บทนำ: Gold Carry Trade คืออะไร?
กลยุทธ์การลงทุนที่เรียกว่า Gold Carry Trade หรือการหาผลตอบแทนจากส่วนต่างของทองคำ ถือเป็นวิธีการที่ค่อนข้างซับซ้อนแต่มีโอกาสให้ผลกำไรสูง หากตลาดเอื้ออำนวย มันมักเกี่ยวข้องกับการยืมเงินจากสกุลเงินที่มีดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำเงินนั้นไปลงทุนในทองคำเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น การปล่อยเช่าทองคำให้ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเช่าทอง (Gold Lease Rate) หรือการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อล็อกราคาในอนาคต ผู้ที่สนใจต้องทำความเข้าใจรายละเอียดให้ถ่องแท้ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในตลาดไทยที่นักลงทุนชาวไทยให้ความสนใจมาก แต่ก็ต้องระวังเรื่องการถูกหลอกลวงหรือการลงทุนที่ผิดกฎหมาย

กลไกการทำงานของ Gold Carry Trade: แยกส่วนทำความเข้าใจ
การนำกลยุทธ์ Gold Carry Trade มาใช้ต้องอาศัยขั้นตอนที่ชัดเจน โดยต้องเข้าใจตลาดการเงินหลายด้าน เพื่อให้เกิดส่วนต่างกำไรที่แท้จริง
การกู้ยืมเงินสกุลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ
จุดเริ่มต้นคือการหาแหล่งเงินกู้จากสกุลเงินที่ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งปกติมาจากประเทศที่ธนาคารกลางใช้นโยบายผ่อนคลาย เช่น เงินเยนญี่ปุ่นหรือฟรังก์สวิส ในอดีต นักลงทุนเลือกสกุลเหล่านี้เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการถือเงินทุน การตัดสินใจนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางจึงมีอิทธิพลโดยตรงต่อต้นทุนส่วนนี้

การซื้อทองคำแท่งหรือตราสารอนุพันธ์ทองคำ
หลังจากได้เงินกู้มาแล้ว ก็นำไปซื้อทองคำ ซึ่งสามารถเลือกได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่งจริงที่ต้องคำนึงถึงค่าดูแลและประกันภัย หรือลงทุนผ่านตราสารอนุพันธ์อย่างสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (Gold Futures) ในตลาดใหญ่เช่น CME Group การเลือกวิธีขึ้นอยู่กับขนาดทุน ความต้องการควบคุมความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น
การให้เช่าทองคำหรือการขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ
เมื่อถือทองคำไว้แล้ว นักลงทุนจะหาวิธีสร้างรายได้จากมัน โดยหลักๆ มีสองแนวทาง:
- การให้เช่าทองคำ (Gold Lending): นำทองคำไปปล่อยเช่าให้ธนาคารหรือผู้เล่นในตลาดอื่นๆ แล้วรับค่าธรรมเนียเช่า (Gold Lease Rate) ซึ่งคล้ายกับการให้กู้ทองคำเพื่อแลกกับผลตอบแทน
- การขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (Selling Gold Futures/Forwards): ทำสัญญาขายทองคำในอนาคตที่ราคาแน่นอน เพื่อล็อกราคาและหาผลกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อปัจจุบันกับราคาขายล่วงหน้า โดยหักลบต้นทุนกู้และค่าอื่นๆ
กำไรสุทธิจาก Gold Carry Trade มาจากส่วนต่างระหว่างรายได้จากเช่าหรือขายล่วงหน้าทองคำ กับค่าดอกเบี้ยเงินกู้สกุลต่ำ รวมถึงค่าดำเนินการอื่นๆ

ความเสี่ยงและความท้าทายหลักของ Gold Carry Trade
ถึงแม้กลยุทธ์นี้จะน่าดึงดูดด้วยโอกาสกำไร แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนลงมือ
ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย
หนึ่งในความเสี่ยงใหญ่คือการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ถ้าดอกเบี้ยสกุลเงินที่กู้ขึ้นสูง หรือผลตอบแทนจากเช่าทองคำลดลง ส่วนต่างกำไรก็หดตัวหรืออาจขาดทุนได้ โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางปรับนโยบาย เช่น ขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลัก
ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองคำ
ถ้าไม่ได้ป้องกันราคาทองคำให้ดี การแกว่งตัวของราคาในตลาดโลกอาจสร้างความเสียหายหนัก เช่น ถ้าราคาทองร่วงแรง มูลค่าทองที่ถือก็ลดลงทันที ซึ่งอาจนำไปสู่ขาดทุนใหญ่หากปิดสถานะไม่ทัน การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จึงจำเป็น แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
เพราะเกี่ยวข้องกับการกู้สกุลเงินหนึ่งและลงทุนทองคำที่ผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลกู้ (เช่น เยน) กับ USD และเงินบาท (THB) จึงกระทบกำไร เช่น ถ้าบาทแข็งค่าขึ้นเทียบ USD ผลตอบแทนในเงินบาทอาจน้อยลง
ค่าเก็บรักษาและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม
สำหรับทองคำแท่งจริง มีค่าดูแลเก็บรักษาและประกันที่สูง โดยเฉพาะปริมาณมาก นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมซื้อขาย ค่าคอมมิชชั่น และส่วนต่างราคา (Spread) จากการเทรดทองคำหรืออนุพันธ์ ซึ่งทั้งหมดลดกำไรสุทธิ
Gold Carry Trade vs. Currency Carry Trade vs. Cash and Carry Arbitrage: การทำความเข้าใจแนวคิดที่แตกต่างกัน
เพื่อไม่ให้สับสนและประเมินความเสี่ยงได้ถูกต้อง ควรรู้ความต่างระหว่างกลยุทธ์เหล่านี้
- Gold Carry Trade: เน้นกู้เงินดอกเบี้ยต่ำซื้อทองคำ แล้วสร้างรายได้จากเช่าหรือขายล่วงหน้า หวังกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยกับผลตอบแทนทองคำ แต่เสี่ยงจากราคาทอง ดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยน
- Currency Carry Trade (การทำกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสกุลเงิน): กู้สกุลเงินดอกเบี้ยต่ำ (เช่น เยน) ไปลงทุนสกุลเงินดอกเบี้ยสูงกว่า (เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย) เพื่อหาส่วนต่างดอกเบี้ย เสี่ยงหลักคือความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน
- Cash and Carry Arbitrage: เป็นการเก็งกำไรที่ใกล้เคียงไร้ความเสี่ยงตามทฤษฎี ตามที่ Investopedia อธิบาย โดยซื้อสินทรัพย์ในตลาด spot แล้วขายสัญญาล่วงหน้าในตลาดฟิวเจอร์สพร้อมกัน เพื่อกำไรจากส่วนต่างราคาที่ผิดปกติ มักทำกับสินค้าโภคภัณฑ์หรือหลักทรัพย์ที่มีตลาดล่วงหน้า เสี่ยงต่ำเพราะล็อกตำแหน่งทั้งซื้อและขายทันที
จุดต่างสำคัญคือ Gold Carry Trade และ Currency Carry Trade เสี่ยงกว่าจากการแกว่งตัวของราคาสินทรัพย์หรือสกุลเงินในช่วงถือครอง ในขณะที่ Cash and Carry Arbitrage ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ตลาดแบบทันที
ข้อควรพิจารณาพิเศษสำหรับตลาดประเทศไทย
นักลงทุนไทยต้องพิจารณาเพิ่มเติมจากตลาดสากล โดยเฉพาะกฎระเบียบและปัญหาหลอกลวง
กฎระเบียบและข้อบังคับการลงทุนทองคำในประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand, BOT) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC Thailand) ดูแลตลาดการเงินและทุน รวมถึงธุรกรรมทองคำและอนุพันธ์ การซื้อขายทองแท่ง นำเข้า-ส่งออก หรือเทรดอนุพันธ์อาจต้องมีใบอนุญาต รายงาน หรือควบคุมเงินทุนข้ามพรมแดน ธนาคารแห่งประเทศไทย ควบคุมเงินตราและอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งกระทบต้นทุนและผลตอบแทนของ Gold Carry Trade
ระวัง! กลโกง “Gold Carry Trade” ในตลาดไทย
ชื่อ Gold Carry Trade หรือการหาผลตอบแทนจากส่วนต่างทองคำ ดึงดูดเพราะฟังดูมีกำไรสูง ผู้ไม่หวังดีจึงใช้ชื่อนี้หลอกลวง โดยเฉพาะในไทย มีเคสฉ้อโกงที่อ้างลงทุนทองคำให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ ซึ่งมักเป็นแชร์ลูกโซ่ (Pyramid Scheme) หรือโพนซี่ (Ponzi Scheme) พวกมันสัญญากำไรรับประกันสูง เช่น 10-20% ต่อเดือน โดยไม่บอกกลไกชัดเจนหรือแสดงหลักฐานลงทุนจริง บางครั้งอ้างชื่อดังอย่าง “วชิรวิทย์ ฐิตโภคิน” หรือบุคคลท้องถิ่นเพื่อสร้างความเชื่อถือ ซึ่งปรากฏในข่าว เช่น จาก Nation TV เพื่อชวนคนเข้ามาและชวนต่อ เงินจ่ายกำไรเก่ามาจากเงินใหม่ ไม่มีสินทรัพย์จริงรองรับ
วิธีแยกแยะแพลตฟอร์มการลงทุนทองคำที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
เพื่อป้องกันตัวเอง นักลงทุนไทยควรตรวจสอบดังนี้:
- ตรวจสอบใบอนุญาตและหน่วยงานกำกับดูแล: แพลตฟอร์มถูกกฎหมายต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงาน ก.ล.ต. (SEC Thailand) หรือธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจให้ชัวร์ว่ามีใบอนุญาตจริง
- ความโปร่งใสของข้อมูล: ที่น่าเชื่อถือจะเปิดเผยกลไก ความเสี่ยง ค่าใช้จ่าย และผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล ไม่รับประกันกำไรสูงเกินจริง
- สำนักงานและบุคคลากร: มีที่ทำการจริงตรวจสอบได้ และทีมงานมีคุณสมบัติ ไม่ใช่แค่ช่องทางออนไลน์ลึกลับ
- ระวังคำสัญญาผลตอบแทนสูงเกินจริง: ถ้าเสนอกำไรสูงและบอกว่าไร้เสี่ยง ให้สงสัยทันที เพราะลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง
- ระวังการชวนคนต่อ: ถ้าชวนชักชวนคนอื่นเพื่อรับคอมมิชชั่น น่าจะเป็นแชร์ลูกโซ่
บทสรุป: ประเมินอย่างรอบคอบ ลงทุนอย่างปลอดภัย
Gold Carry Trade เป็นกลยุทธ์ที่อาจให้ผลตอบแทนดีในตลาดที่เหมาะสม แต่ซับซ้อนและเสี่ยงสูงจากดอกเบี้ย ราคาทอง หรืออัตราแลกเปลี่ยน นักลงทุนต้องมีความรู้ลึกและเครื่องมือจัดการเสี่ยง
สำหรับชาวไทย การลงทุนทองคำต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เข้าใจกฎหมายในประเทศ และตระหนักถึงการหลอกลวง เลือกแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาต ไม่เชื่อสัญญากำไรสูงเกินจริง และตรวจสอบอย่างละเอียด จะช่วยให้ลงทุนปลอดภัยและยั่งยืน
1. นักลงทุนไทยสามารถทำ Gold Carry Trade ผ่านช่องทางที่ถูกกฎหมายได้อย่างไร?
ในประเทศไทย การทำ Gold Carry Trade โดยตรงในรูปแบบที่ซับซ้อนอย่างเต็มรูปแบบอาจทำได้ยากสำหรับนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและการเข้าถึงตลาดการเงินระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจพิจารณาลงทุนในตราสารอนุพันธ์ทองคำที่ซื้อขายในตลาด TFEX (เช่น Gold Futures) หรือกองทุนรวมทองคำที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งอาจมีกลไกบางส่วนคล้ายคลึงกัน แต่ไม่ใช่ Gold Carry Trade โดยตรง ผู้ลงทุนควรปรึกษาสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตและตรวจสอบข้อกำหนดของ สำนักงาน ก.ล.ต. เสมอ
2. Gold Carry Trade ถูกกฎหมายในไทยหรือไม่? มีข้อบังคับอะไรบ้างที่ควรทราบ?
ตัวกลยุทธ์ Gold Carry Trade ในบริบทสากลนั้นถูกกฎหมาย แต่การนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินสกุลต่างประเทศ การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนข้ามประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต. หากมีการชักชวนให้ลงทุนในลักษณะ Gold Carry Trade ที่เสนอผลตอบแทนสูงผิดปกติและไม่มีการกำกับดูแลจากหน่วยงานรัฐบาลไทย อาจเป็นสิ่งผิดกฎหมายและเข้าข่ายการฉ้อโกง
3. จะแยกแยะการหลอกลวง “Gold Carry Trade” จากของจริงในตลาดไทยได้อย่างไร?
- **ระวังคำสัญญาผลตอบแทนสูงเกินจริง:** กลโกงมักจะเสนอผลตอบแทนที่รับประกัน 10-20% ต่อเดือนหรือสูงกว่า ซึ่งไม่สมเหตุสมผลในการลงทุนจริง
- **ตรวจสอบใบอนุญาต:** แพลตฟอร์มที่ถูกกฎหมายต้องมีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลของไทย (เช่น ก.ล.ต.)
- **กลไกไม่ชัดเจน:** หากผู้ชักชวนไม่สามารถอธิบายกลไกการสร้างผลตอบแทนได้อย่างโปร่งใสและสมเหตุสมผล หรืออ้างว่าใช้ “สูตรลับ”
- **การชวนคนต่อ:** หากมีเงื่อนไขให้ชักชวนผู้อื่นมาร่วมลงทุนเพื่อรับค่าคอมมิชชั่น อาจเป็นแชร์ลูกโซ่
- **ไม่มีสินทรัพย์จริง:** ตรวจสอบว่ามีการซื้อขายทองคำจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการโอนเงินไปมา
4. นอกจากการทำ Gold Carry Trade แล้ว มีวิธีลงทุนทองคำที่มีความเสี่ยงต่ำอื่นๆ ในไทยอีกหรือไม่?
มีหลายวิธีที่นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในทองคำโดยมีความเสี่ยงต่ำกว่า Gold Carry Trade ได้แก่:
- **ซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ:** เก็บรักษาเองหรือฝากร้านทอง แต่มีความเสี่ยงด้านราคาผันผวน
- **ลงทุนในกองทุนรวมทองคำ:** เป็นการลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุน ซึ่งจะนำเงินไปลงทุนในทองคำทั้งในและต่างประเทศ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวก
- **ออมทอง:** การทยอยซื้อทองคำเป็นรายเดือนกับร้านทองหรือบริษัทหลักทรัพย์
- **ลงทุนใน Gold ETF:** กองทุนรวมดัชนีที่อ้างอิงราคาทองคำ ซื้อขายได้เหมือนหุ้น
5. ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออกทองคำ หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องอย่างไร?
ธนาคารแห่งประเทศไทย มีบทบาทในการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายเงินทุนข้ามประเทศ ซึ่งรวมถึงการนำเข้าและส่งออกทองคำ โดยเฉพาะทองคำเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าหรืออุตสาหกรรม อาจมีข้อกำหนดเรื่องใบอนุญาตหรือการรายงานธุรกรรมต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินต่างประเทศก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ BOT เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
6. หากสงสัยว่าตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงลงทุนทองคำ ควรแจ้งหน่วยงานใดในประเทศไทย?
หากคุณสงสัยว่าตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงลงทุนทองคำ ควรแจ้งหน่วยงานดังต่อไปนี้ทันที:
- **สำนักงาน ก.ล.ต. (SEC Thailand):** หากเกี่ยวข้องกับการลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารอนุพันธ์ที่ผิดกฎหมาย
- **กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.):** สำหรับคดีฉ้อโกงทางการเงิน
- **ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ 1599:** หากเป็นการหลอกลวงทางออนไลน์
- **แจ้งความกับสถานีตำรวจในท้องที่:** เพื่อลงบันทึกประจำวันและดำเนินคดี
7. กำไรจากการทำ Gold Carry Trade ต้องเสียภาษีในประเทศไทยหรือไม่?
กำไรจากการลงทุนโดยทั่วไปถือเป็นเงินได้พึงประเมิน และต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร ไม่ว่าจะเป็นกำไรจาก Gold Carry Trade หรือการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ หากมีรายได้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือนำเงินได้เข้ามาในประเทศ หากเป็นนิติบุคคลก็จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นักลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อทำความเข้าใจภาระภาษีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง
8. แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ทองคำหรือสถาบันการเงินในไทยมีบริการที่เกี่ยวข้องกับ Gold Carry Trade หรือไม่?
โดยทั่วไป แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ทองคำหรือสถาบันการเงินในประเทศไทยมักจะให้บริการซื้อขายทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ กองทุนรวมทองคำ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำในตลาด TFEX เป็นหลัก แต่บริการ Gold Carry Trade ที่ซับซ้อนตามคำจำกัดความสากลโดยตรงนั้นอาจไม่เป็นที่แพร่หลายสำหรับนักลงทุนรายย่อย หากมีบริการที่ดูคล้ายคลึงกัน ควรตรวจสอบรายละเอียด เงื่อนไข และการกำกับดูแลอย่างรอบคอบจาก ก.ล.ต. หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ก่อนตัดสินใจลงทุน
9. Gold Carry Trade แตกต่างจากการออมทองหรือการจำนำทองแบบดั้งเดิมในไทยอย่างไร?
Gold Carry Trade เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อน โดยเน้นการสร้างผลกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและการบริหารความเสี่ยงหลายด้าน มีความเกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินและตลาดอนุพันธ์
ในทางตรงกันข้าม:
- **การออมทอง:** เป็นการทยอยซื้อทองคำสะสมไปเรื่อยๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนระยะยาวหรือเก็บสะสม โดยทั่วไปจะไม่มีการกู้ยืมและมุ่งหวังกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น
- **การจำนำทอง:** เป็นการนำทองคำไปเป็นหลักประกันเพื่อกู้ยืมเงิน โดยมีดอกเบี้ยในการกู้ยืม และมีโอกาสไถ่ถอนทองคำคืน ไม่ใช่กลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยหรือราคา
10. “วชิรวิทย์ ฐิตโภคิน” เกี่ยวข้องกับการลงทุนทองคำหรือคดีฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยอย่างไร?
ชื่อ “วชิรวิทย์ ฐิตโภคิน” เป็นที่รู้จักในวงกว้างในบริบทของการลงทุนและการชักชวนให้ลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทองคำหรือสกุลเงินดิจิทัลที่มีการกล่าวอ้างผลตอบแทนสูงผิดปกติ อย่างไรก็ตาม การกล่าวถึงชื่อนี้มักปรากฏในรายงานข่าวหรือการเตือนภัยเกี่ยวกับการลงทุนที่มีความเสี่ยง หรืออาจเข้าข่ายการฉ้อโกง ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจสอบข้อมูลและแหล่งที่มาของการลงทุนอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจลงทุนกับบุคคลหรือแพลตฟอร์มใดๆ ที่เสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง