สวิงเทรด คืออะไร? กลยุทธ์เก็งกำไรระยะสั้นถึงกลางที่คุณต้องรู้ 2025

Table of Contents

สวิงเทรด (Swing Trade) คืออะไร? กลยุทธ์เก็งกำไรระยะสั้นถึงกลางที่คุณต้องรู้

สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน วันนี้เราจะมาเจาะลึกกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดหุ้นไทยและทั่วโลก นั่นคือ สวิงเทรด (Swing Trade) ครับ

หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังมองหากลยุทธ์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างการเทรดสั้นมากๆ แบบรายวัน (Day Trade) และการลงทุนยาวเป็นปีๆ (Position Trade) หรือเป็นเทรดเดอร์ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อจับจังหวะการแกว่งตัวของราคาในระยะเวลาไม่นาน สวิงเทรดคือสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้ามเลยครับ

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานว่าสวิงเทรดคืออะไร มีลักษณะเฉพาะอย่างไร ไปจนถึงเทคนิคการเข้าซื้อ ขายทำกำไร การบริหารความเสี่ยง และเครื่องมือสำคัญที่ Swing Trader ทุกคนควรรู้ พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นภาพกับกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมและตัดสินใจได้ว่าสวิงเทรดเหมาะกับสไตล์การลงทุนของคุณหรือไม่ พร้อมแล้วหรือยังครับ? ไปทำความรู้จักสวิงเทรดกันเลย!

กราฟแสดงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น

ทำความรู้จักลักษณะเด่นของสวิงเทรด: ระยะเวลาและเป้าหมาย

หัวใจหลักของ สวิงเทรด คือการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาหุ้นในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น ไม่นานเท่าการลงทุนแบบ VI หรือ Position Trade แต่ก็ไม่สั้นเท่า Day Trade ที่ซื้อขายจบในวัน

  • ระยะเวลาถือครอง: โดยทั่วไป การถือครองหุ้นในกลยุทธ์สวิงเทรดจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 วัน เป็นระดับวันไปจนถึงไม่กี่สัปดาห์ แต่ไม่ถึงกับหลายเดือนหรือเป็นปี การเทรดเดอร์จะพยายามจับรอบการเคลื่อนที่ของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ นี้
  • เป้าหมายกำไร: เป้าหมายกำไรต่อการเทรดหนึ่งครั้งอาจไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับ Position Trade แต่ก็สูงกว่า Day Trade ครับ เป้าหมายมาตรฐานมักจะอยู่ที่ประมาณ 5-10% ต่อรอบการเทรดสำหรับหุ้นที่เคลื่อนไหวปกติ หรืออาจตั้งเป้าที่ 20-25% ต่อตัวได้หากเจอหุ้นที่วิ่งแรงจริงๆ
  • ปรัชญาการทำกำไร: สวิงเทรดเน้นการ ทบต้นกำไร จากการเทรดหลายๆ รอบอย่างต่อเนื่อง หากสามารถทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ แต่สม่ำเสมอ และบริหารความเสี่ยงได้ดี ผลตอบแทนรวมเมื่อครบปีก็อาจน่าพอใจมากครับ
ลักษณะ รายละเอียด
ระยะเวลาถือครอง 5-10 วัน
เป้าหมายกำไร 5-10% หรือ 20-25%
ปรัชญาการทำกำไร ทบต้นกำไร

คุณอาจสงสัยว่า “แล้วทำไมต้องจำกัดเวลาถือแค่ 5-10 วันล่ะ?” เหตุผลก็คือ Swing Trader เชื่อว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมักมีรอบของมันเอง การถือครองนานเกินไปอาจทำให้ต้องเจอการพักฐานหรือปรับฐานที่กินเวลายาวนาน ทำให้เงินทุนจม เราต้องการเข้าทำกำไรในช่วงที่ราคามีแนวโน้มจะวิ่งขึ้นจริงๆ เท่านั้นครับ

ความสำคัญสูงสุดในสวิงเทรด: การบริหารความเสี่ยงและจุดตัดขาดทุนที่แคบ

นี่คือจุดที่ทำให้สวิงเทรดแตกต่างและมีวินัยสูงครับ สิ่งที่เน้นย้ำมากๆ ในสวิงเทรดคือ การบริหารความเสี่ยง และการตั้ง จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)

  • Stop Loss ที่แคบ: หัวใจของสวิงเทรดอยู่ที่การตั้งจุดตัดขาดทุนที่ แคบมาก โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2-3% จากจุดเข้าซื้อเท่านั้น เพื่อจำกัดความเสียหายให้ต่ำที่สุด หากราคาลงไปถึงจุดนี้ เราต้อง ตัดขาดทุนทันทีอย่างเด็ดขาด ไม่มีการต่อราคา ไม่มีการรอ ไม่มีการหวังว่ามันจะเด้งกลับมา
  • ทำไมต้องแคบขนาดนั้น?: หากเปรียบเทียบกับกลยุทธ์อื่นที่อาจยอมตัดขาดทุนที่ 7-10% การตั้ง Stop Loss แค่ 2-3% ในสวิงเทรด ทำให้เมื่อผิดทาง เราเสียหายน้อยมาก ลองนึกภาพว่าถ้าเราตั้งเป้ากำไร 10% และ Stop Loss 2% หมายความว่า อัตราส่วนกำไรต่อขาดทุน (Risk/Reward Ratio) อยู่ที่ 5:1 ถ้าเราเทรด 10 ครั้ง ผิดทาง 4 ครั้ง (เสีย 4 * 2% = 8%) แต่ถูกทาง 6 ครั้ง (ได้ 6 * 10% = 60%) ผลรวมก็ยังกำไรมหาศาลครับ แต่ถ้า Stop Loss กว้างกว่านี้ เราต้องถูกทางบ่อยขึ้นมากเพื่อที่จะกำไร
  • วินัยคือสิ่งสำคัญที่สุด: การตัดขาดทุนที่แคบต้องอาศัยวินัยที่สูงมากๆ ในการปฏิบัติตามแผน หากคุณไม่สามารถทำตามแผนการตัดขาดทุนนี้ได้ สวิงเทรดอาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหมาะกับคุณเลยครับ เพราะการปล่อยให้ขาดทุนเล็กน้อยกลายเป็นขาดทุนก้อนโตคือสิ่งที่อันตรายที่สุดในการเทรดระยะสั้นถึงกลาง
Stop Loss คำอธิบาย
Stop Loss แคบ 2-3% จากจุดเข้าซื้อ
แนวทาง ตัดขาดทุนทันที
วินัยในการเทรด ปฏิบัติตามแผนการอย่างเคร่งครัด

จำไว้เสมอว่า ในตลาดหุ้น ไม่มีอะไรแน่นอน 100% เราต้องพร้อมรับมือกับความผิดพลาด และการตั้ง Stop Loss คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการปกป้องเงินทุนของเราครับ

เทคนิคการเข้าซื้อแบบ “ย่อซื้อ” (Buy Weakness) ทำอย่างไร?

ในสวิงเทรด มีวิธีการเข้าซื้อหลักๆ อยู่สองแบบ แบบแรกคือ ย่อซื้อ (Buy Weakness) หรือการเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นมีการพักตัวหรือย่อลงมา

หลักการคือ เราจะมองหาหุ้นที่มีแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรงอยู่แล้ว แต่ราคาได้ย่อตัวลงมาพักที่บริเวณสำคัญๆ เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อในราคาที่ได้เปรียบเสมือนการ “เก็บของ” ตอนที่คนส่วนใหญ่กำลังลังเลหรือกลัว

บริเวณสำคัญที่มักใช้เป็นจุดพิจารณาเข้าซื้อแบบย่อซื้อ ได้แก่:

  • แนวรับสำคัญ: อาจเป็นแนวรับที่เคยเป็นแนวต้านเก่า หรือเป็นแนวรับทางจิตวิทยา
  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average – MA): เส้นค่าเฉลี่ยยอดนิยมที่ใช้ได้แก่ เส้น MA 5 วัน, 10 วัน, 20 วัน หรือ EMA 9/21 วัน นักเทรดจะมองว่าเมื่อราคาย่อตัวลงมาแตะหรือใกล้เคียงเส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นแนวรับแบบไดนามิก (Dynamic Support) และมีสัญญาณว่าจะเด้งกลับ เป็นจังหวะที่น่าเข้าซื้อ
  • กรอบราคาด้านล่าง: ในกรณีที่หุ้นเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway ก่อนจะเลือกทางขึ้น การย่อตัวลงมาใกล้ขอบล่างของกรอบก็เป็นจุดที่น่าสนใจ

การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการย่อตัวของราคา

การเข้าซื้อแบบย่อซื้อมีความเสี่ยงตรงที่ราคาอาจจะย่อลึกกว่าที่คาดการณ์ หรือการย่อครั้งนี้อาจไม่ใช่การพักตัวชั่วคราว แต่อาจเป็นการกลับตัวลงจริงๆ ดังนั้น การตั้ง Stop Loss ที่แคบ จึงสำคัญมากๆ ในการเข้าซื้อแบบนี้ครับ คุณต้องเข้าซื้อเมื่อเห็นสัญญาณการกลับตัวหรือแรงซื้อกลับมาบ้างแล้ว ไม่ใช่เข้าซื้อในขณะที่ราคากำลังไหลลงอย่างรุนแรง

อีกวิธีเข้าซื้อที่นิยม: ซื้อเมื่อเบรกเอาต์ (Buy Strength/Breakout) อีกมุมที่มองข้ามไม่ได้

ตรงข้ามกับการย่อซื้อ อีกเทคนิคการเข้าซื้อยอดนิยมในสวิงเทรดคือ ซื้อเมื่อเบรกเอาต์ (Buy Strength/Breakout) หรือการเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นทะลุผ่านแนวต้านสำคัญขึ้นไปได้

หลักการนี้มองว่า การที่ราคาหุ้นสามารถทะลุผ่านแนวต้านที่แข็งแกร่งขึ้นไปได้ แสดงถึงแรงซื้อที่มหาศาลและความแข็งแกร่งของราคา (Strength) ซึ่งมักจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

จุดที่มักใช้พิจารณาการเข้าซื้อแบบเบรกเอาต์ ได้แก่:

  • แนวต้านสำคัญ: จุดสูงสุดเดิม (Previous High), แนวต้านที่ทดสอบหลายครั้งแล้วไม่ผ่าน
  • กรอบราคาด้านบน: การทะลุขอบบนของกรอบ Sideway หลังจากสะสมกำลังมานาน
  • การทะลุรูปแบบราคา (Chart Patterns): เช่น การทะลุ Neckline ของรูปแบบ Head and Shoulders Bottom, การทะลุกรอบสามเหลี่ยม (Triangle) หรือรูปแบบธง (Flag/Pennant)

การซื้อเมื่อเบรกเอาต์ของราคาหุ้น

สิ่งสำคัญที่สุดของการเข้าซื้อแบบเบรกเอาต์คือ วอลุ่ม (Volume) ครับ การเบรกเอาต์ที่แข็งแกร่งมักจะต้องมีปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อยืนยันว่าการทะลุครั้งนี้เป็นของจริง ไม่ใช่ False Breakout (การทะลุหลอก)

การเข้าซื้อแบบเบรกเอาต์อาจทำให้คุณได้หุ้นที่กำลังเริ่มวิ่งแรง แต่ข้อเสียคือคุณอาจต้องเข้าซื้อในราคาที่สูงกว่าการย่อซื้อ และหากเป็นการเบรกเอาต์ที่ล้มเหลว (False Breakout) คุณก็ต้องพร้อมตัดขาดทุนทันทีตามแผนที่วางไว้เช่นกันครับ

กลยุทธ์การขายทำกำไร (Take Profit) ในสไตล์สวิงเทรด

เมื่อเข้าซื้อหุ้นได้แล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการวางแผน การขายทำกำไร (Take Profit) เพื่อให้มั่นใจว่ากำไรที่เราเห็นในพอร์ตจะเป็นจริง ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนหน้าจอ Swing Trader มีหลายวิธีในการกำหนดจุดขายทำกำไร:

  • ตั้งเป้าหมายคงที่: กำหนดเป้าหมายกำไรไว้ล่วงหน้า เช่น 5%, 10%, 20% เมื่อราคาไปถึงเป้าหมาย ก็ทำการขายออกทั้งหมดทันที วิธีนี้ง่ายและเหมาะกับมือใหม่
  • การแบ่งขาย (Selling in Tranches): เป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันมากในสวิงเทรด เช่น เมื่อราคาถึงเป้าหมายแรกที่ 10% อาจขายออกไปครึ่งหนึ่งก่อน เพื่อล็อกกำไรส่วนแรกไว้ ส่วนที่เหลือปล่อยให้วิ่งต่อไปโดยอาจใช้ Trailing Stop ช่วยล็อกกำไรที่เพิ่มขึ้น หากราคาไปต่อก็ได้กำไรเพิ่ม หากราคาย่อลงมาอย่างน้อยเราก็ได้กำไรครึ่งแรกไปแล้ว
  • Selling into Strength: การขายในขณะที่ราคากำลังปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยอาจมองหาสัญญาณการอ่อนแรงของแรงซื้อ หรือเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านสำคัญถัดไป วิธีนี้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มากขึ้นและสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของราคาได้ดี
  • การใช้ Fibonacci Projection/Extension: เครื่องมือ Fibonacci สามารถช่วยคาดการณ์เป้าหมายราคาที่เป็นไปได้ในอนาคต โดยเฉพาะการใช้ระดับ 161.8% หรือ 261.8% เป็นเป้าหมายการทำกำไร
  • การใช้ Trailing Stop: แทนที่จะตั้งจุดขายคงที่ Trailing Stop คือการเลื่อนจุด Stop Loss ตามราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้สามารถรันเทรนด์ไปได้ไกลที่สุดเท่าที่ราคาจะไปได้ โดยจะขายออกก็ต่อเมื่อราคาหยุดวิ่งและย่อตัวลงมาชน Trailing Stop ที่เราตั้งไว้ วิธีนี้เหมาะมากหากหุ้นที่เราถือวิ่งแรงเกินคาด
กลยุทธ์การขายทำกำไร รายละเอียด
ตั้งเป้าหมายคงที่ กำหนดราคาทำกำไรไว้ล่วงหน้า
การแบ่งขาย ขายออกบางส่วนเมื่อถึงเป้าหมาย
Selling into Strength ขายในช่วงราคาสูงขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือ มีแผนการขายก่อนเข้าซื้อเสมอ และ รักษากำไรไว้ อย่าปล่อยให้กำไรที่เห็นกลับกลายเป็นขาดทุนครับ นี่คือกฎเหล็กอีกข้อในสวิงเทรด.

การใช้เครื่องมือทางเทคนิค: เส้นค่าเฉลี่ยและอื่นๆ ที่จำเป็น

Swing Trader ส่วนใหญ่พึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก เครื่องมือที่ขาดไม่ได้เลยคือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average – MA) และ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอกซ์โพเนนเชียล (Exponential Moving Average – EMA)

  • เส้นค่าเฉลี่ย: ช่วยให้เรามองเห็น แนวโน้ม (Trend) ได้ชัดเจนขึ้น ช่วยกรองความผันผวนระยะสั้นออกไป และยังทำหน้าที่เป็นแนวรับ/แนวต้านแบบไดนามิกได้ดี เส้นค่าเฉลี่ยยอดนิยมสำหรับสวิงเทรดมักเป็นเส้นที่ใช้ระยะเวลาสั้นๆ เช่น MA 5 วัน, 10 วัน, 20 วัน หรือ EMA 9 วัน, 21 วัน การที่ราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นแสดงถึงความแข็งแกร่งในระยะสั้น
  • สัญญาณจากเส้นค่าเฉลี่ย: การที่ราคาตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยอาจเป็นสัญญาณเข้าซื้อ การที่ราคาตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยอาจเป็นสัญญาณขาย หรืออย่างน้อยก็ต้องระมัดระวัง การที่เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (Golden Cross) เป็นสัญญาณขาขึ้น ในทางกลับกัน (Death Cross) เป็นสัญญาณขาลง
  • Fibonacci Tools: นอกจาก Fibonacci Projection ที่กล่าวถึงสำหรับการหาเป้าหมายกำไรแล้ว Fibonacci Retracement ก็มีประโยชน์ในการหาแนวรับที่คาดว่าราคาน่าจะย่อลงมาพักตัวสำหรับการเข้าซื้อแบบย่อซื้อ
  • Elliott Wave Theory: แม้จะซับซ้อน แต่การทำความเข้าใจ Elliott Wave โดยเฉพาะการมองหา Wave 3 ซึ่งมักเป็นคลื่นที่ราคาเคลื่อนที่ขึ้นแรงที่สุดและทำกำไรได้มากที่สุด ก็เป็นแนวทางที่ Swing Trader ขั้นสูงนิยมใช้
  • วอลุ่ม (Volume): เป็นตัวยืนยันความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวของราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าซื้อแบบเบรกเอาต์

การใช้เครื่องมือ Fibonacci ในการวิเคราะห์ตลาดหุ้น

การใช้เครื่องมือเหล่านี้ คุณจะต้องมีแพลตฟอร์มการเทรดที่ดี ซึ่งปัจจุบันมีหลายตัวเลือกที่รองรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง พร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยให้การตัดสินใจของคุณแม่นยำขึ้น

ในทางปฏิบัติ การเลือกใช้เครื่องมือใดขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจหลักการและใช้เครื่องมือเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอตามแผนที่วางไว้ครับ

“The Trend is Your Friend”: ทำไมแนวโน้มจึงสำคัญมากในสวิงเทรด

คำกล่าวที่ว่า “The Trend is Your Friend” เป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับ Swing Trader ครับ เนื่องจากสวิงเทรดเป็นการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นถึงกลาง การเทรดตามแนวโน้มหลักจึงเป็นกลยุทธ์ที่ได้เปรียบที่สุด

  • เทรดตามกระแส: เมื่อหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) การเข้าซื้อในช่วงที่ราคาย่อตัวหรือเบรกเอาต์ขึ้นไปตามแนวโน้มหลัก มีโอกาสสำเร็จสูงกว่าการพยายามช้อนซื้อหุ้นขาลงเพื่อหวังการเด้งสั้นๆ
  • ลดความเสี่ยง: การเทรดตามแนวโน้มช่วยลดความเสี่ยงในการติดดอย หรือเจอการปรับฐานที่ยาวนาน เพราะเราเข้าอยู่ในช่วงที่แรงซื้อกำลังได้เปรียบ
  • มองหา Wave 3: ผู้ที่ใช้ทฤษฎี Elliott Wave มักจะโฟกัสการเทรดในช่วง Wave 3 ซึ่งเป็นคลื่นที่ตลาดมักจะเคลื่อนที่แรงที่สุดและเร็วที่สุด เป็นช่วงเวลาทองสำหรับการทำกำไรในสวิงเทรด
  • ตลาด Sideway: แม้จะสามารถใช้สวิงเทรดทำกำไรในตลาด Sideway ได้จากการซื้อที่กรอบล่างและขายที่กรอบบน แต่โอกาสในการทำกำไรมักไม่มากเท่าช่วงมีเทรนด์ และความเสี่ยงที่ราคาจะหลุดกรอบก็มีอยู่เสมอ
กลยุทธ์ รายละเอียด
เทรดตามกระแส ตามกระแสบวกในราคา
ลดความเสี่ยง ทำให้แน่ใจว่าจะอยู่ในช่วงที่กำลังแข็งแกร่ง
มองหา Wave 3 สะสมในช่วงที่ตลาดแข็งแกร่ง

ดังนั้น ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นตัวใดในสไตล์สวิงเทรด ลองมองภาพใหญ่ก่อนว่า หุ้นตัวนั้นอยู่ในแนวโน้มแบบไหนใน Time Frame ที่คุณเลือกเทรด การหาหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งและกำลังพักตัวหรือกำลังจะเบรกเอาต์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสแกนหาโอกาสครับ

เลือก Time Frame ที่เหมาะสม: ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เราต้องเลือก Time Frame หรือกรอบเวลาในการดูกราฟให้เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของเรา การเลือก Time Frame ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ Swing Trader ครับ

  • สำหรับสวิงเทรด: Time Frame ที่นิยมใช้ในการดูกราฟหลัก (เช่น เพื่อระบุแนวโน้มและหาจุดเข้า/ออก) มักจะเป็นกราฟรายวัน (Daily Chart) หรือกราฟราย 4 ชั่วโมง (H4 Chart)
  • Time Frame ใหญ่บอกภาพใหญ่: การดูกราฟใน Time Frame ที่ใหญ่กว่า เช่น กราฟรายสัปดาห์ (Weekly Chart) สามารถช่วยให้เราเห็นภาพรวมของแนวโน้มหลักในระยะยาวได้ เพื่อให้มั่นใจว่าหุ้นที่เราสนใจเทรดอยู่ในแนวโน้มใหญ่ที่สนับสนุนการขึ้น
  • Time Frame เล็กใช้จับจังหวะ: บางครั้งอาจใช้ Time Frame ที่เล็กลง เช่น กราฟรายชั่วโมง (Hourly Chart – H1) หรือกราฟราย 30 นาที เพื่อช่วยในการหาจุดเข้าซื้อและตั้ง Stop Loss ที่แม่นยำขึ้น หลังจากได้ภาพรวมจาก Time Frame ใหญ่แล้ว

สิ่งสำคัญคือ ต้องมีความสอดคล้องระหว่าง Time Frame หากคุณตัดสินใจจะเทรดโดยใช้กราฟรายวันเป็นหลัก คุณก็ควรมองหาแนวโน้มและสัญญาณต่างๆ ในกราฟรายวัน การกระโดดไปมาระหว่าง Time Frame ที่แตกต่างกันมากเกินไป อาจทำให้เกิดความสับสนได้ครับ

ลองทดลองดูก่อนว่าการใช้ Time Frame ใดเหมาะสมกับตารางชีวิตและสไตล์การเทรดของคุณมากที่สุด บางคนอาจถนัดดูกราฟรายวันหลังเลิกงาน บางคนอาจมีเวลาดูกราฟ H4 ในช่วงกลางวัน เลือก Time Frame ที่คุณสามารถติดตามและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

เปรียบเทียบสวิงเทรดกับกลยุทธ์อื่นๆ: Day Trade vs. Position Trade

เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น มาเปรียบเทียบสวิงเทรดกับกลยุทธ์การเทรดอื่นๆ ที่นิยมกันครับ

  • Day Trade: เน้นการซื้อขายที่จบในวันเดียวกัน ไม่มีการถือข้ามคืน อาศัยการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยในระหว่างวันเพื่อทำกำไร ใช้ Time Frame ที่เล็กมากๆ เช่น กราฟรายนาที (M1, M5, M15) ต้องใช้เวลาเฝ้าหน้าจอเกือบตลอดเวลา และต้องตัดสินใจรวดเร็วมาก Stop Loss และเป้าหมายกำไรจะแคบกว่าสวิงเทรดมาก
  • Position Trade: เน้นการถือหุ้นระยะยาวตั้งแต่หลายเดือนไปจนถึงหลายปี มองหาแนวโน้มใหญ่ของหุ้น อาศัยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานควบคู่กับปัจจัยทางเทคนิคใน Time Frame ที่ใหญ่มากๆ เช่น กราฟรายสัปดาห์หรือรายเดือน ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอถี่นัก แต่ต้องอดทนรอคอยผลตอบแทนในระยะยาว และมักตั้ง Stop Loss กว้างกว่าสวิงเทรด
  • สวิงเทรด (Swing Trade): อยู่ตรงกลางระหว่างสองกลยุทธ์ข้างต้น ถือครอง 5-10 วัน หรือระดับวันถึงสัปดาห์ ใช้ Time Frame ที่กลางๆ เช่น กราฟรายวันหรือ H4 ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดวันเท่า Day Trade แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์บ่อยกว่า Position Trade เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อจับรอบระยะสั้นถึงกลาง มี Stop Loss ที่แคบกว่า Position Trade แต่กว้างกว่า Day Trade
กลยุทธ์ ข้อดี ข้อจำกัด
Day Trade ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวรายวัน ต้องเฝ้าติดตามตลอดทั้งวัน
Position Trade การลงทุนระยะยาว ต้องอดทนรอรอบผลตอบแทน
สวิงเทรด (Swing Trade) เหมาะสำหรับคนทำงานประจำ ต้องดูแลติดตามสถานการณ์บ่อยกว่า Position Trade

ข้อดีของสวิงเทรด:

  • ใช้เวลาน้อยกว่า Day Trade เหมาะกับคนทำงานประจำ
  • มีโอกาสทำกำไรได้บ่อยกว่า Position Trade
  • บริหารความเสี่ยงได้ดีด้วย Stop Loss ที่แคบ
  • ไม่ต้องเครียดกับการเฝ้าจอและความผันผวนรายนาทีเท่า Day Trade

ข้อจำกัดของสวิงเทรด:

  • อาจเจอการตัดขาดทุนบ่อยครั้ง หากตลาดมีความผันผวนสูงในระยะสั้น
  • อาจเจอการ “ขายหมู” หรือขายออกไปก่อนที่หุ้นจะวิ่งไปได้ไกลกว่าที่คาด หากไม่ได้ใช้ Trailing Stop หรือเทคนิคการรันเทรนด์
  • ต้องการความรู้ความเข้าใจด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคพอสมควร
  • ยังคงต้องใช้เวลาในการเฝ้าติดตามและวางแผนมากกว่า Position Trade

การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับบุคลิกภาพ ตารางเวลา และเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ดียิ่งขึ้นครับ

บทสรุป: กุญแจสู่ความสำเร็จในสวิงเทรด

สวิงเทรดเป็นกลยุทธ์การเทรดที่น่าสนใจและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ หากคุณมีความรู้ความเข้าใจและวินัยในการปฏิบัติตามแผน

หัวใจสำคัญของความสำเร็จในสวิงเทรดที่เราได้พูดถึงในวันนี้ สรุปได้ดังนี้ครับ:

  • เข้าใจหลักการ: รู้ว่าสวิงเทรดคืออะไร เน้นการทำกำไรจากการแกว่งตัวระยะสั้นถึงกลาง
  • บริหารความเสี่ยง: ตั้ง Stop Loss ที่แคบเพียง 2-3% และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นี่คือกฎเหล็กที่คุณห้ามผิดเด็ดขาด
  • มีแผนการเข้า-ออก: เลือกว่าจะใช้เทคนิคย่อซื้อ หรือ เบรกเอาต์ หรือผสมผสาน และมีแผนการขายทำกำไรที่ชัดเจน อาจใช้การแบ่งขาย หรือ Trailing Stop เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
  • ใช้เครื่องมือให้เป็น: ฝึกฝนการใช้เส้นค่าเฉลี่ย Fibonacci หรือเครื่องมืออื่นๆ ที่คุณถนัด เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจ
  • เทรดตามแนวโน้ม: มองหาหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นและพยายามเข้าเทรดตามกระแสหลัก โดยเฉพาะในช่วง Wave 3
  • เลือก Time Frame ที่ใช่: ใช้ Time Frame ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ และยึดกับมัน
  • มีวินัย: ปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ “เอากำไรไว้ก่อน” และ “รีบตัดขาดทุน” คือสิ่งที่ต้องท่องจำ

สวิงเทรดต้องการการฝึกฝนและความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ การเริ่มต้นด้วยเงินทุนจำนวนน้อย และค่อยๆ พัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆ เป็นแนวทางที่ปลอดภัยที่สุด อย่าเพิ่งทุ่มเงินทั้งหมดในครั้งแรกที่คุณลองใช้กลยุทธ์นี้

ขอให้ความรู้ที่เราแบ่งปันในวันนี้ เป็นประโยชน์และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีบนเส้นทางสวิงเทรดของคุณนะครับ ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมและมีวินัยในการเทรด ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนครับ!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับswing trade คือ

Q:สวิงเทรดคืออะไร?

A:สวิงเทรดคือกลยุทธ์การเก็งกำไรที่เน้นการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาหุ้นในระยะสั้นถึงกลาง.

Q:การตั้ง Stop Loss สำคัญอย่างไรในสวิงเทรด?

A:การตั้ง Stop Loss ช่วยจำกัดการขาดทุนให้ต่ำที่สุดและควบคุมความเสี่ยง.

Q:เวลาที่ดีที่สุดในการถือหุ้นในสวิงเทรดคือเท่าไหร่?

A:โดยทั่วไปคือระยะเวลา 5-10 วันในการถือหุ้น.

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *