ทำความเข้าใจโลกของสินทรัพย์ลงทุน: เจาะลึก หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นสามัญ และหุ้นกู้
ในเส้นทางการลงทุนของคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามา หรือเป็นเทรดเดอร์ผู้มากประสบการณ์ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ด้านเทคนิค การทำความเข้าใจเครื่องมือทางการเงินพื้นฐานถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เปรียบเสมือนการเรียนรู้ตัวอักษรก่อนที่จะอ่านหนังสือทั้งเล่ม วันนี้ เราจะมาสำรวจความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสินทรัพย์หลักสามประเภทที่นักลงทุนต้องเคยได้ยิน นั่นคือ หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, และ หุ้นกู้ หรือ ตราสารหนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะเจาะลึกทำความเข้าใจในรายละเอียดของ “หุ้นบุริมสิทธิคือ” อะไร และมีความน่าสนใจอย่างไรสำหรับพอร์ตการลงทุนของคุณ
หลายครั้งที่นักลงทุนสับสนกับความแตกต่างของสินทรัพย์เหล่านี้ บางคนอาจคิดว่าหุ้นก็คือหุ้นเหมือนกันหมด หรือตราสารหนี้ก็คือพันธบัตรเหมือนกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สินทรัพย์แต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะ สิทธิประโยชน์ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ การเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงิน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาการลงทุนของคุณ จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
- หุ้นสามัญ: มีสิทธิ์ออกเสียงในการตัดสินใจของบริษัท
- หุ้นบุริมสิทธิ: จ่ายเงินปันผลก่อนหุ้นสามัญ
- หุ้นกู้: รับประกันดอกเบี้ยและเงินต้นคืน
ในบทความนี้ เราจะทำหน้าที่เหมือนเป็นเพื่อนร่วมทางหรือครูผู้สอนที่จะค่อยๆ นำพาคุณไปทำความเข้าใจความซับซ้อนเหล่านี้ ด้วยภาษาที่เข้าถึงได้ แต่ก็ยังคงความลึกซึ้งทางวิชาการตามระดับที่คุณต้องการ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ เพื่อให้คุณเห็นภาพชัดเจนและสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในโลกแห่งความเป็นจริงได้
สถานะของผู้ลงทุน: คุณคือ “เจ้าของ” หรือ “เจ้าหนี้” กันแน่?
ความแตกต่างพื้นฐานที่สุดระหว่างการลงทุนใน หุ้น (Equity Instruments) และการลงทุนใน หุ้นกู้ หรือ ตราสารหนี้ (Debt Instruments) คือ “สถานะ” ของคุณในฐานะนักลงทุน เมื่อคุณซื้อ หุ้น ไม่ว่าจะเป็น หุ้นสามัญ หรือ หุ้นบุริมสิทธิ คุณกำลังซื้อ “ส่วนหนึ่ง” ของความเป็น “เจ้าของบริษัท” นั้นๆ พูดง่ายๆ คือ คุณกลายเป็นเจ้าของร่วมกับผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ในสัดส่วนที่คุณถือหุ้นอยู่
ลองจินตนาการว่าบริษัทคือบ้านหลังใหญ่ การซื้อหุ้นก็เหมือนคุณซื้อส่วนหนึ่งของบ้านหลังนั้น คุณมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของบ้าน (บริษัท) แต่ก็ต้องร่วมรับผิดชอบหนี้สินและผลประกอบการของบ้านด้วย
ในทางกลับกัน เมื่อคุณซื้อ หุ้นกู้ หรือ ตราสารหนี้ ของบริษัทหรือหน่วยงานรัฐบาล คุณกำลังทำหน้าที่เป็น “เจ้าหนี้” ให้กับผู้ออกตราสารหนี้นั้นๆ การซื้อหุ้นกู้เปรียบเสมือนการที่คุณ “ให้บริษัทกู้ยืมเงิน” โดยมีข้อตกลงชัดเจนว่าจะได้รับ “ดอกเบี้ย” เป็นผลตอบแทนตามอัตราและกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ และจะได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน
สถานะความเป็นเจ้าของกับเจ้าหนี้นี้มีความแตกต่างกันอย่างมากในแง่ของสิทธิเรียกร้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงินร้ายแรงจนถึงขั้นต้อง “เลิกกิจการ” หรือล้มละลาย ซึ่งเราจะเจาะลึกประเด็นนี้ต่อไป
เจาะลึก “หุ้นสามัญ”: ตัวแทนแห่งความเป็นเจ้าของและโอกาสเติบโต
หุ้นสามัญ (Common Stock) คือประเภทของหุ้นที่คุณคุ้นเคยและได้ยินบ่อยที่สุดในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การลงทุนในหุ้นสามัญคือการลงทุนในส่วนของผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงของบริษัท ซึ่งมาพร้อมกับทั้งโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูง และความเสี่ยงที่สูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น
ในฐานะผู้ถือ หุ้นสามัญ คุณมีสิทธิสำคัญประการหนึ่งนั่นคือ “สิทธิออกเสียงลงมติ” ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น คุณมีสิทธิ์ร่วมตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่างๆ ของบริษัท เช่น การเลือกตั้งกรรมการบริษัท การอนุมัติการเพิ่มทุน การจ่ายเงินปันผล หรือการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับบริษัท โดยจำนวนสิทธิ์ในการออกเสียงมักจะแปรผันตามสัดส่วนการถือหุ้นของคุณ ยิ่งถือหุ้นมาก สิทธิ์ออกเสียงก็ยิ่งมาก เปรียบเสมือนคุณมีปากเสียงในสภากรรมการบ้านหลังใหญ่ที่คุณเป็นเจ้าของร่วม
ผลตอบแทนจากการถือ หุ้นสามัญ มาจากสองส่วนหลักๆ คือ:
- เงินปันผล (Dividends): หากบริษัทมีผลประกอบการที่ดี มีกำไรสะสม คณะกรรมการบริษัทอาจพิจารณาจ่าย “เงินปันผล” ให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งเงินปันผลนี้มักจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทในแต่ละงวด ไม่ได้มีการรับประกันว่าจะได้รับหรือไม่ หรือจะได้รับในอัตราเท่าใด
- ส่วนต่างราคา (Capital Gain): ผลตอบแทนนี้เกิดจากการที่ราคา หุ้นสามัญ ในตลาดปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาที่คุณซื้อมา เมื่อคุณขายหุ้นออกไป คุณก็จะได้รับกำไรจากส่วนต่างราคานี้ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในตลาดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลากหลาย ทั้งผลประกอบการของบริษัท สภาวะอุตสาหกรรม สภาพเศรษฐกิจโดยรวม และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ประเภทธุรกิจ | ผลตอบแทน | ความเสี่ยง |
---|---|---|
หุ้นสามัญ | สูง (ไม่คงที่) | สูง |
หุ้นบุริมสิทธิ | คงที่ (ปันผล) | ปานกลางถึงสูง |
หุ้นกู้ | ต่ำ (คงที่) | ต่ำ |
ในแง่ของความเสี่ยง การลงทุนใน หุ้นสามัญ ถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนใน หุ้นกู้ และโดยทั่วไปแล้วสูงกว่า หุ้นบุริมสิทธิ ผลตอบแทนไม่มีการรับประกัน และราคาตลาดมีความผันผวนสูง อาจปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงที่ตลาดไม่ดี หรือผลประกอบการบริษัทแย่ นอกจากนี้ ในกรณีที่บริษัทต้อง “เลิกกิจการ” ผู้ถือ หุ้นสามัญ จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มีสิทธิ์ได้รับคืนเงินลงทุน หลังจากการชำระหนี้สินทั้งหมดของบริษัท รวมถึงการคืนเงินให้แก่ผู้ถือ หุ้นกู้ และผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ แล้ว หากยังคงมีทรัพย์สินเหลืออยู่
ทำความรู้จัก “หุ้นบุริมสิทธิคือ”: การผสมผสานสิทธิพิเศษและข้อจำกัด
มาถึงหัวข้อหลักของเรา “หุ้นบุริมสิทธิคือ” อะไร? หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นอีกหนึ่งประเภทของ หุ้น ซึ่งหมายความว่าผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ก็มีสถานะเป็น “เจ้าของ” บริษัทเช่นเดียวกับผู้ถือ หุ้นสามัญ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญในเรื่องของ “สิทธิ” และ “ผลตอบแทน” ซึ่งทำให้ หุ้นบุริมสิทธิ มีลักษณะที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง หุ้นสามัญ และ หุ้นกู้
ความแตกต่างที่โดดเด่นที่สุดของ หุ้นบุริมสิทธิ คือ:
- การไม่มีสิทธิออกเสียง: โดยทั่วไปแล้ว ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ “ไม่มีสิทธิออกเสียงลงมติ” ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เว้นแต่จะมีเงื่อนไขพิเศษกำหนดไว้ในข้อบังคับบริษัท ซึ่งนี่เป็นข้อจำกัดหลักที่แตกต่างจากผู้ถือ หุ้นสามัญ การที่คุณไม่ได้มีสิทธิ์ร่วมตัดสินใจในประเด็นสำคัญของบริษัท อาจมองว่าเป็นข้อเสียเปรียบในแง่ของการมีส่วนร่วมในการบริหาร
- สิทธิในการได้รับเงินปันผล: ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ มีสิทธิได้รับ “เงินปันผล” ก่อนผู้ถือ หุ้นสามัญ และมักจะได้รับใน “อัตราคงที่” ตามที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าบริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีมากน้อยเพียงใด ตราบใดที่บริษัทมีกำไรและมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผล ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ จะได้รับสิทธิ์ก่อนและได้รับในอัตราที่ตกลงกัน ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้ผลตอบแทนส่วนนี้มีความสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้มากกว่าเงินปันผลของ หุ้นสามัญ ในบางกรณี หุ้นบุริมสิทธิ อาจมีเงื่อนไขแบบสะสม (Cumulative Preferred Stock) คือหากปีใดบริษัทไม่จ่ายเงินปันผล เงินปันผลนั้นจะถูกสะสมไว้และต้องจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิก่อนในปีต่อๆ ไปที่มีการจ่ายเงินปันผล
- สิทธิในการได้รับคืนทุนเมื่อเลิกกิจการ: นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ในกรณีที่บริษัทต้อง “เลิกกิจการ” หรือล้มละลาย ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ มีสิทธิ์ได้รับ “เงินคืนทุน” ก่อนผู้ถือ หุ้นสามัญ แต่ยังคงมีสิทธิ์หลังผู้ถือ หุ้นกู้ หรือเจ้าหนี้ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งหมายความว่าหากมีทรัพย์สินเหลือหลังจากการชำระหนี้แล้ว ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ จะได้รับส่วนแบ่งคืนก่อนที่ผู้ถือ หุ้นสามัญ จะได้รับอะไรเลย
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
เงินปันผลคงที่ | ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง |
สิทธิเรียกร้องก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ | ส่วนต่างราคาต่ำกว่า |
เงื่อนไขสะสม | ความเสี่ยงการชำระหนี้ |
ด้วยลักษณะเหล่านี้ ทำให้ หุ้นบุริมสิทธิ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนในรูปของ “เงินปันผลคงที่” ที่สม่ำเสมอ และต้องการความมั่นคงของสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของบริษัทที่ดีกว่า หุ้นสามัญ แต่ก็ต้องแลกกับการไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เปรียบได้กับรถยนต์ไฮบริดที่รวมข้อดีบางอย่างของรถยนต์ไฟฟ้า (ปันผลคงที่) และรถยนต์น้ำมัน (สิทธิความเป็นเจ้าของ) เข้าไว้ด้วยกัน
หุ้นกู้และตราสารหนี้: บทบาทของ “เจ้าหนี้” ในระบบการเงิน
เปลี่ยนสถานะมาเป็น “เจ้าหนี้” บ้าง การลงทุนใน หุ้นกู้ หรือ ตราสารหนี้ คือการที่คุณให้บริษัทเอกชน (หุ้นกู้ภาคเอกชน) หรือรัฐบาล/หน่วยงานภาครัฐ (พันธบัตรรัฐบาล) “กู้ยืมเงิน” โดยผู้ออกตราสารหนี้มีภาระผูกพันทางกฎหมายที่จะต้องจ่าย “ดอกเบี้ย” ให้แก่ผู้ถือตราสารตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ และต้องชำระ “เงินต้น” คืนเมื่อตราสารหนี้นั้นครบกำหนดไถ่ถอน
ลักษณะเด่นของ หุ้นกู้ และ ตราสารหนี้ คือ:
- ผลตอบแทนที่คงที่และสม่ำเสมอ: ผลตอบแทนหลักของ หุ้นกู้ คือ “ดอกเบี้ย” ซึ่งมักจะมีการกำหนดอัตราไว้ล่วงหน้าและจ่ายเป็นงวดๆ ตามกำหนด (เช่น ทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน) ทำให้ผู้ลงทุนสามารถคาดการณ์รายรับได้อย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างจาก เงินปันผล ของ หุ้นสามัญ ที่ไม่แน่นอน
- สิทธิเรียกร้องสูงสุดเมื่อเลิกกิจการ: นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของผู้ถือ หุ้นกู้ ในกรณีที่บริษัท “เลิกกิจการ” หรือล้มละลาย ผู้ถือ หุ้นกู้ มีสิทธิ์เรียกร้อง “เงินต้น” และ ดอกเบี้ย คืนก่อน “ผู้ถือหุ้น” ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น หุ้นสามัญ หรือ หุ้นบุริมสิทธิ พูดง่ายๆ คือเจ้าหนี้ต้องได้รับชำระหนี้คืนก่อนที่เจ้าของจะแบ่งทรัพย์สินที่เหลือกัน
- ความเสี่ยงหลักคือการผิดนัดชำระหนี้และอัตราดอกเบี้ย: แม้จะมีความมั่นคงในเรื่องสิทธิเรียกร้องมากกว่า หุ้น แต่ หุ้นกู้ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ “การผิดนัดชำระหนี้” (Default Risk) ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถจ่าย ดอกเบี้ย หรือคืน “เงินต้น” ได้ตามกำหนด ความเสี่ยงนี้ประเมินได้จาก “อันดับเครดิต” (Credit Rating) ที่จัดทำโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ยิ่งอันดับเครดิตดี ความน่าเชื่อถือสูง ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ก็ยิ่งต่ำ นอกจากนี้ ราคา หุ้นกู้ ในตลาดรองยังมีความผันผวนจาก “อัตราดอกเบี้ย” ในตลาด หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น ราคา หุ้นกู้ เดิมที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าก็จะปรับตัวลดลง
เปรียบเทียบชัดๆ: หุ้นสามัญ vs หุ้นบุริมสิทธิ vs หุ้นกู้
ประเด็น | หุ้นสามัญ | หุ้นบุริมสิทธิ | หุ้นกู้ |
---|---|---|---|
สถานะนักลงทุน | เจ้าของบริษัท | เจ้าของบริษัท | เจ้าหนี้ผู้ออก |
สิทธิออกเสียง | มีสิทธิ์ออกเสียง | ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง | ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง |
ผลตอบแทนหลัก | เงินปันผล (ไม่คงที่) และส่วนต่างราคา | เงินปันผล (อัตราคงที่) และส่วนต่างราคา (น้อยกว่าหุ้นสามัญ) | ดอกเบี้ย (คงที่) และส่วนต่างราคา (จากอัตราดอกเบี้ยตลาด) |
ลำดับสิทธิเมื่อเลิกกิจการ | ลำดับสุดท้าย | ลำดับก่อนหุ้นสามัญ | ลำดับแรก |
ความเสี่ยงโดยรวม | สูงสุด | ปานกลางถึงค่อนข้างสูง | ต่ำกว่า |
การเปรียบเทียบนี้แสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์แต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์และตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่แตกต่างกัน หุ้นสามัญ เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการโอกาสในการเติบโตสูงสุด หุ้นกู้ เหมาะกับผู้ที่เน้นความมั่นคงและรายได้ประจำ ส่วน หุ้นบุริมสิทธิ อาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้ เงินปันผลคงที่ และสิทธิเรียกร้องที่เหนือกว่า หุ้นสามัญ แต่ไม่ต้องการความเสี่ยงที่สูงเท่า หรือไม่สนใจสิทธิ์ในการบริหาร
ทำความเข้าใจเงื่อนไขพิเศษ: การแปลงสภาพหุ้นบุริมสิทธิ
หุ้นบุริมสิทธิ บางประเภทอาจมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมที่เรียกว่า “การแปลงสภาพ” (Conversion) เป็น หุ้นสามัญ คุณสมบัตินี้ทำให้ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ มีทางเลือกที่จะเปลี่ยนหุ้นที่ตนถืออยู่ ซึ่งปกติไม่มีสิทธิ์ออกเสียงและได้รับปันผลคงที่ ไปเป็น หุ้นสามัญ ซึ่งมีสิทธิ์ออกเสียงและรับปันผลแบบผันแปร ตามเงื่อนไข อัตรา และราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ทำไมผู้ออกถึงออก หุ้นบุริมสิทธิ ที่สามารถ “แปลงสภาพ” ได้? และทำไมผู้ลงทุนถึงสนใจ? สำหรับผู้ออก การออก หุ้นบุริมสิทธิ อาจเป็นวิธีระดมทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากมีภาระ ดอกเบี้ย/ปันผลที่คงที่และคาดการณ์ได้ง่ายกว่า และยังไม่ต้องเสียสิทธิ์ในการควบคุมบริษัททันทีเหมือนการออก หุ้นสามัญ ส่วนสำหรับผู้ลงทุน คุณสมบัติ “แปลงสภาพ” นี้เปรียบเสมือน “สิทธิ์” เพิ่มเติมที่จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของบริษัทในอนาคต หากราคา หุ้นสามัญ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนการ “แปลงสภาพ” เป็น หุ้นสามัญ มีความคุ้มค่ามากกว่าการถือ หุ้นบุริมสิทธิ ต่อไป
เงื่อนไขสำคัญของการ “แปลงสภาพ” ที่ต้องพิจารณาคือ:
- อัตราการแปลงสภาพ (Conversion Ratio): บอกว่า หุ้นบุริมสิทธิ 1 หุ้น สามารถแปลงเป็น หุ้นสามัญ ได้กี่หุ้น เช่น อัตรา 1:1 หมายความว่า หุ้นบุริมสิทธิ 1 หุ้น แปลงเป็น หุ้นสามัญ ได้ 1 หุ้น
- ราคาแปลงสภาพ (Conversion Price): ราคาที่ใช้ในการคำนวณเมื่อมีการ “แปลงสภาพ” หากราคาแปลงสภาพต่ำกว่าราคา หุ้นสามัญ ในตลาด การแปลงสภาพก็จะมีความน่าสนใจ (ในทางทฤษฎี)
- ระยะเวลาแปลงสภาพ (Conversion Period): ช่วงเวลาที่ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ สามารถใช้สิทธิ์ “แปลงสภาพ” ได้ มักจะมีกำหนดเวลาที่ชัดเจน
กรณีศึกษา: CSC-P หุ้นบุริมสิทธิของ บมจ.ฝาจีบ
เพื่อให้เห็นภาพการใช้งานจริง เราจะยกตัวอย่าง หุ้นบุริมสิทธิ ของบริษัท บมจ.ฝาจีบ (CSC-P) ซึ่งเป็น หุ้นบุริมสิทธิ ที่มีคุณสมบัติ “แปลงสภาพ” เป็น หุ้นสามัญ ได้ ข้อมูลที่เรามีระบุว่า CSC-P มี “อัตราการแปลงสภาพ” อยู่ที่ 1 ต่อ 1 (หุ้นบุริมสิทธิ 1 หุ้น ต่อ หุ้นสามัญ 1 หุ้น) และมี “ราคาแปลงสภาพ” เท่ากับ 0.00 บาทต่อหุ้น
อัตราการแปลงสภาพ 1:1 นั้นเข้าใจง่าย แต่ราคาแปลงสภาพ 0.00 บาทอาจดูแปลกตา ซึ่งในทางปฏิบัติ มักจะมีวิธีการคำนวณหรือเงื่อนไขอื่นประกอบในการใช้สิทธิ์นี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้บอกเราว่าผู้ถือ CSC-P มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนสถานะจากผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ มาเป็นผู้ถือ หุ้นสามัญ ของ บมจ.ฝาจีบ ได้
รายงานผลการใช้สิทธิ์ “แปลงสภาพ” ของหลักทรัพย์แปลงสภาพ (แบบ F53-5) ของ บมจ.ฝาจีบ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 และ 30 เมษายน 2568 ระบุว่า ยังไม่มีการใช้สิทธิ์ “แปลงสภาพ” หุ้นบุริมสิทธิ ดังกล่าว และมีจำนวน หุ้นบุริมสิทธิ ที่ยังไม่ได้ “แปลงสภาพ” คงเหลืออยู่จำนวน 799,225 หุ้น
ข้อมูลนี้มีความสำคัญอย่างไรสำหรับนักลงทุน? มันบอกเราว่า:
- ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ CSC-P ยังคงพิจารณาว่าการถือ หุ้นบุริมสิทธิ ต่อไปมีข้อดี หรือเงื่อนไขตลาดยังไม่เอื้ออำนวยให้ใช้สิทธิ์ “แปลงสภาพ” (เช่น ราคา หุ้นสามัญ ในตลาดอาจจะยังไม่สูงพอที่จะจูงใจให้แปลง)
- จำนวน หุ้นบุริมสิทธิ ที่ยังคงเหลืออยู่ 799,225 หุ้น แสดงถึงจำนวน หุ้นสามัญ ที่อาจจะถูกเพิ่มเข้ามาในตลาดในอนาคต หากผู้ถือหุ้นเหล่านี้ตัดสินใจใช้สิทธิ์ “แปลงสภาพ” ซึ่งการเพิ่มขึ้นของจำนวน หุ้นสามัญ ในตลาดอาจส่งผลกระทบต่อราคา หุ้นสามัญ ได้
กรณี CSC-P เป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า หุ้นบุริมสิทธิ ไม่ได้มีแค่สิทธิพื้นฐาน แต่ยังมีเงื่อนไขเฉพาะรุ่นที่นักลงทุนต้องศึกษาทำความเข้าใจอย่างละเอียด
ความเสี่ยงและข้อควรพิจารณาในการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ
แม้ว่า หุ้นบุริมสิทธิ จะมีข้อดีในแง่ของ เงินปันผลคงที่ และสิทธิเรียกร้องที่เหนือกว่า หุ้นสามัญ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงและข้อจำกัดที่คุณควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน:
- ความเสี่ยงด้านผลประกอบการบริษัท: แม้จะได้รับปันผลก่อน หุ้นสามัญ แต่การจ่ายปันผลก็ยังขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท หากบริษัทขาดทุนอย่างหนัก หรือไม่มีกำไรสะสมเพียงพอ ก็อาจจะไม่สามารถจ่าย เงินปันผล ให้แก่ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ได้
- การไม่มีสิทธิออกเสียง: หากคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการมีส่วนร่วมในการบริหาร หรือต้องการแสดงความคิดเห็นต่อทิศทางของบริษัท การไม่มีสิทธิ์ออกเสียงของ หุ้นบุริมสิทธิ อาจเป็นข้อเสียเปรียบที่สำคัญ
- สภาพคล่องต่ำกว่าหุ้นสามัญ: โดยทั่วไปแล้ว ตลาดซื้อขาย หุ้นบุริมสิทธิ มีสภาพคล่องต่ำกว่า หุ้นสามัญ ซึ่งหมายความว่าอาจจะหาผู้ซื้อหรือผู้ขายได้ยากกว่า และส่วนต่างราคา Bid-Ask อาจจะกว้างกว่า ทำให้การเข้าซื้อหรือขายออกทำได้ยากและอาจเสียเปรียบเรื่องราคา
- โอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่างราคาน้อยกว่าหุ้นสามัญ: ราคาของ หุ้นบุริมสิทธิ มักจะผันผวนน้อยกว่า หุ้นสามัญ เนื่องจากผลตอบแทนหลักคือ เงินปันผลคงที่ ทำให้โอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่างราคามักจะไม่สูงเท่า หุ้นสามัญ
- เงื่อนไขเฉพาะรุ่น: หุ้นบุริมสิทธิ แต่ละรุ่นอาจมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันมาก เช่น เงื่อนไขการจ่ายปันผล (สะสมหรือไม่สะสม) เงื่อนไขการไถ่ถอนโดยผู้ออก (Callable Preferred Stock) หรือเงื่อนไข “การแปลงสภาพ” การศึกษาเอกสารเสนอขายและข้อกำหนดสิทธิ์อย่างละเอียดเป็นสิ่งจำเป็น
ข้อพิจารณา | ความเสี่ยง |
---|---|
รายได้จากปันผล | ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ |
การมีส่วนร่วมในการบริหาร | ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง |
สภาพคล่อง | ต่ำกว่าหุ้นสามัญ |
ความเสี่ยงจากการราคาหุ้น | น้อยกว่าหุ้นสามัญ |
คุณต้องชั่งน้ำหนักข้อดีเหล่านี้เทียบกับข้อจำกัดและความเสี่ยง พิจารณาว่าลักษณะของ หุ้นบุริมสิทธิ สอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้หรือไม่
หุ้นบุริมสิทธิเหมาะกับนักลงทุนประเภทใด?
จากลักษณะเฉพาะตัวของ หุ้นบุริมสิทธิ ที่มีทั้งความเหมือนและความต่างจาก หุ้นสามัญ และ หุ้นกู้ ทำให้ หุ้นบุริมสิทธิ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนบางกลุ่ม:
- นักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ: หากคุณต้องการกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอในรูปของ เงินปันผลคงที่ ที่สามารถคาดการณ์ได้ค่อนข้างง่าย หุ้นบุริมสิทธิ ที่มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดีของบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง อาจเป็นคำตอบ
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง: สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูงเท่า หุ้นสามัญ แต่ก็ยังต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่า หุ้นกู้ หรือเงินฝาก หุ้นบุริมสิทธิ ที่มีสิทธิเรียกร้องที่ดีกว่า หุ้นสามัญ อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
- นักลงทุนที่ไม่เน้นสิทธิ์ออกเสียง: หากคุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการบริหาร หรือการออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น การไม่มีสิทธิ์ออกเสียงของ หุ้นบุริมสิทธิ ก็จะไม่ใช่ข้อจำกัดสำหรับคุณ
- นักลงทุนที่มองหาทางเลือกที่หลากหลายในการลงทุน: การเพิ่ม หุ้นบุริมสิทธิ เข้าไปในพอร์ตการลงทุนที่ประกอบด้วย หุ้นสามัญ และ หุ้นกู้ อยู่แล้ว สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มทางเลือกของแหล่งผลตอบแทนได้
- นักลงทุนที่มองหาโอกาสจากการแปลงสภาพ (ในกรณีที่มีคุณสมบัติ): หาก หุ้นบุริมสิทธิ นั้นมีคุณสมบัติ “แปลงสภาพ” เป็น หุ้นสามัญ ได้ นักลงทุนที่เชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทในระยะยาวและคาดว่าราคา หุ้นสามัญ จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก อาจมองหาโอกาสในการลงทุนใน หุ้นบุริมสิทธิ ประเภทนี้ เพื่อใช้สิทธิ์ “แปลงสภาพ” ในอนาคต
ตราสารหนี้เพิ่มเติม: พันธบัตรและหุ้นกู้ประเภทอื่นๆ
นอกเหนือจาก หุ้นกู้ ภาคเอกชนที่เราพูดถึงไปแล้ว ยังมี ตราสารหนี้ ประเภทอื่นๆ ที่คุณอาจพบเจอได้ในตลาดการเงินไทย ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันในแง่ของการเป็น “เจ้าหนี้” แต่แตกต่างกันที่ผู้ออกและความเสี่ยง เช่น:
- พันธบัตรรัฐบาล: ออกโดยรัฐบาลไทยหรือหน่วยงานภาครัฐ ถือเป็น ตราสารหนี้ ที่มีความเสี่ยงในการ “ผิดนัดชำระหนี้” ต่ำที่สุด เนื่องจากรัฐบาลมีความสามารถในการระดมเงินได้หลากหลายช่องทาง ผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) มักจะต่ำกว่า หุ้นกู้ ภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตใกล้เคียงกัน
- ตั๋วเงินคลัง: เป็น ตราสารหนี้ ระยะสั้นที่ออกโดยรัฐบาล มักมีอายุไม่เกิน 1 ปี
- หุ้นกู้ที่มีประกัน: เป็น หุ้นกู้ ที่มีทรัพย์สินบางอย่างเป็นหลักประกัน ทำให้มีความเสี่ยงต่ำกว่า หุ้นกู้ ไม่มีประกันของผู้ออกรายเดียวกัน
- หุ้นกู้ด้อยสิทธิ์: เป็น หุ้นกู้ ที่ผู้ถือมีสิทธิ์เรียกร้องในลำดับที่ด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญรายอื่นๆ (แต่ยังคงมีสิทธิ์ก่อนผู้ถือหุ้น) มักให้ผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) ที่สูงกว่า หุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ์ เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
การทำความเข้าใจประเภทต่างๆ ของ ตราสารหนี้ ช่วยให้คุณมีทางเลือกที่หลากหลายในการจัดสรรเงินลงทุนในส่วนของสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง เพื่อให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นกู้ในตลาดรอง
แม้ว่าผลตอบแทนหลักของ หุ้นบุริมสิทธิ คือ เงินปันผลคงที่ และ หุ้นกู้ คือ ดอกเบี้ยคงที่ แต่ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้ในตลาดรองก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนักลงทุนที่ซื้อขายในตลาดรองต้องทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้:
- อัตราดอกเบี้ยในตลาด: นี่คือปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อราคา หุ้นกู้ และ หุ้นบุริมสิทธิ หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น หุ้นกู้ หรือ หุ้นบุริมสิทธิ เดิมที่ให้ผลตอบแทน (ดอกเบี้ย/ปันผล) ในอัตราที่ต่ำกว่าก็จะมีความน่าสนใจน้อยลง ทำให้ราคาในตลาดรองปรับตัวลดลง ในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง หุ้นกู้ หรือ หุ้นบุริมสิทธิ เดิมที่มีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าก็จะมีความน่าสนใจมากขึ้น ราคาในตลาดรองก็จะปรับตัวสูงขึ้น
- อันดับเครดิตของผู้ออก: การเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิต ของบริษัทผู้ออก หุ้นกู้ หรือ หุ้นบุริมสิทธิ จะส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือและความเสี่ยงในการ “ผิดนัดชำระหนี้” หาก อันดับเครดิต ลดลง ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ราคา หุ้นกู้ หรือ หุ้นบุริมสิทธิ ก็มีแนวโน้มลดลง หาก อันดับเครดิต เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงลดลง ราคาในตลาดรองก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- ผลประกอบการและสถานะทางการเงินของบริษัท: แม้จะได้รับปันผลก่อน หุ้นสามัญ แต่ผลประกอบการที่ย่ำแย่หรือสถานะทางการเงินที่ไม่แข็งแกร่งของบริษัท ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงต่อความสามารถในการจ่าย เงินปันผล และความสามารถในการชำระคืน “เงินต้น” (ในกรณีของ หุ้นกู้) ทำให้ราคาในตลาดรองอาจได้รับผลกระทบ
- อุปสงค์และอุปทานในตลาด: เช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่นๆ ราคาในตลาดรองย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการซื้อ (อุปสงค์) และปริมาณหลักทรัพย์ที่พร้อมขาย (อุปทาน) ด้วย
สรุป: เลือกสินทรัพย์ที่ใช่ สร้างพอร์ตที่แข็งแกร่ง
ที่เราได้สำรวจกันไป จะเห็นได้ว่า หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, และ หุ้นกู้/ตราสารหนี้ เป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่มีลักษณะเฉพาะตัว และมีบทบาทที่แตกต่างกันในโลกของการลงทุน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หุ้นสามัญ มอบโอกาสในการเติบโตและสิทธิ์ในการเป็น “เจ้าของ” ที่เต็มที่ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงที่สุด หุ้นกู้ หรือ ตราสารหนี้ เสนอความมั่นคงและรายได้ประจำในฐานะ “เจ้าหนี้” โดยมีความเสี่ยงต่ำกว่า หุ้น แต่ก็มีโอกาสในการทำกำไรที่จำกัดกว่า ส่วน หุ้นบุริมสิทธิ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่อยู่ตรงกลาง ให้ เงินปันผลคงที่ และสิทธิ์เรียกร้องที่เหนือกว่า หุ้นสามัญ แต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง และอาจมีคุณสมบัติพิเศษอย่าง “การแปลงสภาพ” ที่เพิ่มโอกาสในอนาคตได้
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่การเลือกสินทรัพย์ที่ “ดีที่สุด” เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเลือกสินทรัพย์ที่ “เหมาะสมที่สุด” กับตัวคุณเอง ทั้งในแง่ของเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่คุณพร้อมจะแบกรับ การกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่คุณเข้าใจอย่างดี ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างของสินทรัพย์เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น “หุ้นบุริมสิทธิคือ” อะไร ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นำความรู้นี้ไปต่อยอด ศึกษาข้อมูลเชิงลึกของหลักทรัพย์ที่คุณสนใจ และสร้างเส้นทางการลงทุนที่คุณมุ่งหวังให้เป็นจริงนะครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้นบุริมสิทธิ คือ
Q:หุ้นบุริมสิทธิแตกต่างจากหุ้นสามัญอย่างไร?
A:หุ้นบุริมสิทธิไม่มีสิทธิออกเสียง แต่ได้รับเงินปันผลคงที่ก่อนหุ้นสามัญ
Q:ใครเหมาะสมที่จะลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ?
A:นักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอและไม่สนใจการมีสิทธิ์ออกเสียง
Q:หุ้นกู้มีความเสี่ยงอย่างไร?
A:หุ้นกู้มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้และอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวน