนี้เองที่ทำให้ ราคาขายปลีก น้ำมันในประเทศไทยอาจไม่เปลี่ยนแปลงตาม ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก ทันที หรืออาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของกองทุนและ นโยบายภาครัฐ

ภาพการดำเนินงานของกลุ่ม OPEC ในการควบคุมราคาน้ำมัน

เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไม ราคาน้ำมัน ที่หน้าปั๊มในประเทศไทยจึงมีการปรับขึ้นลงในลักษณะที่เราเห็น เรามาทำความเข้าใจ โครงสร้างราคาขายปลีก น้ำมันในบ้านเราให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิดกันดีกว่า

โดยทั่วไป ราคาขายปลีก น้ำมันต่อลิตร ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ดังนี้:

  • ต้นทุน เนื้อน้ำมัน: นี่คือ ต้นทุน หลัก ซึ่งคำนวณจาก ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ใน ตลาดโลก เช่น ตลาดสิงคโปร์ โดยนำมาแปลงเป็นเงินบาทตาม อัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงเวลานั้นๆ ต้นทุน ส่วนนี้เป็นส่วนที่แปรผันมากที่สุดตาม ราคาน้ำมัน ตลาดโลก และ อัตราแลกเปลี่ยน

  • ภาษีต่างๆ: ส่วนนี้เป็นส่วนที่รัฐเรียกเก็บ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ หรือควบคุมปริมาณการใช้เชื้อเพลิง ประกอบด้วยภาษีสรรพสามิต ภาษีมหาดไทย และอาจมีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีกส่วนหนึ่ง

  • เงินนำส่งเข้ากองทุน: เป็นเงินที่ผู้ค้าน้ำมันต้องนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทำหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพ ราคาขายปลีก โดยเก็บเงินในช่วงที่ ราคาน้ำมัน ตลาดโลก ต่ำ และนำเงินมาอุดหนุนในช่วงที่ ราคาน้ำมัน ตลาดโลก สูง ส่วนกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกและการอนุรักษ์พลังงาน

  • ค่าการตลาด: คือส่วนที่เป็นรายได้ของผู้ค้าน้ำมัน (โรงกลั่น คลังน้ำมัน และสถานีบริการ) เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าขนส่ง และผลกำไร ส่วนนี้เป็นส่วนที่ผู้ค้าน้ำมันสามารถบริหารจัดการได้ภายใต้กรอบที่ภาครัฐกำหนด

จะเห็นได้ว่า แม้ ต้นทุน เนื้อน้ำมันซึ่งอ้างอิง ตลาดโลก จะลดลง แต่หากส่วนอื่นๆ ใน โครงสร้างราคา เช่น ภาษี หรือการนำส่งเข้ากองทุน ไม่ได้ปรับลดลงในสัดส่วนที่เท่ากัน หรือแม้กระทั่งมีการเก็บเงินเข้ากองทุนเพิ่มขึ้นในช่วงนั้น ราคาขายปลีก ที่หน้าปั๊มก็อาจจะไม่ลดลงในทันที หรือลดลงน้อยกว่าที่หลายคนคาดหวัง นี่คือกลไกที่ทำให้ ราคาขายปลีก ในประเทศมีลักษณะเฉพาะและไม่ขึ้นลงตาม ราคาน้ำมันดิบ ตลาดโลก แบบหนึ่งต่อหนึ่ง

การเข้าใจ โครงสร้างราคา นี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมว่า ราคาน้ำมัน ที่เราจ่ายนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง และทำไมจึงมีความแตกต่างจาก ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก

จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมด เราจะเห็นได้ว่า ราคาน้ำมัน ไม่ได้ถูกกำหนดด้วย ปัจจัย เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นผลลัพธ์จากปฏิกิริยาที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันระหว่าง ปัจจัย ต่างๆ เหล่านี้

ลองนึกภาพตามว่า หากเกิด ความขัดแย้ง ทาง ภูมิรัฐศาสตร์ ใน ตะวันออกกลาง สิ่งนี้จะส่งผลโดยตรงต่ออุปทาน น้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก ซึ่งจะไปกระทบต่อ ราคาน้ำมันดิบ เกณฑ์อ้างอิงอย่าง น้ำมัน WTI และ น้ำมันเบรนท์ การเปลี่ยนแปลงของ ราคาน้ำมันดิบ นี้จะส่งผลต่อ ต้นทุน เนื้อน้ำมันสำเร็จรูปใน ตลาดโลก เช่น ที่สิงคโปร์

ต้นทุน เนื้อน้ำมันสำเร็จรูปในสกุล เงินดอลลาร์สหรัฐ นี้จะถูกแปลงเป็นเงินบาทตาม อัตราแลกเปลี่ยน ในขณะนั้นๆ ซึ่งความผันผวนของ อัตราแลกเปลี่ยน ก็เป็นอีกหนึ่ง ปัจจัย ที่เข้ามาซ้อนทับ จากนั้น ต้นทุน ที่เป็นเงินบาทนี้จะถูกนำมาคำนวณรวมกับภาษีต่างๆ เงินนำส่งเข้ากองทุน และค่าการตลาด ภายใต้ โครงสร้างราคาขายปลีก ที่กำหนดโดย นโยบายภาครัฐ

นอกจากนี้ การคาดการณ์ ความต้องการใช้น้ำมัน ทั่วโลกซึ่งได้รับอิทธิพลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ โรคระบาด หรือ สงครามการค้า ก็จะส่งผลย้อนกลับไปกระทบต่อความคาดหวังเกี่ยวกับอุปสงค์ในอนาคต ซึ่งจะไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเรื่อง กำลังการผลิต ของกลุ่ม OPEC+ และพฤติกรรม การเก็งกำไร ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า

เราจะเห็นได้ว่า ทุก ปัจจัย ล้วนเชื่อมโยงกันเป็นวงจร การเปลี่ยนแปลงใน ปัจจัย หนึ่งสามารถส่งผลกระทบลูกโซ่ไปยัง ปัจจัย อื่นๆ และทำให้เกิด ความผันผวน ที่ซับซ้อนของ ราคาน้ำมัน ที่เราเห็นอยู่ในทุกๆ วัน

ดังที่เราได้กล่าวถึงไปแล้ว กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการ ความผันผวน ของ ราคาขายปลีก น้ำมันในประเทศไทย วัตถุประสงค์หลักของกองทุนคือการรักษาเสถียรภาพ ราคาขายปลีก เพื่อไม่ให้กระทบต่อ ต้นทุน การใช้ชีวิตของประชาชนและ ต้นทุน การดำเนินงานของภาคธุรกิจมากเกินไป

เมื่อ ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก และ ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับ อัตราแลกเปลี่ยน ที่ผันผวน ทำให้ ต้นทุน การนำเข้าสูงขึ้น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะใช้เงินที่สะสมไว้เข้ามาชดเชยส่วนต่าง เพื่อให้ ราคาขายปลีก ไม่ต้องปรับขึ้นตาม ต้นทุน ทั้งหมดในทันที เป็นเหมือนการ “ตรึง” ราคาไว้ในระดับหนึ่ง

ในทางกลับกัน เมื่อ ราคาน้ำมัน ใน ตลาดโลก ปรับตัวลดลง และ ต้นทุน การนำเข้าลดลง กองทุนอาจจะยังไม่ปรับลด ราคาขายปลีก ลงในทันที แต่จะเก็บเงินส่วนต่างที่ได้จากการคำนวณ ต้นทุน ที่ลดลงนั้นเข้าสู่กองทุนแทน เพื่อเสริมสภาพคล่องและสร้างเงินสำรองไว้ใช้ในอนาคตเมื่อ ราคาน้ำมัน กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง

กลไกการบริหารจัดการของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนี้เอง ที่อธิบายได้ว่าทำไมบางครั้ง ราคาน้ำมัน ในประเทศจึงไม่ปรับลดลงเร็วเท่ากับที่ ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก ปรับลดลง หรือทำไม ราคาน้ำมัน ในประเทศจึงอาจปรับขึ้นอย่างช้าๆ แม้ ราคาน้ำมัน ตลาดโลก จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการกองทุนก็มีข้อจำกัด หาก ราคาน้ำมัน ตลาดโลก สูงขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เงินในกองทุนก็อาจไม่เพียงพอต่อการอุดหนุน ซึ่งในที่สุดก็จะต้องทยอยปรับเพิ่ม ราคาขายปลีก ขึ้นตาม ต้นทุน ที่แท้จริงอยู่ดี

กลไกการบริหารจัดการ ผลกระทบต่อราคาน้ำมัน
การอุดหนุน ช่วยตรึงราคาน้ำมันไม่ให้ขึ้นสูงเกินไป
การปรับลด ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นตามต้นทุน
การเก็บเงินเข้ากองทุน สะสมเงินไว้ใช้ในการอุดหนุนช่วงราคาน้ำมันสูง

การประกาศราคาน้ำมันรายวัน โดยผู้ค้าน้ำมันในประเทศไทย ซึ่งมักจะประกาศในช่วงเย็นและมีผลในวันถัดไป เป็นการสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของ ปัจจัย ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

แน่นอนว่า ปัจจัย หลักที่ผู้ค้าน้ำมันนำมาพิจารณาในการปรับ ราคาขายปลีก คือการเปลี่ยนแปลงของ ต้นทุน เนื้อน้ำมันสำเร็จรูปใน ตลาดโลก (เช่น ตลาดสิงคโปร์) และการเปลี่ยนแปลงของ อัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินบาทกับ เงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงนโยบายการบริหารจัดการของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ว่าในช่วงนั้น กองทุนมีนโยบายที่จะเก็บเงินเข้ากองทุนหรือนำเงินมาอุดหนุนราคามากน้อยเพียงใด

คุณอาจสังเกตเห็นว่า บางวัน ราคาน้ำมัน ประกาศปรับขึ้น ในขณะที่บางวันปรับลดลง การปรับเปลี่ยนรายวันเช่นนี้สะท้อนถึง ความผันผวน ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องใน ตลาดโลก และการพยายามปรับ ราคาขายปลีก ในประเทศให้สอดคล้องกับ ต้นทุน ที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้กรอบของ นโยบายภาครัฐ และการบริหารจัดการกองทุน

การติดตาม การประกาศราคาน้ำมันรายวัน จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภคและภาคธุรกิจในการวางแผนการใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจ ปัจจัย พื้นฐานที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้เรามองเห็นภาพใหญ่และเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการปรับราคาแต่ละครั้งได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อคุณได้ทำความเข้าใจถึง ปัจจัย ที่ซับซ้อนซึ่งส่งผลต่อ ราคาน้ำมัน ทั้งในระดับ ตลาดโลก และในประเทศแล้ว ความรู้นี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่สำหรับการวางแผนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อีกด้วย

นักลงทุนสามารถใช้ความเข้าใจใน ปัจจัย เหล่านี้ในการวิเคราะห์แนวโน้มของ ราคาน้ำมัน เพื่อพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เช่น หุ้นของบริษัทพลังงาน บริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม บริษัทโรงกลั่น หรือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทางเลือก ซึ่งมักจะมีผลประกอบการที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของ ราคาน้ำมัน

นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังมีเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถซื้อขายเพื่อทำกำไรจาก ความผันผวน ของ ราคาน้ำมันดิบ ได้โดยตรง เช่น สัญญาล่วงหน้า (Futures) หรือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs) ที่อ้างอิงกับ ราคาน้ำมันดิบ น้ำมัน WTI หรือ น้ำมันเบรนท์ การซื้อขายเครื่องมือเหล่านี้ต้องอาศัยความเข้าใจใน ปัจจัย ต่างๆ ที่ส่งผลต่อ ราคาน้ำมันดิบ ใน ตลาดโลก เป็นอย่างดี

หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเริ่มทำการซื้อขายที่เชื่อมโยงกับ ราคาน้ำมัน หรือสำรวจสินค้าประเภท CFDs อื่นๆ ที่หลากหลาย คุณจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มการซื้อขายที่เหมาะสม

ถ้าคุณกำลังพิจารณาเริ่มทำการ เทรดดิ้ง ฟอเร็กซ์ หรือสำรวจสินค้า CFD อื่นๆ เพิ่มเติมแล้วนั้น Moneta Markets เป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจและควรค่าแก่การพิจารณาครับ แพลตฟอร์มนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย และมีสินค้าให้เลือก เทรดดิ้ง กว่า 1000 รายการ ไม่ว่าคุณจะเป็นนัก เทรดดิ้ง มือใหม่หรือมืออาชีพก็สามารถค้นหาตัวเลือกที่เหมาะสมกับตนเองได้

ในการเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขาย Moneta Markets มีความยืดหยุ่นและข้อได้เปรียบทางเทคนิคที่น่าสนใจครับ แพลตฟอร์มรองรับการใช้งานบน MT4, MT5, Pro Trader ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในหมู่นัก เทรดดิ้ง ผสานกับความเร็วในการดำเนินการที่รวดเร็วและการตั้งค่าสเปรดที่ต่ำ ทำให้มอบประสบการณ์การ เทรดดิ้ง ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน

โดยสรุปแล้ว การที่ ราคาน้ำมัน ปรับตัวสูงขึ้น หรือมีความ ความผันผวน อยู่ตลอดเวลานั้น เป็นผลมาจาก ปัจจัย ที่หลากหลายและเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัย พื้นฐานด้านอุปสงค์และอุปทาน สถานการณ์ ภูมิรัฐศาสตร์ ที่เปราะบาง บทบาทของกลุ่มผู้ผลิตอย่าง OPEC+ ระดับ สต็อกน้ำมัน และ การเก็งกำไร ในตลาด เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ภัยพิบัติและ โรคระบาด การเปลี่ยนแปลงของ อัตราแลกเปลี่ยน และสุดท้ายคือ นโยบายภาครัฐ และ โครงสร้างราคาขายปลีก ในประเทศ

ในฐานะผู้บริโภค การเข้าใจ ปัจจัย เหล่านี้ช่วยให้เรายอมรับและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของ ราคาขายปลีก น้ำมันได้ดียิ่งขึ้น และอาจกระตุ้นให้เราพิจารณาการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับนักลงทุน การทำความเข้าใจกลไกที่อยู่เบื้องหลัง ราคาน้ำมัน ถือเป็นความรู้ที่มีมูลค่าสูง เพราะช่วยให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้ม คาดการณ์ความเคลื่อนไหว และมองหาโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับภาคพลังงานได้อย่างชาญฉลาด

เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทางการลงทุน หรือผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจ ราคาน้ำมัน ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ได้เห็นภาพรวมของ ปัจจัย ที่สำคัญทั้งหมด และสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจของตนเองได้อย่างมั่นใจมากขึ้นครับ.

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับน้ํามันขึ้นราคา เพราะ

Q:สถานการณ์ใดบ้างที่มีผลต่อราคาน้ำมัน?

A:มีหลากหลายปัจจัย เช่น ความต้องการใช้น้ำมัน ระดับสต็อกน้ำมัน ภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายภาครัฐ

Q:การลงทุนในน้ำมันเหมาะสมหรือไม่?

A:การลงทุนในน้ำมันมีความเสี่ยง แต่สามารถสร้างโอกาสที่ดีได้ถ้าทำการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ

Q:ราคาน้ำมันในประเทศจะขึ้นลงตามราคาในตลาดโลกหรือไม่?

A:ราคาน้ำมันในประเทศไม่จำเป็นต้องปรับตามราคาในตลาดโลกอย่างรวดเร็ว อาจมีการอุดหนุนหรือเก็บเข้ากองทุนเพื่อคงเสถียรภาพ

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *