บอนด์ยีลด์ คืออะไร พร้อมแนวโน้มการลงทุนในปี 2025

Table of Contents

ทำความรู้จัก “บอนด์ยีลด์” สัญญาณเศรษฐกิจที่นักลงทุนต้องจับตา

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หากคุณติดตามข่าวสารด้านการลงทุนหรือเศรษฐกิจ คุณน่าจะได้ยินคำว่า “บอนด์ยีลด์” (Bond Yield) ปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง และมักถูกเชื่อมโยงกับการปรับตัวของตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ ทำไมคำๆ นี้จึงมีความสำคัญ และบอกอะไรกับเราได้บ้าง? บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจแก่นแท้ของบอนด์ยีลด์ กลไกที่ซับซ้อนแต่สำคัญ และวิธีที่เราในฐานะนักลงทุนจะใช้ข้อมูลนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจในสภาวะตลาดที่ผันผวน

ในการทำความเข้าใจบอนด์ยีลด์ นี่คือข้อมูลพื้นฐานที่ควรรู้:

  • บอนด์ยีลด์คือดอกเบี้ยที่นักลงทุนจะได้รับจากพันธบัตร
  • ราคาของพันธบัตรและบอนด์ยีลด์มีความสัมพันธ์ที่ผกผันกัน
  • บอนด์ยีลด์สามารถบ่งบอกถึงสถานการณ์ทางการเงินในประเทศได้

บอนด์ยีลด์ คืออะไร? ความสัมพันธ์ที่ต้องเข้าใจ

หัวใจสำคัญอย่างแรกที่เราต้องทำความเข้าใจคือ บอนด์ยีลด์ คืออัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนได้รับจากการถือครองพันธบัตร หรือตราสารหนี้ชนิดหนึ่ง คุณอาจมองว่าพันธบัตรก็เหมือนสัญญาเงินกู้ที่เรา (ในฐานะผู้ซื้อพันธบัตร) ให้รัฐบาลหรือบริษัท (ผู้ออกพันธบัตร) ยืมเงิน และพวกเขาจะจ่ายดอกเบี้ยให้เราเป็นงวดๆ พร้อมคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด แต่สิ่งที่ทำให้บอนด์ยีลด์ซับซ้อนขึ้นมา คือมันไม่ได้เป็นเพียงอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วเสมอไป

บอนด์ยีลด์จริงๆ แล้วสะท้อนถึงผลตอบแทนทั้งหมดที่คุณจะได้รับหากถือพันธบัตรนั้นจนครบกำหนด โดยคำนวณจากราคาตลาดปัจจุบันของพันธบัตรนั้นๆ ลองนึกภาพตามนะครับ: พันธบัตรถูกออกขายครั้งแรกที่ราคา 100 บาท มีอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว 5% ต่อปี ถ้าคุณซื้อที่ราคานี้ บอนด์ยีลด์เริ่มต้นก็คือ 5% แต่พันธบัตรสามารถถูกซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดรองได้ และนี่คือจุดที่ความสัมพันธ์ระหว่าง บอนด์ยีลด์กับราคาพันธบัตร ปรากฏขึ้นชัดเจน

ภาพแสดงกราฟบอนด์ยีลด์ที่อนาคต

บอนด์ยีลด์และราคาพันธบัตรมีความสัมพันธ์แบบผกผัน หรือเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามเสมอ หากราคาพันธบัตรในตลาดลดลง (เช่น จาก 100 เหลือ 90 บาท) แต่พันธบัตรยังคงจ่ายดอกเบี้ยเท่าเดิมและจะคืนเงินต้น 100 บาทเมื่อครบกำหนด นั่นหมายความว่า หากคุณซื้อพันธบัตรนั้นที่ราคา 90 บาท คุณจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าเดิม (ทั้งจากดอกเบี้ยและส่วนต่างของราคาที่เพิ่มขึ้นเมื่อครบกำหนด) ดังนั้น บอนด์ยีลด์จะสูงขึ้นในทางกลับกัน หากราคาพันธบัตรในตลาดเพิ่มขึ้น (เช่น จาก 100 เป็น 110 บาท) บอนด์ยีลด์ก็จะลดลง เพราะผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่สูงขึ้นนั้นต่ำลง

สถานการณ์ ผลกระทบต่อบอนด์ยีลด์
ราคาพันธบัตรลดลง บอนด์ยีลด์สูงขึ้น
ราคาพันธบัตรเพิ่มขึ้น บอนด์ยีลด์ต่ำลง

ทำไมบอนด์ยีลด์ที่พุ่งสูงขึ้นจึงได้รับความสนใจ?

บอนด์ยีลด์มักจะกลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมัน พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์นี้มักเกิดขึ้นเมื่อมีแรงเทขายในตลาดพันธบัตรจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาพันธบัตรลดลง และบอนด์ยีลด์ซึ่งสวนทางกับราคาจึงปรับตัวขึ้น

กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงของบอนด์ยีลด์

แล้วทำไมการพุ่งขึ้นของบอนด์ยีลด์ถึงสำคัญล่ะ? เพราะบอนด์ยีลด์ถือเป็น สัญญาณสำคัญที่สะท้อนมุมมองของตลาดต่อภาวะเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบอนด์ยีลด์ของพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่นอายุ 10 ปี ซึ่งถือเป็นพันธบัตรอ้างอิงสำคัญของโลก ยีลด์ของพันธบัตรนี้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะมันส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมทั่วโลก และเป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)

เมื่อบอนด์ยีลด์พุ่ง: ผลกระทบต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ

เมื่อบอนด์ยีลด์ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ปรับตัวสูงขึ้น มักส่งผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์อื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวลดลง

กลไกเบื้องหลังคืออะไร?

  • ความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: บอนด์ยีลด์ที่สูงขึ้นมักบ่งชี้ว่าตลาดมีความกังวลว่าธนาคารกลาง (เช่น Fed) อาจจำเป็นต้อง ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
  • ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทสูงขึ้น: เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของภาคธุรกิจก็สูงขึ้นตามไปด้วย สิ่งนี้จะไป บั่นทอนการขยายตัวของกำไรบริษัท ทำให้ความน่าสนใจของหุ้นในสายตาของนักลงทุนลดลง
  • ตราสารหนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น: ในขณะที่บอนด์ยีลด์สูงขึ้น นั่นหมายความว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้น ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า ในสภาวะเช่นนี้ นักลงทุนอาจเลือกโยกย้ายเงินทุนจากตลาดหุ้นไปยังตลาดตราสารหนี้เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากสินทรัพย์ที่เดิมถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า

นักลงทุนกำลังวิเคราะห์ข้อมูลตลาดพันธบัตร

สรุปคือ การพุ่งขึ้นของบอนด์ยีลด์เป็นสัญญาณเตือนว่าต้นทุนทางการเงินกำลังสูงขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทในระยะสั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นมักจะตอบสนองในเชิงลบ

ปัจจัยขับเคลื่อนบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่สำคัญ

เราได้พูดถึงบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ว่าเป็นพันธบัตรอ้างอิงสำคัญของโลก อะไรคือปัจจัยหลักที่ทำให้ยีลด์ของมันปรับตัวขึ้นลง? ในช่วงที่ผ่านมา มีหลายปัจจัยที่ผลักดันให้บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) อย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกับภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายการเงิน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ได้แก่:

  • การเร่งตัวของเงินเฟ้อ: เมื่อราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่า เงินเฟ้อ นักลงทุนที่ถือพันธบัตรจะรู้สึกว่าอำนาจซื้อของเงินที่จะได้รับคืนในอนาคตลดลง พวกเขาจึงต้องการผลตอบแทน (ยีลด์) ที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยกับเงินเฟ้อที่กัดเซาะมูลค่า นอกจากนี้ เงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังเป็นแรงกดดันให้ Fed ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งการคาดการณ์ถึงการขึ้นดอกเบี้ยนี้เองที่ผลักดันให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวขึ้น ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวในช่วงที่ผ่านมา เช่น ราคาน้ำมัน ที่ปรับขึ้น (ส่วนหนึ่งจากนโยบายการผลิตของกลุ่ม โอเปคพลัส)
  • การใช้จ่ายผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง: หากผู้บริโภคยังคงมีการใช้จ่ายในระดับสูง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ การใช้จ่ายนี้อาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น เงินเยียวยา หรือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากภาครัฐ การใช้จ่ายที่แข็งแกร่งเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่เติบโต และอาจทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันเศรษฐกิจที่ “ร้อนแรง” เกินไป
  • ราคาที่อยู่อาศัยที่พุ่งขึ้น: ตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ เมื่อ ราคาที่อยู่อาศัย ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงอุปสงค์ที่สูงและอาจมีปัญหา อุปทานขาดแคลน นอกจากนี้ ปัจจัยอย่างการทำงานแบบ Work From Home (WFH) ที่ทำให้คนต้องการพื้นที่มากขึ้น หรือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำ ในช่วงก่อนหน้า ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้น ซึ่งสภาวะนี้ก็เป็นอีกสัญญาณที่ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะต้องรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรง

ภาพแสดงปัจจัยที่มีผลต่อบอนด์ยีลด์

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกันและส่งผลต่อการคาดการณ์ของตลาดเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินของ Fed ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดทิศทางของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ

เจาะลึกมุมมองต่อปัจจัยขับเคลื่อนบอนด์ยีลด์: ภาพลวงตาหรือไม่?

แม้ปัจจัยข้างต้นจะดูเหมือนบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งจน Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง แต่ก็มีมุมมองที่แตกต่างออกไปว่า ปัจจัยบางอย่างอาจเป็นเพียง “ภาพลวงตา” ที่ไม่ได้สะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น:

  • เงินเฟ้ออาจเกิดจากต้นทุน ไม่ใช่ดีมานด์ที่แท้จริง: เงินเฟ้อส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่ ราคาน้ำมัน หรือต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ซึ่งเป็น เงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุน (Cost-Push Inflation) ไม่ใช่จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากการที่ผู้บริโภคมีรายได้หลักเพิ่มขึ้นจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดดีมานด์อาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การใช้จ่ายอาจมาจากปัจจัยชั่วคราว: การใช้จ่ายผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง อาจเป็นผลมาจาก เงินเยียวยา หรือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เป็นสิ่งชั่วคราว ไม่ใช่การเพิ่มขึ้นของรายได้ประจำ การใช้จ่ายที่มาจากปัจจัยชั่วคราวนี้อาจชะลอตัวลงได้เมื่อมาตรการเหล่านั้นหมดลง
  • ตลาดที่อยู่อาศัยต้องใช้เวลาปรับสมดุล: แม้ราคาที่อยู่อาศัยจะพุ่งสูงขึ้น แต่การแก้ไขปัญหา อุปทานขาดแคลน ต้องใช้เวลาในการก่อสร้างและพัฒนา การขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วอาจทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัวลง แต่ไม่ได้แก้ปัญหาอุปทานได้ในทันที และอาจสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมาได้

มุมมองเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจมีความซับซ้อน และปัจจัยที่ผลักดันบอนด์ยีลด์อาจไม่ได้เป็นสัญญาณเชิงบวกเสมอไป การพุ่งขึ้นของบอนด์ยีลด์อาจสะท้อนความกังวลต่อเงินเฟ้อที่ควบคุมได้ยาก และความเสี่ยงที่ Fed จะต้องใช้นโยบายที่เข้มงวดจนเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต

ภาพรวมและโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ปัจจุบัน

จากที่กล่าวมาข้างต้น บอนด์ยีลด์ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น นับเป็นสภาวะที่ไม่ดีต่อตลาดพันธบัตรในระยะสั้น เพราะราคาพันธบัตรเดิมที่ให้ยีลด์ต่ำกว่าจะปรับตัวลดลง ทำให้ผู้ถือพันธบัตรรายเดิมขาดทุนจากราคา (Price Loss) อย่างไรก็ตาม แม้ผลตอบแทนในอดีตจะไม่สดใสนัก แต่ตลาดตราสารหนี้ในปัจจุบันก็ยังมีบทบาทสำคัญและอาจเป็นโอกาสในการลงทุนสำหรับอนาคต

บทบาทของตราสารหนี้:

  • การกระจายความเสี่ยง: ตราสารหนี้มักมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่น หุ้น ในทิศทางที่แตกต่างกัน การมีตราสารหนี้ในพอร์ตลงทุนช่วยลดความผันผวนโดยรวมได้
  • ป้องกันความเสี่ยง: ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือเกิดวิกฤต ตราสารหนี้คุณภาพสูง เช่น พันธบัตรรัฐบาล มักจะมีราคาสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองหาแหล่งพักเงินที่ปลอดภัย
  • โอกาสรับผลตอบแทนในอนาคต: แม้ยีลด์ปัจจุบันจะสูง แต่หากตลาดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงในอนาคต การลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวในตอนนี้ที่ยีลด์สูง อาจสร้างกำไรจากราคาพันธบัตรที่จะปรับตัวขึ้นเมื่อดอกเบี้ยลดลงได้

ภาพแสดงโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้

สถานะของตลาดตราสารหนี้จึงเป็นภาพที่ซับซ้อน คือเผชิญแรงกดดันระยะสั้นจากยีลด์ที่สูงขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยง และอาจเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวหากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง

การคาดการณ์และแนวโน้มในอนาคต

นักลงทุนสถาบันและผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่มองว่า แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยน่าจะมีการปรับลดลงในอนาคต แม้ว่า Fed อาจจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานกว่าที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ (Higher for Longer) ในช่วงสั้นๆ ก็ตาม มุมมองนี้อิงจากการคาดการณ์ว่า เงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัวลง และการเติบโตของเศรษฐกิจอาจไม่แข็งแกร่งเท่าที่เห็นจากปัจจัยบางอย่าง

ตัวอย่างเช่น Daniel Ivascyn จาก PIMCO ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้รายใหญ่ของโลก ก็มีมุมมองว่า แม้บอนด์ยีลด์จะปรับตัวขึ้น แต่ก็มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะลดลงในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตลาดตราสารหนี้ แต่เขาก็เน้นย้ำว่า ตลาดอาจยังมีความผันผวนสูง เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเส้นทางการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม

ดังนั้น การคาดการณ์ในอนาคตคือยีลด์พันธบัตรระยะยาวอาจมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงหรือปรับตัวลงเล็กน้อย หากการคาดการณ์เรื่องการลดดอกเบี้ยของ Fed มีน้ำหนักมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเศรษฐกิจหรือท่าทีของธนาคารกลาง

กลยุทธ์การลงทุนในสภาวะบอนด์ยีลด์สูง

ในเมื่อตลาดตราสารหนี้มีความท้าทายจากบอนด์ยีลด์ที่สูงในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีโอกาสในอนาคต คุณในฐานะนักลงทุนควรพิจารณาปรับกลยุทธ์อย่างไร?

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การกระจายการลงทุน (Diversification) การไม่พึ่งพาแต่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ โดยเฉพาะในตลาดที่ผันผวน นอกจากนี้ การบริหารจัดการความเสี่ยงด้าน “Duration” ของตราสารหนี้ก็มีความสำคัญเช่นกัน

  • สำหรับสถานการณ์ที่ Fed อาจคงดอกเบี้ยสูงนานกว่าคาด: คุณอาจพิจารณาลงทุนใน ตราสารหนี้ระยะสั้น (Short-Duration Bonds) หรือกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาที่จะลดลงเมื่อยีลด์ระยะยาวยังคงปรับขึ้น ตราสารหนี้ระยะสั้นมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าตราสารหนี้ระยะยาว
  • สำหรับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในอนาคต: หากคุณเชื่อมั่นว่า Fed จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระยะเวลาอันใกล้นี้ การลงทุนใน ตราสารหนี้ระยะยาว (Long-Duration Bonds) ในช่วงที่ยีลด์ยังอยู่ในระดับสูง อาจเป็นโอกาสในการล็อกอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจ และมีโอกาสได้รับผลกำไรจากราคาพันธบัตรที่จะสูงขึ้นเมื่อดอกเบี้ยลดลง
กลยุทธ์การลงทุน สถานการณ์
ตราสารหนี้ระยะสั้น Fed คงดอกเบี้ยสูงนาน
ตราสารหนี้ระยะยาว Fed อาจลดดอกเบี้ยในอนาคต

ดังนั้น กลยุทธ์ที่ดีคือการรักษาสมดุลในการลงทุน อาจแบ่งสัดส่วนระหว่างตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรับมือได้ทั้งสองสถานการณ์ และพิจารณาประเภทของตราสารหนี้ที่น่าสนใจ

สินทรัพย์ที่น่าสนใจในตลาดตราสารหนี้ (และสินทรัพย์อื่นๆ)

นอกจากพันธบัตรรัฐบาลแล้ว ตลาดตราสารหนี้ยังมีสินทรัพย์อีกหลายประเภทที่คุณสามารถพิจารณาลงทุนได้ ผู้จัดการกองทุนบางรายมองเห็นโอกาสในสินทรัพย์เหล่านี้:

  • Mortgage-Backed Securities (MBS): ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน อาจเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เนื่องจากโครงสร้างและความสัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างจากพันธบัตรรัฐบาลทั่วไป
  • Emerging-Markets Debt (ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่): หากตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ย และส่งผลให้ ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่าลง ตราสารหนี้ที่ออกโดยประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งมักเป็นหนี้สกุลเงินดอลลาร์ หรือหนี้สกุลท้องถิ่นของประเทศเหล่านี้ที่ได้อานิสงส์จากดอลลาร์อ่อนค่า อาจมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น
  • Corporate Bond สหรัฐฯ (ตราสารหนี้ภาคเอกชนสหรัฐฯ): ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนในสหรัฐฯ อาจยังไม่น่าสนใจนักเมื่อเทียบกับความเสี่ยง โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท

นอกจากนี้ ในฐานะนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปสู่สินทรัพย์อื่นๆ คุณอาจพิจารณาถึงโอกาสในการเทรดสินทรัพย์ที่หลากหลายในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่ การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (Forex Trading) ซึ่งเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและเปิดโอกาสให้เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน

ถ้าคุณกำลังพิจารณาที่จะเริ่ม การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือสำรวจสินค้าสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) อื่นๆ ที่หลากหลาย Moneta Markets เป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจในการพิจารณา มันมาจากประเทศออสเตรเลีย และมีสินค้าการเงินให้เลือกมากกว่า 1000 รายการ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือนักเทรดมืออาชีพก็สามารถค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้

ข้อควรพิจารณาสำหรับนักลงทุน: ประเมินความเสี่ยงและเลือกสิ่งที่เหมาะสม

ตลาดการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่ปัจจัยต่างๆ เช่น บอนด์ยีลด์ มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ย่อมมีความ ผันผวน และ ความเสี่ยง เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ในฐานะนักลงทุน สิ่งสำคัญคือคุณต้องประเมิน ความสามารถในการรับความผันผวนและความเสี่ยง ของตัวคุณเอง ก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ

  • คุณเข้าใจสินทรัพย์ที่คุณกำลังจะลงทุนดีพอหรือไม่?
  • คุณยอมรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ในระดับใด?
  • ระยะเวลาการลงทุนของคุณเป็นอย่างไร?

คำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกสินทรัพย์และกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของคุณ การลงทุนในตราสารหนี้ แม้จะถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นในภาพรวม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา เช่น ความเสี่ยงด้านเครดิต (บริษัท/รัฐบาลอาจผิดนัดชำระหนี้) หรือความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (ราคาพันธบัตรลดลงเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น)

ในการเลือก แพลตฟอร์มการซื้อขาย สำหรับสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณสนใจ การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือ CFD การพิจารณาถึงปัจจัยด้านกฎระเบียบ ความปลอดภัยของเงินทุน และเครื่องมือที่แพลตฟอร์มมีให้ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ที่มีมาตรการกำกับดูแลและสามารถซื้อขายได้ทั่วโลก Moneta Markets มีใบอนุญาตกำกับดูแลจากหน่วยงานหลายประเทศ เช่น FSCA, ASIC, FSA และยังมีการแยกบัญชีเงินทุนของลูกค้าไว้กับสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ (funding trust) รวมถึงมีบริการอื่นๆ เช่น VPS ฟรี และฝ่ายบริการลูกค้าภาษาไทยตลอด 24/7 ถือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักเทรดหลายราย

สรุป: บอนด์ยีลด์ ตัวชี้วัดสำคัญสู่การลงทุนอย่างเข้าใจ

บอนด์ยีลด์ ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางเทคนิค แต่เป็นหนึ่งในดัชนีที่สำคัญที่สุดที่สะท้อนมุมมองของตลาดต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ย นโยบายการเงิน และภาวะเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจกลไกความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างบอนด์ยีลด์กับราคาพันธบัตร รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่ขับเคลื่อนบอนด์ยีลด์ (โดยเฉพาะของสหรัฐฯ) จะช่วยให้คุณสามารถอ่านสัญญาณจากตลาดและประเมินสถานการณ์ได้อย่างรอบด้านมากขึ้น

แม้ว่าบอนด์ยีลด์ที่สูงขึ้นในปัจจุบันอาจเป็นความท้าทายสำหรับนักลงทุนตราสารหนี้ในระยะสั้น แต่ก็เป็นโอกาสให้ได้พิจารณากลยุทธ์การลงทุนใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกระจายความเสี่ยง การบริหารจัดการ Duration หรือการมองหาสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ การมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะยาว

จำไว้ว่า การลงทุนที่ดีเริ่มต้นจากการศึกษาและทำความเข้าใจ เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการเดินทางสู่การเป็นนักลงทุนที่รอบรู้และประสบความสำเร็จของคุณนะครับ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับbond yield คือ

Q:บอนด์ยีลด์คืออะไร?

A:บอนด์ยีลด์คืออัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากการถือครองพันธบัตร

Q:ทำไมบอนด์ยีลด์ถึงสำคัญ?

A:บอนด์ยีลด์สามารถบ่งบอกถึงสัญญาณทางเศรษฐกิจและเป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของตลาดต่ออัตราดอกเบี้ยในอนาคต

Q:บอนด์ยีลด์และราคาพันธบัตรเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

A:บอนด์ยีลด์และราคาพันธบัตรมีความสัมพันธ์ที่ผกผันกัน; เมื่อราคาพันธบัตรลด บอนด์ยีลด์จะสูงขึ้นและในทางกลับกัน

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *