คู่มือฉบับสมบูรณ์: วิธีอ่านกราฟการเงินสำหรับนักลงทุนมือใหม่
สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน! ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของการลงทุนและการเทรดในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น, Forex, หรือตลาด Cryptocurrency หนึ่งในทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่คุณจำเป็นต้องมี คือความสามารถในการ
อ่านกราฟราคา
และทำความเข้าใจสิ่งที่กราฟกำลังบอกเรา
กราฟราคาเปรียบเสมือนแผนที่ที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของราคาในอดีตและปัจจุบัน การ
วิเคราะห์กราฟ
ช่วยให้เรามองเห็นรูปแบบ (Patterns) แนวโน้ม (Trends) และระดับราคาสำคัญๆ ที่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางในอนาคตได้ แม้ว่าการดูกราฟจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่การตีความให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นต้องอาศัยความรู้และการฝึกฝน
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับโลกของกราฟราคา เริ่มตั้งแต่รูปแบบกราฟที่นิยมใช้กัน ไปจนถึงเครื่องมือและเทคนิคพื้นฐานในการ
อ่านกราฟ
ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น พร้อมแล้วหรือยัง? ไปดูกันเลยครับ
หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเริ่มต้น
การเทรด Forex
หรือสำรวจสินค้าอื่นๆ ในตลาด นี่คือจุดที่คุณต้องเลือก “เวที” ในการเทรดของคุณ ซึ่งก็คือแพลตฟอร์มการเทรดที่เหมาะสม หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือสำหรับการเทรด Forex Moneta Markets เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความไว้วางใจจากเทรดเดอร์ทั่วโลก
เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและทำให้การอ่านกราฟเป็นเรื่องที่สะดวกมากยิ่งขึ้น นี่คือบางสิ่งที่ควรรู้:
- กราฟช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มราคาในอนาคต
- การวิเคราะห์กราฟช่วยให้สามารถตัดสินใจลงทุนอย่างมั่นใจ
- มีรูปแบบกราฟที่หลากหลายและแต่ละรูปแบบมีจุดเด่นแตกต่างกัน
ประเภทกราฟ | คำอธิบาย |
---|---|
กราฟเส้น (Line Chart) | รวบรวมราคาปิดในแต่ละช่วงเวลาและเชื่อมต่อกันด้วยเส้น |
กราฟแท่ง (Bar Chart) | แสดงราคาสำคัญ 4 จุดในแต่ละช่วงเวลา |
กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) | แสดงข้อมูลสำคัญเช่นเดียวกับกราฟแท่ง แต่ดูง่ายกว่า |
ประเภทของกราฟยอดนิยม: กราฟเส้น กราฟแท่ง และกราฟแท่งเทียน
ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงวิธีการ
วิเคราะห์กราฟ
เรามาทำความรู้จักกับหน้าตาพื้นฐานของกราฟราคาที่คุณจะพบบ่อยๆ ในแพลตฟอร์มการเทรดกันก่อน โดยทั่วไปแล้ว กราฟราคาที่นักลงทุนนิยมใช้กันมีอยู่ 3 รูปแบบหลักๆ:
-
กราฟเส้น (Line Chart): เป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุดและพื้นฐานที่สุด กราฟชนิดนี้จะเชื่อมต่อ
ราคาปิด
(Closing Price) ของสินทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลาเข้าด้วยกันเป็นเส้นเดียว ทำให้เห็นภาพรวมของแนวโน้มราคาได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ให้ข้อมูลน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับกราฟรูปแบบอื่น
-
กราฟแท่ง (Bar Chart): ให้ข้อมูลมากขึ้น โดยแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลราคาถึง 4 จุดสำคัญในแต่ละช่วงเวลา ได้แก่
ราคาเปิด (Open)
,
ราคาสูงสุด (High)
,
ราคาต่ำสุด (Low)
, และ
ราคาปิด (Close)
แต่ละแท่งจะมีเส้นตั้ง (Vertical line) แสดงช่วงราคาที่เคลื่อนไหว และมีขีดเล็กๆ ด้านซ้ายสำหรับราคาเปิด และขีดเล็กๆ ด้านขวาสำหรับราคาปิด
-
กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart): เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักเทรดทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาด Forex และ Crypto เนื่องจากแสดงข้อมูลสำคัญทั้ง 4 จุดเช่นเดียวกับกราฟแท่ง แต่มีลักษณะที่ดูง่ายและสามารถบอกเล่าเรื่องราวของแรงซื้อแรงขายในช่วงเวลานั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้จะมีกราฟหลายรูปแบบ แต่
กราฟแท่งเทียน
คือรูปแบบที่เราจะเน้นเป็นพิเศษในบทความนี้ เพราะเป็นเครื่องมือหลักที่นักเทรดส่วนใหญ่ใช้ในการ
อ่านกราฟ
และตัดสินใจ
แกะรหัสแท่งเทียน: ทำความเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐาน (ราคาเปิด-ปิด, สูงสุด-ต่ำสุด)
ทำไม
กราฟแท่งเทียน
ถึงเป็นที่นิยม? คำตอบอยู่ที่ข้อมูลที่ครบถ้วนและอ่านง่ายในแต่ละแท่ง แท่งเทียนแต่ละแท่งจะบอกเล่าเรื่องราวของ
ราคา
ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่เราเลือก (เช่น 1 นาที, 5 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน) ให้เราเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับราคาในช่วงเวลานั้น
ส่วนประกอบหลักของ
แท่งเทียน
มีสองส่วนคือ
ลำตัวแท่งเทียน (Body)
และ
ไส้เทียน (Wick หรือ Shadow)
ซึ่งเป็นเส้นที่ยื่นออกมาจากลำตัว ไส้เทียนด้านบนแสดง
ราคาสูงสุด
และไส้เทียนด้านล่างแสดง
ราคาต่ำสุด
ที่ราคาเคลื่อนไหวไปถึงในช่วงเวลานั้น
ลำตัวแท่งเทียน
จะแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
ราคาเปิด
และ
ราคาปิด
และสีของลำตัวจะบอกว่าราคามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร:
-
หาก
ราคาปิด
สูงกว่า
ราคาเปิด
แท่งเทียนจะเป็น
แท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick)
โดยทั่วไปจะเป็นสีเขียวหรือสีขาว ลำตัวจะทึบเต็ม แสดงว่าแรงซื้อมีมากกว่าแรงขายในช่วงเวลานั้น
-
หาก
ราคาปิด
ต่ำกว่า
ราคาเปิด
แท่งเทียนจะเป็น
แท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick)
โดยทั่วไปจะเป็นสีแดงหรือสีดำ ลำตัวจะทึบเต็ม แสดงว่าแรงขายมีมากกว่าแรงซื้อในช่วงเวลานั้น
การทำความเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานเหล่านี้ เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการ
อ่านกราฟราคา
เพราะรูปร่างและขนาดของลำตัวและไส้เทียน สามารถบอกนัยยะสำคัญเกี่ยวกับแรงขับเคลื่อนของตลาดได้
มองหาแนวโน้ม: ขาขึ้น ขาลง และ Sideways
เมื่อมอง
กราฟราคา
สิ่งแรกๆ ที่นักเทรดจะมองหาคือ
แนวโน้ม (Trend)
ของตลาดในปัจจุบัน
แนวโน้ม
บอกทิศทางโดยรวมที่ราคาเคลื่อนที่ไป เปรียบเสมือนทิศทางของกระแสน้ำ ซึ่งเรามักจะ “ไหลตามน้ำ” เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร
แนวโน้ม
หลักๆ มี 3 แบบ:
-
แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ราคามีการทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Highs) และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Lows) ติดต่อกัน แสดงว่าแรงซื้อแข็งแกร่งกว่า
-
แนวโน้มขาลง (Downtrend): ราคามีการทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs) และจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Lows) ติดต่อกัน แสดงว่าแรงขายแข็งแกร่งกว่า
-
แนวโน้มไซด์เวย์ (Sideways หรือ Ranging): ราคาวิ่งอยู่ในกรอบแคบๆ ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แสดงว่าแรงซื้อและแรงขายกำลังต่อสู้กันอย่างสูสี
เราสามารถยืนยัน
แนวโน้ม
เบื้องต้นได้ด้วยการลาก
เส้นแนวโน้ม (Trendline)
โดยการเชื่อมจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นสำหรับแนวโน้มขาขึ้น หรือจุดสูงสุดที่ต่ำลงสำหรับแนวโน้มขาลง การที่ราคาเคลื่อนไหวอยู่เหนือหรือใต้
เส้นแนวโน้ม
สามารถยืนยันความแข็งแกร่งของ
แนวโน้ม
นั้นๆ ได้
การระบุ
แนวโน้ม
ที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานสำคัญในการเลือกใช้
เทคนิค
และเครื่องมือ
วิเคราะห์กราฟ
ที่เหมาะสม คุณจะเทรดแบบ “ตามเทรนด์” หรือ “สวนเทรนด์” ก็ต้องเริ่มจากการรู้จักเทรนด์ก่อนเสมอ
แนวโน้ม | คำอธิบาย |
---|---|
แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) | ราคาเคลื่อนที่สูงขึ้นโดยจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดเพิ่มขึ้น |
แนวโน้มขาลง (Downtrend) | ราคาเคลื่อนที่ต่ำลงโดยจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดลดลง |
แนวโน้มไซด์เวย์ (Sideways) | ราคาไม่มีทิศทางชัดเจนในกรอบแคบๆ |
กำแพงราคาที่ควรรู้: การระบุแนวรับและแนวต้าน
อีกหนึ่งแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการ
วิเคราะห์กราฟราคา
คือ
แนวรับ (Support)
และ
แนวต้าน (Resistance)
เปรียบเสมือนพื้นและเพดานราคา ที่มักจะเป็นจุดที่ราคามีโอกาสจะชะลอตัว หยุด หรือกลับทิศ
แนวรับ
คือ ระดับราคาที่ในอดีตมีแรงซื้อเข้ามามาก จนทำให้ราคาหยุดการปรับตัวลงหรือดีดตัวขึ้น เปรียบเสมือน “พื้น” ที่ช่วยพยุงราคาไว้ เมื่อราคาลงมาถึง
แนวรับ
ครั้งใด ก็มีโอกาสที่แรงซื้อจะเข้ามาอีกครั้งเพื่อดันราคาขึ้นไป
แนวต้าน
คือ ระดับราคาที่ในอดีตมีแรงขายเข้ามามาก จนทำให้ราคาหยุดการปรับตัวขึ้นหรือปรับตัวลง เปรียบเสมือน “เพดาน” ที่กดราคาไว้ เมื่อราคาขึ้นมาถึง
แนวต้าน
ครั้งใด ก็มีโอกาสที่แรงขายจะเข้ามาอีกครั้งเพื่อกดราคาลงมา
การระบุ
แนวรับและแนวต้าน
ช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์จุดที่ราคาอาจมีการกลับตัว หรือจุดที่ราคาอาจจะทะลุผ่านไปอย่างรุนแรง
แนวรับ
ที่ถูกทะลุลงมา มักจะกลายเป็น
แนวต้าน
ใหม่ และ
แนวต้าน
ที่ถูกทะลุขึ้นไป มักจะกลายเป็น
แนวรับ
ใหม่ ซึ่งเรียกว่า
หลักการของการสลับบทบาท (Principle of Polarity)
คุณสามารถลากเส้น
แนวรับและแนวต้าน
ได้ด้วยการเชื่อมจุดต่ำสุดหลายๆ จุดเข้าด้วยกันสำหรับ
แนวรับ
และเชื่อมจุดสูงสุดหลายๆ จุดเข้าด้วยกันสำหรับ
แนวต้าน
ยิ่งมีจำนวนจุดที่ราคาสัมผัส
แนวรับหรือแนวต้าน
มากเท่าไหร่ ระดับราคานั้นๆ ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น
อินดิเคเตอร์คืออะไร? เครื่องมือช่วยวิเคราะห์เบื้องต้น
นอกจากการ
อ่านกราฟราคา
เปล่าๆ เพื่อหา
แนวโน้ม
,
แนวรับ
,
แนวต้าน
และรูปแบบแท่งเทียนแล้ว นักเทรดยังนิยมใช้
อินดิเคเตอร์ (Indicators)
หรือตัวชี้วัดทาง
เทคนิค
เพื่อช่วยในการ
วิเคราะห์กราฟ
และยืนยันสัญญาณต่างๆ อีกด้วย
อินดิเคเตอร์
คือเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่คำนวณจาก
ราคา
และ/หรือ
ปริมาณการซื้อขาย (Volume)
ในอดีต เพื่อสร้างเส้น กราฟ หรือค่าตัวเลข ที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของตลาดในมุมมองที่แตกต่างกันไป
อินดิเคเตอร์
มีอยู่มากมายหลายร้อยชนิด แต่ละชนิดก็มีวัตถุประสงค์และวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันไป บางชนิดใช้เพื่อระบุ
แนวโน้ม
บางชนิดใช้เพื่อวัดโมเมนตัมหรือความแข็งแกร่งของ
แนวโน้ม
บางชนิดใช้เพื่อระบุภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
การเลือกใช้
อินดิเคเตอร์
ควรเลือกเพียงไม่กี่ชนิดที่คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ และใช้ร่วมกับการ
วิเคราะห์กราฟ
ในรูปแบบอื่นๆ ไม่ควรพึ่งพา
อินดิเคเตอร์
เพียงอย่างเดียว เพราะ
อินดิเคเตอร์
ส่วนใหญ่มักเป็น
เครื่องมือประเภท Lagging
คือให้สัญญาณตามหลัง
ราคา
ในหัวข้อถัดไป เราจะแนะนำ
อินดิเคเตอร์
พื้นฐานยอดนิยมบางตัวที่นักเทรดมือใหม่ควรรู้จักครับ
ทำความรู้จัก Moving Average: เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อนซี้เทรดเดอร์
Moving Average (MA)
หรือ
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
เป็นหนึ่งใน
อินดิเคเตอร์
พื้นฐานและได้รับความนิยมมากที่สุด ใช้สำหรับ smoothing
ราคา
เพื่อให้มองเห็น
แนวโน้ม
ได้ชัดเจนขึ้น โดยการคำนวณ
ราคาเฉลี่ย
ย้อนหลังตามจำนวนคาบเวลา (Period) ที่เรากำหนด แล้วนำค่าเฉลี่ยเหล่านั้นมาเรียงต่อกันเป็นเส้น
MA
มีหลายประเภท เช่น Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA) ซึ่ง EMA จะให้น้ำหนักกับข้อมูล
ราคา
ล่าสุดมากกว่า SMA จึงตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของ
ราคา
ได้เร็วกว่า
การใช้งาน
MA
หลักๆ มีดังนี้:
-
การระบุแนวโน้ม: หาก
ราคา
อยู่เหนือ
เส้น MA
แสดงว่าเป็น
แนวโน้มขาขึ้น
หาก
ราคา
อยู่ใต้
เส้น MA
แสดงว่าเป็น
แนวโน้มขาลง
-
เป็นแนวรับแนวต้านแบบเคลื่อนที่:
เส้น MA
สามารถทำหน้าที่เป็น
แนวรับ
หรือ
แนวต้าน
แบบเคลื่อนที่ตาม
แนวโน้ม
ได้ เมื่อ
ราคา
ปรับตัวลงมาชน
MA
ใน
แนวโน้มขาขึ้น
มักมีแรงซื้อเข้ามาดันราคาขึ้น หรือเมื่อ
ราคา
ปรับตัวขึ้นไปชน
MA
ใน
แนวโน้มขาลง
มักมีแรงขายเข้ามาดันราคาลง
-
สัญญาณ Golden Cross/Death Cross: การตัดกันของ
MA
สองเส้นที่มีคาบเวลาต่างกันก็เป็นสัญญาณที่ได้รับความนิยม หาก
MA
ระยะสั้น (เช่น MA 50) ตัดขึ้นเหนือ
MA
ระยะยาว (เช่น MA 200) เรียกว่า
Golden Cross
เป็นสัญญาณ
แนวโน้มขาขึ้น
ที่แข็งแกร่ง หาก
MA
ระยะสั้นตัดลงใต้
MA
ระยะยาว เรียกว่า
Death Cross
เป็นสัญญาณ
แนวโน้มขาลง
ที่แข็งแกร่ง
Moving Average
เป็น
อินดิเคเตอร์
ที่เรียบง่ายแต่มีประโยชน์มากในการช่วยให้เราเห็นภาพรวมของ
แนวโน้มราคา
และใช้เป็นจุดอ้างอิงในการเข้าและออกจากตลาด
ประเภท Moving Average | คำอธิบาย |
---|---|
Simple Moving Average (SMA) | คำนวณจากราคาทั้งหมดในช่วงเวลาที่กำหนด |
Exponential Moving Average (EMA) | ให้น้ำหนักกับราคาล่าสุด ทำให้ตอบสนองรวดเร็ว |
Bollinger Bands และ RSI/MACD: อินดิเคเตอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจ
นอกจาก
Moving Average
แล้ว ยังมี
อินดิเคเตอร์
ยอดนิยมอื่นๆ อีกหลายตัวที่ช่วยในการ
วิเคราะห์กราฟ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
-
Bollinger Bands (BB): ประกอบด้วยเส้น 3 เส้น ได้แก่
เส้น MA
ตรงกลาง และเส้นขอบบน-ขอบล่างที่คำนวณจากค่าความผันผวน (Volatility)
Bollinger Bands
ช่วยบอกให้เรารู้ว่า
ราคา
กำลังมีความผันผวนมากหรือน้อย และมักจะใช้เพื่อระบุภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป โดยเมื่อ
ราคา
อยู่ใกล้ขอบบน อาจเป็นสัญญาณซื้อมากเกินไป และเมื่ออยู่ใกล้ขอบล่าง อาจเป็นสัญญาณขายมากเกินไป
-
Relative Strength Index (RSI): เป็น
อินดิเคเตอร์
ที่วัดความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ของแรงซื้อและแรงขายในตลาด มีค่าระหว่าง 0 ถึง 100 มักใช้เพื่อระบุภาวะซื้อมากเกินไป (ค่ามักสูงกว่า 70) หรือขายมากเกินไป (ค่ามักต่ำกว่า 30) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวของ
ราคา
นอกจากนี้
RSI
ยังสามารถใช้ดู
สัญญาณ Divergence
ซึ่งเป็นการที่
ราคา
กับ
อินดิเคเตอร์
เคลื่อนไหวสวนทางกัน เป็นสัญญาณการกลับตัวที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ
-
Moving Average Convergence Divergence (MACD): เป็น
อินดิเคเตอร์
ที่คำนวณจากความสัมพันธ์ของ
เส้น MA
สองเส้น (โดยทั่วไปคือ EMA 12 และ EMA 26) แล้วนำมาสร้างเป็น
เส้น MACD
และ
เส้น Signal Line
(EMA ของ
เส้น MACD
)
MACD
ใช้เพื่อระบุ
แนวโน้ม
, โมเมนตัม และสัญญาณการกลับตัว สัญญาณซื้อ/ขายมักเกิดขึ้นเมื่อ
เส้น MACD
ตัดกับ
เส้น Signal Line
หรือเมื่อ
เส้น MACD
เคลื่อนที่ตัดกับเส้นศูนย์ (Zero Line)
การทำความเข้าใจ
อินดิเคเตอร์
เหล่านี้ จะช่วยเพิ่มมิติในการ
วิเคราะห์กราฟ
ของคุณ แต่จำไว้ว่าควรใช้เป็นเครื่องมือเสริมในการยืนยันสัญญาณ ไม่ใช่เป็นผู้ตัดสินใจหลักเพียงอย่างเดียว
อ่านใจตลาดจากรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns)
เสน่ห์อย่างหนึ่งของ
กราฟแท่งเทียน
คือรูปร่างและการเรียงตัวของแท่งเทียนแต่ละแท่ง สามารถบอกเล่าเรื่องราวของ
พฤติกรรมราคา
และแรงต่อสู้ระหว่างแรงซื้อกับแรงขายในช่วงเวลานั้นๆ ได้อย่างชัดเจน และเมื่อแท่งเทียนหลายๆ แท่งมารวมกัน ก็อาจเกิดเป็น
รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns)
ที่บ่งบอกถึงโอกาสในการต่อเนื่องหรือกลับตัวของ
แนวโน้มราคา
มี
รูปแบบแท่งเทียน
อยู่มากมาย แต่เราจะยกตัวอย่างรูปแบบพื้นฐานที่พบบ่อยและมีความสำคัญ:
-
Hammer และ Inverted Hammer: เป็น
แท่งเทียน
เดี่ยวที่มีลำตัวเล็กอยู่ด้านบนหรือล่าง และมีไส้เทียนยาวๆ ยื่นออกมาทางเดียว มักเกิดขึ้นหลัง
แนวโน้มขาลง
บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เริ่มเข้ามาดัน
ราคา
เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็น
แนวโน้มขาขึ้น
ที่เป็นไปได้
-
Engulfing Pattern: เป็น
รูปแบบ
ที่ประกอบด้วย
แท่งเทียน
สองแท่ง โดย
แท่งเทียน
แท่งที่สองมีลำตัวที่ใหญ่กว่าและ “กลืนกิน” ลำตัวของ
แท่งเทียน
แท่งแรก หากเป็น
Bullish Engulfing
(แท่งเขียวใหญ่กลืนแท่งแดงเล็ก) มักเกิดขึ้นหลัง
แนวโน้มขาลง
บ่งบอกถึงแรงซื้อที่ครอบงำ และเป็นสัญญาณกลับตัวขึ้น หากเป็น
Bearish Engulfing
(แท่งแดงใหญ่กลืนแท่งเขียวเล็ก) มักเกิดขึ้นหลัง
แนวโน้มขาขึ้น
บ่งบอกถึงแรงขายที่ครอบงำ และเป็นสัญญาณกลับตัวลง
-
Doji: เป็น
แท่งเทียน
ที่มีลำตัวเล็กมากจนดูเหมือนเป็นเส้นขีด (หรือ
ราคาเปิด
เท่ากับ
ราคาปิด
หรือใกล้เคียง) แต่มีไส้เทียนบน-ล่าง บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนหรือความลังเลของตลาดว่าแรงซื้อหรือแรงขายจะชนะ มักเกิดขึ้นเมื่อ
แนวโน้ม
กำลังจะหมดแรง และอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัว
การ
อ่านรูปแบบแท่งเทียน
ต้องอาศัยการฝึกฝนและการสังเกต โดยควรพิจารณาร่วมกับตำแหน่งที่เกิดขึ้นบน
กราฟ
(เช่น เกิดที่
แนวรับ
หรือ
แนวต้าน
) และ
แนวโน้ม
โดยรวมของตลาด
Price Action: เมื่อราคาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
Price Action
คือแนวคิดในการ
วิเคราะห์กราฟ
โดยเน้นไปที่การเคลื่อนไหวของ
ราคา
และ
รูปแบบกราฟ
(Chart Patterns) ที่เกิดขึ้นบน
กราฟราคา
โดยตรง โดยไม่พึ่งพา
อินดิเคเตอร์
มากนัก แนวคิดนี้เชื่อว่าข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นต่อการตัดสินใจ สะท้อนอยู่ใน
ราคา
แล้ว
นักเทรดที่ใช้แนวทาง
Price Action
จะให้ความสำคัญกับการ
อ่านแท่งเทียน
เดี่ยวๆ หรือ
รูปแบบแท่งเทียน
เล็กๆ (เช่น Pin Bar, Inside Bar) การระบุ
แนวรับและแนวต้าน
ที่สำคัญ การลาก
เส้นแนวโน้ม
และการมองหา
รูปแบบกราฟ
ที่เกิดจากการเรียงตัวของ
ราคา
ในวงกว้าง
รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)
ที่พบบ่อยในแนวทาง
Price Action
ได้แก่:
-
รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns): เช่น Head and Shoulders, Double Top/Bottom, Triple Top/Bottom บ่งบอกว่า
แนวโน้ม
ที่มีอยู่กำลังจะสิ้นสุดและกลับทิศ
-
รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns): เช่น Flags, Pennants, Triangles บ่งบอกว่าตลาดกำลังพักตัวชั่วคราว ก่อนที่จะเคลื่อนที่ต่อไปใน
แนวโน้ม
เดิม
การฝึกฝนการ
อ่านกราฟ
ด้วยแนวทาง
Price Action
ช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของตลาดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มองเห็นสัญญาณจาก
ราคา
ได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การตีความ
Price Action
ก็ต้องอาศัยประสบการณ์และความเข้าใจในบริบทของตลาดเช่นกัน
Volume: ปริมาณการซื้อขายสำคัญไฉน?
ปริมาณการซื้อขาย (Volume)
คือจำนวนหน่วยของสินทรัพย์ที่ถูกซื้อขายแลกเปลี่ยนไปในช่วงเวลาหนึ่งๆ มักแสดงอยู่ด้านล่างของ
กราฟราคา
เป็นแท่งแนวตั้ง
Volume
บอกให้เรารู้ถึง activity หรือความคึกคักของตลาดในช่วงนั้นๆ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ยืนยันความน่าเชื่อถือของ
การเคลื่อนไหวของราคา
ทำไม
Volume
ถึงสำคัญ?
-
ยืนยันแนวโน้ม: ใน
แนวโน้มขาขึ้น
ที่แข็งแกร่ง เราควรเห็น
Volume
เพิ่มขึ้นเมื่อ
ราคา
พุ่งขึ้น และ
Volume
ลดลงเมื่อ
ราคา
ย่อตัวลง ใน
แนวโน้มขาลง
ที่แข็งแกร่ง เราควรเห็น
Volume
เพิ่มขึ้นเมื่อ
ราคา
ร่วงลง และ
Volume
ลดลงเมื่อ
ราคา
ดีดตัวขึ้น หาก
ราคา
เคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งโดยมี
Volume
ต่ำ อาจบ่งบอกว่า
แนวโน้ม
นั้นไม่แข็งแกร่ง
-
ยืนยันการทะลุ (Breakout): เมื่อ
ราคา
ทะลุผ่าน
แนวรับหรือแนวต้าน
ที่สำคัญ การทะลุนั้นจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นหากเกิดขึ้นพร้อมกับ
Volume
ที่สูงผิดปกติ แสดงว่ามีแรงซื้อหรือแรงขายจำนวนมากเข้ามาสนับสนุนการเคลื่อนที่
-
บ่งบอกการกลับตัว: บางครั้ง
Volume
ที่สูงผิดปกติ อาจเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของ
แนวโน้ม
บ่งบอกว่ามีการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขายอย่างรุนแรง และอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวของ
ราคา
การดู
Volume
ประกอบการ
วิเคราะห์กราฟ
ช่วยให้เรามีข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจ และเพิ่มความมั่นใจในสัญญาณที่เราเห็นจาก
ราคา
และ
อินดิเคเตอร์
ต่างๆ
Timeframe ที่ใช่ สไตล์การเทรดที่ชอบ
ในการ
อ่านกราฟ
คุณสามารถเลือกดู
กราฟราคา
ได้หลาย
กรอบเวลา (Timeframe)
ตั้งแต่
กรอบเวลา
สั้นๆ เช่น 1 นาที (M1), 5 นาที (M5) ไปจนถึง
กรอบเวลา
ยาวๆ เช่น 1 ชั่วโมง (H1), 4 ชั่วโมง (H4), รายวัน (Daily), รายสัปดาห์ (Weekly) หรือแม้กระทั่งรายเดือน (Monthly)
กรอบเวลา
ที่คุณเลือกจะมีผลอย่างมากต่อการ
วิเคราะห์กราฟ
และสไตล์การเทรดของคุณ:
-
กรอบเวลาสั้น: เหมาะสำหรับนักเทรดระยะสั้น (Day Trader, Scalper) ที่ต้องการเข้าออกเร็วๆ สัญญาณใน
กรอบเวลา
สั้นจะมีความผันผวนสูง และมีสัญญาณหลอก (Fake signals) เยอะกว่า
-
กรอบเวลากลาง: เช่น H1, H4 เหมาะสำหรับนักเทรดระยะกลาง (Swing Trader) ที่ถือสถานะนานขึ้น สัญญาณใน
กรอบเวลา
เหล่านี้มักมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
กรอบเวลา
สั้น
-
กรอบเวลายาว: เช่น Daily, Weekly, Monthly เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว ที่เน้นดูภาพรวมและ
แนวโน้ม
ใหญ่ สัญญาณใน
กรอบเวลา
ยาวมีความน่าเชื่อถือสูงสุด แต่การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งอาจใช้เวลานาน
นักเทรดมืออาชีพมักจะดู
กราฟ
ในหลายๆ
กรอบเวลา
ประกอบกัน (Multi-timeframe analysis) เช่น ดู
กรอบเวลา
ใหญ่เพื่อระบุ
แนวโน้ม
หลัก แล้วค่อยลงมาดู
กรอบเวลา
เล็กลงเพื่อหาจุดเข้าออกที่แม่นยำขึ้น
การเลือก
Timeframe
ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรด บุคลิกภาพ และเวลาที่คุณมี เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเทรดได้อย่างสบายใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในส่วนของการเลือกแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการ
วิเคราะห์กราฟ
ในหลาย
Timeframe
และมีเครื่องมือครบครัน Moneta Markets มีความยืดหยุ่นและเทคโนโลยีที่ทันสมัย รองรับแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4, MT5, Pro Trader ที่ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลกราฟและเครื่องมือวิเคราะห์ที่หลากหลาย
ปัจจัยภายนอกที่มองข้ามไม่ได้: ข่าวสารและเหตุการณ์
แม้ว่า
การวิเคราะห์กราฟ
หรือ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
จะเป็นการศึกษา
ราคา
และ
Volume
ในอดีต แต่
ราคา
ในตลาดการเงินก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Factors) ซึ่งรวมถึงข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ข่าวสารทางเศรษฐกิจ เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ย, อัตราเงินเฟ้อ, ตัวเลขการจ้างงาน, GDP หรือข่าวสารทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง, ความขัดแย้งระหว่างประเทศ สามารถสร้างความผันผวนอย่างรุนแรงให้กับ
ราคา
ในตลาดได้ในทันที และอาจทำให้
รูปแบบทางเทคนิค
ที่เราเห็นถูกทำลายไป
ดังนั้น การ
อ่านกราฟ
เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ คุณควรติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ที่คุณสนใจลงทุนอยู่เสมอ เพื่อทำความเข้าใจว่ามีปัจจัยพื้นฐานใดบ้างที่อาจส่งผลกระทบต่อ
ราคา
ในอนาคต
คุณสามารถหาข้อมูลข่าวสารสำคัญๆ ได้จากเว็บไซต์ข่าวการเงิน หรือปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) ซึ่งจะแสดงรายการเหตุการณ์สำคัญและระดับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
การผสมผสาน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
(จากกราฟ) เข้ากับ
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
(จากข่าวสาร) จะช่วยให้คุณมีมุมมองที่รอบด้านมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจ
การลงทุน
ที่ถูกต้อง
สรุปและก้าวต่อไปสู่การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ
คุณได้เดินทางมาถึงช่วงท้ายของบทความแล้ว เราได้เรียนรู้พื้นฐานสำคัญในการ
อ่านและวิเคราะห์กราฟราคา
ไปด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ประเภทของกราฟ องค์ประกอบของ
แท่งเทียน
การระบุ
แนวโน้ม
,
แนวรับและแนวต้าน
การใช้
อินดิเคเตอร์
ยอดนิยมอย่าง
Moving Average
,
Bollinger Bands
,
RSI
,
MACD
การ
อ่านรูปแบบแท่งเทียน
แนวคิด
Price Action
ความสำคัญของ
Volume
และการเลือก
Timeframe
ที่เหมาะสม
จำไว้ว่า
การอ่านกราฟ
เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการ
การเทรด
ที่ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
และการมี
วินัย (Discipline)
ในการเทรด
ไม่มี
เทคนิคการอ่านกราฟ
หรือ
อินดิเคเตอร์
ใดที่ดีที่สุด หรือรับประกันว่าคุณจะทำกำไรได้เสมอ สิ่งสำคัญคือการค้นหา
เทคนิค
หรือระบบ
การเทรด
ที่เหมาะกับตัวคุณเอง เข้าใจหลักการทำงานอย่างถ่องแท้ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
การเป็นนักเทรดที่เก่งกาจไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลา
ประสบการณ์
ความอดทน และการเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการ
อ่านกราฟ
ที่เราได้มอบให้ในวันนี้ คุณก็มีเครื่องมือชิ้นสำคัญที่จะช่วยให้คุณก้าวไปสู่การเป็นนักเทรดที่มีความมั่นใจและประสบความสำเร็จได้แล้วครับ
หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการเดินทางสู่การเป็นนักเทรดมืออาชีพ ด้วยเครื่องมือ
วิเคราะห์กราฟ
ที่ครบครันและเชื่อถือได้ การเลือกโบรกเกอร์ที่มีความมั่นคงและได้รับการกำกับดูแลที่ดีก็เป็นสิ่งสำคัญ หากคุณกำลังมองหาตัวเลือกที่น่าสนใจ Moneta Markets มีการกำกับดูแลจากหน่วยงานชั้นนำหลายแห่ง และมีระบบการบริการลูกค้าที่พร้อมสนับสนุนคุณตลอดเส้นทาง
ขอให้โชคดีกับการเทรดครับ!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีการอ่านกราฟ มีกี่รูปแบบ
Q:กราฟมีประเภทอะไรบ้าง?
A:กราฟแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น กราฟเส้น, กราฟแท่ง, และกราฟแท่งเทียน
Q:แนวรับและแนวต้านคืออะไร?
A:แนวรับคือระดับราคาที่มีแรงซื้อเข้ามามาก ส่วนแนวต้านคือระดับราคาที่มีแรงขายเข้ามามาก
Q:อินดิเคเตอร์คืออะไร?
A:อินดิเคเตอร์คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ตลาด เช่น Moving Average หรือ RSI