ทำไมหุ้นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ถึงเป็นเมกะเทรนด์ที่น่าลงทุน?
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือที่รู้จักในชื่อ EV ได้กลายเป็นหนึ่งในกระแสหลักที่ทรงอิทธิพลที่สุดของทศวรรษนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบนท้องถนนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบลึกซึ้งไปถึงวงการการเงินและการลงทุน ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนทั่วโลกที่มองหาโอกาสเติบโตในระยะยาว
แรงผลักดันหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด มาจากความต้องการพลังงานสะอาดเพื่อรับมือกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในหลายประเทศ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หันมาให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตามข้อมูลจาก International Energy Agency (IEA) ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกพุ่งสูงถึงเกือบ 14 ล้านคันในปี 2023 เพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลขดังกล่าวไม่ใช่แค่สถิติธรรมดา แต่สะท้อนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ที่ผู้บริโภคเริ่มยอมรับเทคโนโลยีนี้อย่างกว้างขวาง ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่ชัดเจนสำหรับนักลงทุนที่วางแผนระยะยาว

เปิดพอร์ตหุ้น EV ต่างประเทศ: ยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดโลก
เมื่อพูดถึงการลงทุนในหุ้นรถยนต์ไฟฟ้า ชื่อเสียงของบริษัทระดับโลกมักเป็นจุดเริ่มต้นของนักลงทุนหลายคน เหล่าผู้นำตลาดเหล่านี้ไม่เพียงผลิตรถยนต์ แต่ยังขับเคลื่อนนวัตกรรมที่กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมทั้งหมด
Tesla (TSLA): ผู้บุกเบิกที่มากกว่าแค่รถยนต์
Tesla คือมากกว่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทแห่งนี้ถูกมองว่าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ปฏิวัติทั้งระบบพลังงานและการขนส่ง ความได้เปรียบของ Tesla ไม่ได้อยู่แค่ดีไซน์ที่ล้ำสมัยหรือสมรรถนะที่เหนือชั้น แต่รวมถึงระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายสถานีชาร์จ Supercharger ที่ครอบคลุมทั่วโลก เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงธุรกิจพลังงานสะอาดอย่างแผงโซลาร์เซลล์และระบบกักเก็บพลังงานภายใต้ Tesla Energy สิ่งเหล่านี้ทำให้ Tesla ยังคงเป็นหุ้นที่นักลงทุนระดับโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด
BYD (BYDDF): มังกรจีนที่ยืนหนึ่งในตลาดโลก
BYD หรือ “Build Your Dreams” คือหนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า จนกลายเป็นผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลก จุดแข็งหลักของ BYD คือความสามารถในการผลิตแบตเตอรี่เอง โดยใช้เทคโนโลยี Blade Battery ที่มีจุดเด่นเรื่องความปลอดภัยสูง ต้นทุนต่ำ และอายุการใช้งานยาวนาน ความได้เปรียบนี้ช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตั้งราคาให้แข่งขันได้ในตลาดโลก ปัจจุบัน BYD ไม่เพียงครองตลาดจีน แต่ยังขยายตัวอย่างจริงจังในหลายประเทศ รวมถึงการเข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ในประเทศไทยด้วย
Nio, XPeng, Li Auto: 3 สตาร์ทอัพชั้นนำจากจีน
นอกเหนือจากผู้นำตลาดอย่าง BYD แล้ว ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพจากจีนอีก 3 รายที่ถูกจับตามองในตลาดทุนสหรัฐฯ ได้แก่ Nio, XPeng และ Li Auto ที่แต่ละรายมีกลยุทธ์เฉพาะตัวเพื่อแข่งขันในตลาดที่ร้อนแรง
- Nio (NIO): โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Battery Swapping หรือการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบเร็วภายในไม่กี่นาที ช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาการชาร์จและคลายความกังวลของผู้ใช้เกี่ยวกับระยะทางการขับขี่
- XPeng (XPEV): มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) ที่ทันสมัย พร้อมระบบนำทางอัตโนมัติในเมือง ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Tesla ด้านซอฟต์แวร์
- Li Auto (LI): เลือกกลยุทธ์เฉพาะตัวด้วยการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ EREV (Extended-Range Electric Vehicles) ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาดเล็กทำหน้าที่ปั่นไฟ ช่วยยืดระยะทางโดยไม่ต้องพึ่งสถานีชาร์จบ่อยครั้ง เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ห่างไกล
ส่องหุ้น EV ไทย: ใครได้ประโยชน์จาก EV Ecosystem ในประเทศ?
ในตลาดหุ้นไทย แม้จะยังไม่มีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยตรง แต่ก็มีบริษัทหลายกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ซึ่งเปิดโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
กลุ่มพลังงานและสถานีชาร์จ (EA, GPSC, PTT OR)
เมื่อยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ความต้องการด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานด้านชาร์จก็เพิ่มตาม ทำให้บริษัทในกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง
- EA (Energy Absolute): ผู้นำด้าน EV Ecosystem แบบครบวงจรในไทย ทั้งการผลิตแบตเตอรี่ รถบัสไฟฟ้า เรือไฟฟ้า และเครือข่ายสถานีชาร์จภายใต้แบรนด์ “EA Anywhere” ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ
- GPSC (Global Power Synergy): ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานของกลุ่ม ปตท. GPSC ลงทุนในโรงงานผลิตแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในระยะยาว
- PTT OR (PTT Oil and Retail Business): ผู้ให้บริการปั๊มน้ำมันที่ปรับตัวทันสมัยด้วยการติดตั้งสถานีชาร์จ EV “EV Station PluZ” ทั่วประเทศ ใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดในอนาคต

กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, KCE)
รถยนต์ไฟฟ้าต้องใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และชิปเซมิคอนดักเตอร์มากกว่ารถยนต์สันดาปหลายเท่า ทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนชั้นนำของไทยอย่าง DELTA และ KCE อยู่ในตำแหน่งที่ได้ประโยชน์โดยตรง โดยเฉพาะเมื่อค่ายรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มกำลังการผลิตรถ EV และต้องการซัพพลายเชนที่มีเสถียรภาพ
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและผู้ผลิตชิ้นส่วน (WHA, AH)
การที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง BYD, GAC Aion และ Changan เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ทำให้บริษัทกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมอย่าง WHA ได้รับอานิสงส์อย่างชัดเจนจากการขายและให้เช่าที่ดิน ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อย่าง AH ก็ต้องปรับตัวเพื่อผลิตชิ้นส่วนที่รองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งเปิดโอกาสเติบโตใหม่ให้กับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนไทย
ทางเลือกใหม่: ลงทุนหุ้น EV ผ่านกองทุนรวม ดีกว่าเลือกหุ้นรายตัวจริงหรือ?
สำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามข้อมูลเฉพาะหุ้นรายตัว การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่เน้นธีมรถยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะช่วยลดความซับซ้อนและกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือกหุ้นรายตัวอาจให้ผลตอบแทนสูงหากคาดการณ์ถูก แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่กระจุกตัวและต้องใช้เวลาศึกษาเชิงลึก ในขณะที่กองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการ ช่วยกระจายการลงทุนในหุ้นหลายบริษัท แม้จะมีค่าธรรมเนียมแต่ก็เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกและเสถียรภาพ
รูปแบบการลงทุน | ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|---|
ลงทุนหุ้นรายตัว (Individual Stocks) |
|
|
ลงทุนผ่านกองทุนรวม (Mutual Funds) |
|
|
สำหรับนักลงทุนชาวไทย ปัจจุบันมีกองทุนรวมหลายตัวที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม EV และพลังงานสะอาด เช่น กองทุน K-CHANGE-A(A) ที่เน้นบริษัทที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงบริษัทในกลุ่มพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน หรือกองทุน TMB-ES-GINNOEV ที่เน้นลงทุนโดยตรงในนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง นักลงทุนควรศึกษานโยบายการลงทุน สัดส่วนสินทรัพย์ และค่าธรรมเนียมให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการลงทุนอย่าง Moneta Markets ก็เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มนักลงทุนที่มองหาโอกาสในตลาด EV โดยให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัย ช่วยให้นักลงทุนสามารถติดตามแนวโน้มและตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุน
นโยบายภาครัฐไทยกับอนาคตหุ้น EV
หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรม EV ในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดคือ “นโยบายภาครัฐ” โดยเฉพาะนโยบาย “30@30” ซึ่งตั้งเป้าให้ประเทศไทยผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) อย่างน้อย 30% ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2030
ตามข้อมูลจาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นโยบายดังกล่าวมาพร้อมมาตรการสนับสนุนที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินอุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า การลดหย่อนภาษีสรรพสามิตและอากรศุลกากร รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทที่ลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ
มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แต่ยังส่งผลดีโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่ม EV Ecosystem ของไทย โดยเฉพาะกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA) ที่จะได้ลูกค้ารายใหม่ กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน (AH, KCE, DELTA) ที่จะมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และกลุ่มพลังงาน (EA, GPSC, OR) ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จและระบบจ่ายไฟ

ความเสี่ยงและข้อควรระวังก่อนลงทุนในหุ้นรถยนต์ไฟฟ้า
แม้แนวโน้มการเติบโตจะสดใส แต่การลงทุนในหุ้นกลุ่ม EV ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน
- การแข่งขันที่รุนแรง: อุตสาหกรรมนี้มีผู้เล่นใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากค่ายรถยนต์เดิมที่ปรับตัวและบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและนวัตกรรมอย่างดุเดือด
- ความผันผวนสูง: หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีแนวโน้มผันผวนมากกว่าหุ้นกลุ่มดั้งเดิม นักลงทุนต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็ว
- ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain): การขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ หรือความผันผวนของราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างลิเธียม โคบอลต์ และนิกเกิล อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและกำลังการผลิตได้
- การเปลี่ยนแปลงนโยบาย: หากภาครัฐยกเลิกหรือปรับลดมาตรการสนับสนุน เช่น การลดเงินอุดหนุนหรือภาษี อาจส่งผลต่อยอดขายและความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ทันที
สรุปและแนวโน้มการลงทุนหุ้น EV ในอนาคต
หุ้นรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์การลงทุนที่น่าจับตามองและมีศักยภาพเติบโตได้อีกยาวนาน การเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลสู่รถยนต์ไฟฟ้าคือทิศทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของโลก และเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์
อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นต่างประเทศที่มีนวัตกรรมล้ำหน้า หรือหุ้นไทยที่ได้รับอานิสงส์จาก Ecosystem ที่กำลังขยายตัว การพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมก็เป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระจายความเสี่ยง สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกวิธีการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเวลาที่สามารถทุ่มเทในการติดตามตลาด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
หุ้นรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมีตัวไหนบ้างที่น่าจับตามอง?
ในไทยยังไม่มีหุ้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง แต่มีหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก EV Ecosystem ได้แก่:
- กลุ่มพลังงานและสถานีชาร์จ: EA, GPSC, PTT OR
- กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์: DELTA, KCE
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและผู้ผลิตชิ้นส่วน: WHA, AH
นักลงทุนมือใหม่อยากซื้อหุ้น Tesla หรือ BYD ในไทยต้องเริ่มต้นอย่างไร?
นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นต่างประเทศ เช่น Tesla (TSLA) หรือ BYD (BYDDF) ได้ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ในประเทศไทยที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ โดยต้องทำการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศก่อน ซึ่งปัจจุบันมีหลายโบรกเกอร์ให้บริการและสามารถทำได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์
นอกจากการผลิตรถยนต์แล้ว หุ้นกลุ่มไหนอีกบ้างที่ได้ประโยชน์จากเทรนด์ EV?
มีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตแบตเตอรี่, กลุ่มผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และระบบขับขี่อัตโนมัติ, กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์, กลุ่มผู้ให้บริการสถานีชาร์จ, และกลุ่มเหมืองแร่ที่ผลิตวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่ เช่น ลิเธียมและโคบอลต์
การลงทุนในหุ้น EV ผ่านกองทุนรวม มีข้อดีกว่าการเลือกซื้อหุ้นรายตัวอย่างไร?
ข้อดีหลักๆ ของกองทุนรวมคือ การกระจายความเสี่ยง เพราะกองทุนจะลงทุนในหุ้นหลายบริษัท ช่วยลดผลกระทบหากมีหุ้นตัวใดตัวหนึ่งราคาตก, มีผู้เชี่ยวชาญดูแล ไม่ต้องวิเคราะห์หุ้นเอง, และใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อหุ้นรายตัวหลายๆ ตัวเพื่อกระจายความเสี่ยงด้วยตัวเอง
นโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทยส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มใดเป็นพิเศษ?
นโยบายภาครัฐส่งผลดีต่อหุ้นใน EV Ecosystem ของไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (เช่น WHA) ที่มีค่ายรถยนต์เข้ามาตั้งฐานการผลิต, กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน (เช่น AH, DELTA) ที่จะได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และ กลุ่มพลังงาน (เช่น EA, GPSC) ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จ
ความเสี่ยงหลักที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นกลุ่ม EV คืออะไร?
ความเสี่ยงหลัก ได้แก่ การแข่งขันที่รุนแรง จากผู้เล่นจำนวนมากซึ่งอาจนำไปสู่สงครามราคา, ความผันผวนของราคาหุ้น ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด, และ ความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทาน เช่น การขาดแคลนชิป หรือราคาวัตถุดิบแบตเตอรี่ที่พุ่งสูงขึ้น
หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า (EV Stock) กับ หุ้นรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (เช่น BTS, BEM) แตกต่างกันอย่างไร?
แม้จะเรียกว่า “รถไฟฟ้า” เหมือนกัน แต่เป็นคนละอุตสาหกรรมโดยสิ้นเชิง หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า (EV Stock) หมายถึง บริษัทที่ผลิตหรือเกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์ ส่วน หุ้นรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (เช่น BTS, BEM) คือ บริษัทที่ให้บริการระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมืองใหญ่
ในระยะยาว อนาคตของอุตสาหกรรมและหุ้นรถยนต์ไฟฟ้ายังน่าสนใจอยู่หรือไม่?
ใช่, ในระยะยาวอนาคตยังคงน่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและการขนส่งที่ทั่วโลกกำลังมุ่งไป แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่ศักยภาพการเติบโตในอีก 5-10 ปีข้างหน้ายังคงมีอยู่สูง ตามข้อมูลจาก BloombergNEF ที่คาดการณ์ว่ายอดขายรถ EV จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายทศวรรษ