สาเหตุของภาวะเงินฝืด: วิเคราะห์สาเหตุ ผลกระทบและทางออกในปี 2025

Table of Contents

ไขปริศนา “ภาวะเงินฝืด”: สาเหตุหลัก ผลกระทบ และทางออกสำหรับเศรษฐกิจไทยและโลก

สวัสดีครับ นักลงทุนและผู้ที่สนใจทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่บทความเชิงลึกที่เราจะมาทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญไม่แพ้ภาวะเงินเฟ้อ นั่นคือ ภาวะเงินฝืด (Deflation) นั่นเองครับ

หลายครั้งที่เราพูดถึงภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งคือสภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปปรับตัวสูงขึ้น แต่ภาวะเงินฝืดกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง มันคือสภาวะที่ ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

คุณอาจคิดว่า “ราคาสินค้าถูกลงก็ดีสิ?” ในระยะสั้นอาจใช่ครับ แต่ในระยะยาว ภาวะเงินฝืดสามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้ ซึ่งเราจะได้ลงรายละเอียดกันในบทความนี้

  • การเข้าใจภาวะเงินฝืดมีความสำคัญสำหรับนักลงทุน
  • ต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวในเศรษฐกิจโลก
  • บทความนี้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนและการวางแผนการเงิน

ในฐานะผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจกลไกทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อการลงทุน เราเชื่อว่าการทำความเข้าใจภาวะเงินฝืดอย่างถ่องแท้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบางประเทศกำลังเผชิญความเสี่ยงหรืออยู่ในภาวะเงินฝืดจริง ๆ และประเทศไทยเองก็มีสัญญาณบางอย่างที่น่าจับตามอง

ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกตั้งแต่พื้นฐานว่าภาวะเงินฝืดคืออะไร มีเกณฑ์การพิจารณาอย่างไร สาเหตุหลัก ๆ มาจากปัจจัยใดบ้าง ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ทั้งต่อตัวคุณ ภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงแนวทางที่รัฐบาลและธนาคารกลางใช้ในการแก้ไขปัญหา และบทเรียนที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากตัวอย่างจริงในประเทศต่าง ๆ เช่น จีนและญี่ปุ่น พร้อมทั้งแนะนำแนวทางการรับมือและการลงทุนในช่วงภาวะเงินฝืด

เรามาเริ่มการเดินทางทำความเข้าใจภาวะเงินฝืดไปด้วยกันเลยครับ

นิยามและเกณฑ์บ่งชี้ภาวะเงินฝืด: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเงินฝืดมาถึงแล้ว?

ก่อนที่เราจะไปถึงสาเหตุ เราต้องรู้ก่อนว่า “ภาวะเงินฝืด” หมายถึงอะไร และเราจะสังเกตเห็นมันได้อย่างไร

ตามนิยามที่เข้าใจง่ายที่สุด ภาวะเงินฝืดคือสภาวะที่ระดับราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงข้ามกับภาวะเงินเฟ้อที่ราคาสูงขึ้น

คำว่า “อย่างต่อเนื่อง” เป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะการที่ราคาสินค้าบางอย่างลดลงชั่วคราวหรือตามฤดูกาล ไม่ถือว่าเป็นภาวะเงินฝืดโดยรวม

นักเศรษฐศาสตร์และธนาคารกลางมีเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นในการประกาศว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดอย่างเป็นทางการ ตัวอย่างเช่น ตามนิยามของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ภาวะเงินฝืดต้องมีคุณสมบัติหลักๆ ดังนี้

คุณสมบัติ รายละเอียด
อัตราเงินเฟ้อติดลบเป็นระยะเวลานาน ตัวชี้วัดหลักอย่างดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือตัวหักลบเงินเฟ้อของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP Deflator) ต้องแสดงค่าติดลบและแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่เดือนสองเดือน
อัตราเงินเฟ้อติดลบกระจายในหลายหมวดสินค้า/บริการ การที่ราคาลดลงต้องเกิดขึ้นในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ในสินค้าหรือบริการบางกลุ่ม เช่น ราคาพลังงานลดลงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวต่ำกว่าเป้าหมาย ความคาดหวังของประชาชนและภาคธุรกิจต่อการเปลี่ยนแปลงราคาในอนาคตก็มีบทบาทสำคัญ
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบและอัตราว่างงานสูงขึ้น ภาวะเงินฝืดมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่อ่อนแอ การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลดลงหรือติดลบ

เราอาจเคยได้ยินคำว่า “ภาวะเงินฝืดทางเทคนิค” ในบริบทของประเทศไทย ซึ่งอาจหมายถึงสถานการณ์ที่กำลังซื้อของประชาชนหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าตัวเลข CPI โดยรวมอาจยังไม่ติดลบต่อเนื่องตามเกณฑ์สากล แต่สัญญาณเช่น ยอดปฏิเสธสินเชื่อที่พุ่งสูงขึ้น ก็บ่งชี้ถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในกำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งเป็นความเปราะบางที่สำคัญและอาจนำไปสู่ความเสี่ยงเงินฝืดได้หากไม่ได้รับการแก้ไข

ดังนั้น การพิจารณาว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญภาวะเงินฝืดหรือไม่ ต้องดูจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งตัวเลขราคา แนวโน้ม ความคาดหวัง และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมครับ

วิเคราะห์หลากหลายสาเหตุหลักที่นำพาเศรษฐกิจสู่ภาวะเงินฝืด

ภาวะเงินฝืดไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่มีรากฐานมาจากปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลระหว่างอุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) และอุปทาน (ปริมาณสินค้า/บริการ) ในระบบเศรษฐกิจ โดยหลักแล้ว สาเหตุของภาวะเงินฝืดสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่มดังนี้ครับ

สาเหตุจากด้านอุปสงค์ที่หดตัว (Demand-Side Deflation)

นี่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดและมีความสำคัญอย่างยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจซบเซา เมื่อประชาชนและภาคธุรกิจลดการใช้จ่ายลง ความต้องการสินค้าและบริการโดยรวมก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งเมื่ออุปสงค์น้อยกว่าปริมาณสินค้าที่มีอยู่ ผู้ขายจำเป็นต้องลดราคาเพื่อจูงใจให้เกิดการซื้อ

ทำไมอุปสงค์ถึงหดตัวล่ะ?

  • ผู้บริโภคไม่กล้าใช้จ่าย/ชะลอการใช้จ่าย: ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน มีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต การจ้างงาน หรือภาระหนี้สิน ประชาชนมักจะเลือกที่จะออมเงินมากขึ้นและลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง

  • ความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลง: เมื่อธุรกิจเห็นว่ายอดขายลดลงและมีความไม่แน่นอนสูง พวกเขาจะลดการลงทุนใหม่ๆ ลดการขยายกิจการ และอาจถึงขั้นลดการผลิตและปลดพนักงาน

  • การชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์: ในประเทศที่ภาคอสังหาริมทรัพย์มีขนาดใหญ่และเชื่อมโยงกับการกู้ยืมของประชาชน เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ราคาบ้านลดลง ประชาชนจะรู้สึกว่าความมั่งคั่งลดลง

ลองนึกภาพว่าทุกคนในหมู่บ้านพร้อมใจกันงดซื้อของที่ไม่จำเป็น เพราะไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีงานทำอยู่ไหม ร้านค้าก็ต้องลดราคาเพื่อระบายสินค้าใช่ไหมครับ นั่นคือภาพอย่างง่ายของภาวะเงินฝืดจากอุปสงค์ที่หดตัว

สาเหตุจากปริมาณเงินหรือสินเชื่อในระบบไม่เพียงพอ (Money Supply Contraction)

ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมีผลโดยตรงต่อระดับราคา เมื่อปริมาณเงินหรือสินเชื่อในระบบลดลง หรือเติบโตช้ากว่าการเติบโตของสินค้าและบริการ ก็จะเกิดแรงกดดันให้ราคาสินค้าและบริการลดลงได้

ปัจจัยที่ทำให้ปริมาณเงินในระบบลดลง ได้แก่:

  • ธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด: หากธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ การกู้ยืมจะยากขึ้นและแพงขึ้น

  • ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อน้อยลง: หากธนาคารพาณิชย์มีความกังวลต่อความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ สภาพคล่องก็จะยังคงจำกัดอยู่ในระบบธนาคาร

  • เงินทุนไหลออกนอกประเทศมากเกินไป: หากมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจำนวนมากออกไปลงทุนในต่างประเทศ เงินที่จะนำมาใช้จ่ายหรือลงทุนภายในประเทศก็จะลดน้อยลง

  • เงินออมในระบบลดลงหรือเปลี่ยนรูปแบบ: หากประชาชนเลือกที่จะเก็บออมเงินสดไว้กับตัวจำนวนมาก แทนที่จะนำไปฝากธนาคารหรือลงทุนผ่านช่องทางอื่น

หากเปรียบระบบเศรษฐกิจเป็นร่างกาย ปริมาณเงินก็เหมือนเลือด หากเลือดหมุนเวียนไม่พอ อวัยวะต่างๆ ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะชะลอตัว และราคาก็มีแนวโน้มลดลงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ

สาเหตุจากด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้น หรือต้นทุนลดลง (Supply-Side Deflation)

ในบางกรณี ภาวะเงินฝืดอาจเกิดจากปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งมักเป็นสัญญาณที่ดีกว่าเงินฝืดจากด้านอุปสงค์ที่หดตัว สาเหตุในกลุ่มนี้ได้แก่:

  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ๆ มักช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมหาศาล

  • การแข่งขันระดับโลกที่เพิ่มขึ้น: การเปิดเสรีทางการค้าและการขนส่งที่รวดเร็วขึ้น ทำให้สินค้าจากประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำสามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดได้มากขึ้น

  • ผลิตเกินกำลัง (Overcapacity): ในบางอุตสาหกรรม อาจเกิดภาวะที่ความสามารถในการผลิตมากกว่าความต้องการซื้อในตลาด

แม้ว่าเงินฝืดจากสาเหตุเหล่านี้จะดีกว่าเงินฝืดจากอุปสงค์ที่หดตัว แต่หากเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ก็ยังคงสร้างปัญหาให้กับธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวลดต้นทุนได้เร็วพอ และอาจนำไปสู่การเลิกจ้างงานได้เช่นกัน

สาเหตุจากนโยบายของรัฐบาล (Policy-Induced Deflation)

นโยบายของรัฐบาลและธนาคารกลางอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเงินฝืดได้เช่นกัน หากนโยบายนั้นไม่เหมาะสมหรือไม่ได้รับการสื่อสารที่ดีพอ

  • นโยบายการเงินที่เข้มงวดเกินไป: การขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไป อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและเกิดภาวะเงินฝืดได้

  • นโยบายการคลังที่เข้มงวดเกินไป: หากรัฐบาลลดการใช้จ่ายภาครัฐลงอย่างมาก จะลดกำลังซื้อของประชาชนและภาคธุรกิจโดยตรง

  • การบริหารจัดการหนี้สาธารณะ: ในบางกรณี รัฐบาลอาจต้องลดการใช้จ่ายเพื่อควบคุมหนี้สาธารณะ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและการคาดการณ์ที่แม่นยำ เพราะผลกระทบอาจเกิดขึ้นในวงกว้างและซับซ้อน

ผลกระทบลูกโซ่ของภาวะเงินฝืดต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชน: ทำไมเงินฝืดถึงน่ากลัวกว่าที่คิด?

ในตอนแรก เราอาจมองว่าการที่ราคาสินค้าถูกลงเป็นเรื่องที่ดี เพราะเงิน 100 บาทของเราสามารถซื้อสินค้าได้มากขึ้นในวันนี้ แต่ปัญหาคือ ภาวะเงินฝืดไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น มันสร้างวัฏจักรเชิงลบที่ทำลายความมั่งคั่งและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในวงกว้าง

ลองมาดูผลกระทบที่สำคัญกันครับ

  • กำไรของธุรกิจลดลง: เมื่อราคาสินค้าลดลง ธุรกิจที่ผลิตสินค้าหรือให้บริการนั้นๆ จะมีรายได้ลดลง ในขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่ยังคงที่หรือปรับลดลงช้ากว่ารายได้

  • ลดการผลิตและการลงทุน: เมื่อธุรกิจกำไรลดลง พวกเขาย่อมไม่มีแรงจูงใจในการขยายการผลิตหรือลงทุนในเครื่องมือใหม่ๆ การลดการผลิตเป็นผลโดยตรงตามมา

  • การจ้างงานลดลงและอัตราว่างงานสูงขึ้น: เมื่อธุรกิจลดการผลิตหรือประสบปัญหาขาดทุน พวกเขาอาจไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลดค่าใช้จ่ายด้วยการเลิกจ้างพนักงาน

  • กำลังซื้อภาคประชาชนหดตัว: เมื่อมีผู้ว่างงานมากขึ้น หรือผู้ที่มีงานทำมีรายได้ลดลง กำลังซื้อโดยรวมในระบบเศรษฐกิจก็จะลดลงตามไปด้วย

  • วัฏจักรชะลอการบริโภคและการลงทุน: เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าราคาสินค้ากำลังลดลง และคาดว่าจะลดลงไปอีกในอนาคต พวกเขาก็จะยิ่งชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นออกไป

  • มูลค่าที่แท้จริงของหนี้เพิ่มขึ้น: นี่เป็นผลกระทบที่ร้ายแรงและมักถูกมองข้าม ในช่วงภาวะเงินฝืด เงินที่เรายืมมาในอดีตจะมีมูลค่าที่แท้จริงเพิ่มขึ้น

  • อัตราผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น: เมื่อรายได้ลดลง และภาระหนี้สินหนักขึ้น ความสามารถในการชำระหนี้ของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจก็ลดลงอย่างมาก

  • เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวและซบเซา: ผลกระทบทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมลดลง

ดังนั้น ภาวะเงินฝืดจึงไม่ใช่แค่เรื่องของราคาถูกลง แต่เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่และสร้างความเสียหายในวงกว้าง

มาตรการรับมือภาวะเงินฝืด: บทบาทของนโยบายการเงินและการคลัง

เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืด รัฐบาลและธนาคารกลางจะไม่นิ่งเฉยครับ มีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์หลายอย่างที่สามารถนำมาใช้ต่อสู้กับภาวะนี้ โดยหลักๆ จะเน้นไปที่การกระตุ้นอุปสงค์และเพิ่มปริมาณเงินในระบบ

นโยบายการเงิน (Monetary Policy) โดยธนาคารกลาง

บทบาทหลักของธนาคารกลางคือการดูแลเสถียรภาพของราคา (ควบคุมเงินเฟ้อ) และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในภาวะเงินฝืด ธนาคารกลางจะดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลาย (Loosening Policy) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและกระตุ้นการใช้จ่าย

  • ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: การลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ลดลง

  • ลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (Reserve Requirement Ratio): การลดสัดส่วนเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ต้องสำรองไว้ที่ธนาคารกลาง จะเพิ่มปริมาณเงินที่ธนาคารพาณิชย์สามารถนำไปปล่อยสินเชื่อได้

  • การเข้าซื้อสินทรัพย์ (Quantitative Easing – QE): การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ จากตลาด เพื่ออัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบโดยตรง

  • การสื่อสารนโยบาย (Forward Guidance): ธนาคารกลางอาจสื่อสารแนวโน้มการดำเนินนโยบายในอนาคตอย่างชัดเจน

การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าเป้าหมายและภาคการผลิตที่อ่อนแอ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ภาวะชะลอตัวหรือเงินฝืดได้

นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) โดยรัฐบาล

รัฐบาลมีบทบาทในการใช้เครื่องมือทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะเงินฝืด โดยมักจะดำเนินนโยบายแบบขาดดุล (Deficit Spending) ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายมากกว่ารายได้ เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ

  • ลดภาษี: การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล จะเพิ่มรายได้ที่ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถนำไปใช้จ่ายหรือลงทุนได้มากขึ้น

  • เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ: รัฐบาลสามารถเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างถนน รถไฟ หรือโครงการพัฒนาขนาดใหญ่

  • การให้เงินอุดหนุนหรือมาตรการช่วยเหลือโดยตรง: รัฐบาลอาจให้เงินช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชนที่มีรายได้น้อย

  • ซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล: การที่รัฐบาลซื้อคืนพันธบัตรที่ตนเองออกไว้ในอดีต ก็เป็นการนำเงินสดกลับคืนสู่ผู้ถือพันธบัตร

การประสานงานระหว่างนโยบายการเงินและการคลังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับภาวะเงินฝืด รัฐบาลและธนาคารกลางต้องทำงานร่วมกัน

บทเรียนจากสถานการณ์จริง: จีนและญี่ปุ่นกับความท้าทายภาวะเงินฝืด

การศึกษาจากประเทศที่เคยหรือกำลังเผชิญภาวะเงินฝืดอย่างยืดเยื้อ จะช่วยให้เราเข้าใจความซับซ้อนและความท้าทายในการจัดการปัญหาได้อย่างลึกซึ้งขึ้น

บทเรียนจากประเทศจีน: ภาวะเงินฝืดที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ

ประเทศจีน กำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืดที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่ายืดเยื้อที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และตัวหักลบเงินเฟ้อของ GDP ของจีนบางช่วงเวลาติดลบพร้อมกัน บ่งชี้ถึงแรงกดดันเงินฝืดที่รุนแรง

สาเหตุของภาวะเงินฝืดในจีนมีความซับซ้อนและแตกต่างจากภาวะเงินฝืดแบบดั้งเดิมในประเทศตะวันตกอยู่บ้าง

  • วิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์: การล่มสลายของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายแห่ง และราคาบ้านที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

  • การผลิตเกินกำลัง (Overcapacity): เศรษฐกิจจีนพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมานาน

  • การเข้มงวดกฎระเบียบในภาคเทคโนโลยี: การที่รัฐบาลจีนเข้ามากำกับดูแลบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่

  • แรงกดดันจากภายนอก: สงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา

แม้รัฐบาลจีนและธนาคารประชาชนจีน (PBOC) จะพยายามใช้มาตรการกระตุ้นทั้งทางการเงินและการคลัง แต่ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจนนัก

บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่น: “ทศวรรษที่สูญหาย” และการต่อสู้ที่ยาวนาน

ประเทศญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างคลาสสิกของประเทศที่เผชิญภาวะเงินฝืดอย่างยาวนาน หรือที่เรียกว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” (Lost Decades)

หลังจากฟองสบู่แตก ราคาอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหาหนี้เสียในภาคธนาคาร

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) พยายามใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างเต็มที่ ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนเข้าสู่ระดับใกล้ศูนย์

บทเรียนจากญี่ปุ่นบอกเราว่า การต่อสู้กับภาวะเงินฝืดอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปี

การเปรียบเทียบระหว่างภาวะเงินฝืดและภาวะเงินเฟ้อ: สองด้านของเหรียญทางเศรษฐกิจ

เพื่อให้เข้าใจภาวะเงินฝืดได้ดียิ่งขึ้น เราควรเปรียบเทียบกับภาวะเงินเฟ้อที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

ปัจจัย ภาวะเงินเฟ้อ ภาวะเงินฝืด
ทิศทางของราคา ราคาสูงขึ้น ราคาลดลง
สาเหตุหลัก อุปสงค์สูงเกินไป อุปสงค์หดตัว
ผลกระทบต่อการใช้จ่าย กระตุ้นให้คนเร่งใช้จ่าย กระตุ้นให้คนชะลอการใช้จ่าย
ผลกระทบต่อหนี้สิน ช่วยลดภาระหนี้สิน เพิ่มภาระหนี้สิน
นโยบายรับมือ นโยบายเข็มงวด นโยบายผ่อนคลาย

ทั้งเงินเฟ้อและเงินฝืดที่รุนแรงล้วนเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ

โอกาสในการลงทุนและแนวทางการรับมือในช่วงภาวะเงินฝืด

ในฐานะนักลงทุน เราไม่สามารถควบคุมสภาวะเศรษฐกิจมหภาคได้ แต่เราสามารถเตรียมพร้อมและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้

ในช่วงภาวะเงินฝืด สินทรัพย์บางประเภทอาจได้รับผลกระทบเชิงลบ แต่บางประเภทอาจได้รับผลดี หรือเป็นแหล่งพักพิงที่ปลอดภัย

สินทรัพย์ที่อาจได้รับผลดีหรือเป็นแหล่งพักพิง:

  • เงินสด: การถือเงินสดจำนวนหนึ่งไว้จึงเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัย

  • ตราสารหนี้คุณภาพสูง: โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง

  • ทองคำ: ทองคำมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน

สินทรัพย์ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ:

  • ตราสารทุน (หุ้น): ภาวะเงินฝืดมักส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำไรของบริษัท

  • อสังหาริมทรัพย์: โดยทั่วไปราคาอสังหาริมทรัพย์มักลดลงในช่วงภาวะเงินฝืด

สิ่งสำคัญที่สุดคือการกระจายความเสี่ยง การศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในการซื้อขายในตลาดการเงินที่หลากหลาย

หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด

สถานการณ์และตัวอย่างภาวะเงินฝืดในประเทศไทย

สำหรับประเทศไทย แม้ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) โดยรวมอาจยังไม่เข้าข่ายภาวะเงินฝืดอย่างเป็นทางการตามนิยามของกระทรวงพาณิชย์หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB)

  • ความกังวลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.): การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 2% ท่ามกลางความกังวลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าประมาณการ

  • ภาวะเงินฝืดทางเทคนิคและการหดตัวของกำลังซื้อ: สัญญาณอย่างกำลังซื้อของภาคครัวเรือนที่หดตัวลง

  • ผลกระทบจากราคาพลังงานและมาตรการรัฐ: ตัวเลข CPI โดยรวมของไทยในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาพลังงาน

ดังนั้น แม้ประเทศไทยอาจยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดเต็มรูปแบบ แต่สัญญาณเตือนและความเสี่ยงก็มีอยู่ การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

สรุปประเด็นสำคัญ: ภาวะเงินฝืด ความท้าทายที่ต้องเผชิญและทางออก

ตลอดบทความนี้ เราได้เดินทางทำความเข้าใจภาวะเงินฝืด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่ตรงข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ แต่มีผลกระทบที่รุนแรงและแก้ไขได้ยากไม่แพ้กัน

เราได้เรียนรู้ว่า ภาวะเงินฝืดคือสภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวมลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยหลายประการ

  • อุปสงค์รวมที่หดตัว ไม่ว่าจะเป็นจากความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภค

  • ปริมาณเงินหรือสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจมีไม่เพียงพอ

  • ปัจจัยด้านอุปทาน เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

  • ความผิดพลาดเชิงนโยบายของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง

เรายังได้เห็นว่า ภาวะเงินฝืดสร้างผลกระทบเชิงลบเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่การลดลงของกำไรธุรกิจ การลดการผลิต การเลิกจ้างงาน

แม้ว่าภาวะเงินฝืดจะเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน แต่ก็มีแนวทางที่ภาครัฐสามารถนำมาใช้ต่อสู้ได้

บทเรียนจากประเทศอย่างจีนและญี่ปุ่นก็ชี้ให้เห็นว่า การจัดการภาวะเงินฝืดอาจต้องใช้เวลาหลายปี

สำหรับตัวเราในฐานะประชาชนและนักลงทุน การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการเงินและการลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้ไขปริศนาของภาวะเงินฝืด และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับกลไก สาเหตุ และผลกระทบของมัน

ขอให้คุณโชคดีกับการเดินทางในโลกของการลงทุนครับ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสาเหตุของภาวะเงินฝืด

Q:ภาวะเงินฝืดหมายความว่าอย่างไร?

A:ภาวะเงินฝืดคือสภาวะที่ระดับราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง。

Q:อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะเงินฝืด?

A:สาเหตุหลักได้แก่ อุปสงค์ที่หดตัว หรือปริมาณเงินหรือสินเชื่อในระบบไม่เพียงพอ。

Q:การเกิดภาวะเงินฝืดมีผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจ?

A:ภาวะเงินฝืดสามารถนำไปสู่การลดการผลิต กำไรของธุรกิจลดลง และเพิ่มภาระหนี้สินให้สูงขึ้น。

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *