Bollinger Bands: เครื่องมือวิเคราะห์ความผันผวนที่นักเทรดควรรู้

Table of Contents

Bollinger Bands คืออะไร? เครื่องมือวัดความผันผวนที่นักเทรดต้องรู้

ในโลกของการซื้อขายที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่แม่นยำและช่วยจับจังหวะตลาดได้ทันเวลา คือกุญแจสำคัญที่ทำให้นักลงทุนก้าวหน้ากว่าผู้อื่น หนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักเทรดทั่วโลกคือ Bollinger Bands หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า BB เครื่องมือนี้ไม่ได้เพียงแค่แสดงแนวรับแนวต้านเท่านั้น แต่ยังช่วยวัดระดับความผันผวนของราคาได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ใช้งานมองเห็นภาพรวมของพฤติกรรมตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

John Bollinger ผู้คิดค้นเครื่องมือนี้ในช่วงปี 1980 ตั้งใจจะสร้างระบบที่ปรับตัวได้ตามสภาพตลาด ไม่ใช่แค่เส้นตายตัวที่ใช้ได้เฉพาะบางช่วงเวลา Bollinger Bands จึงถูกออกแบบมาเป็น “กรอบราคาแบบไดนามิก” ที่บีบและขยายตัวตามความผันผวนของสินทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลา ทำให้นักเทรดสามารถวิเคราะห์ว่าราคาปัจจุบันอยู่ในภาวะ “สูงเกินไป” หรือ “ต่ำเกินไป” เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี เครื่องมือนี้ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Bollinger Bands จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในกลยุทธ์การเทรดของนักลงทุนหลายราย เพราะช่วยแยกแยะระหว่างตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending) กับตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideways) ได้อย่างแม่นยำ

illustration of Bollinger Bands in financial charts

ส่วนประกอบสำคัญ 3 เส้นของ Bollinger Bands

Bollinger Bands ถูกสร้างขึ้นจากสามเส้นหลักที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างกรอบการเคลื่อนไหวของราคา การเข้าใจหน้าที่ของแต่ละเส้นคือก้าวแรกสู่การใช้งานเครื่องมือนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

Middle Band (เส้นกลาง)

เส้นกลางคือพื้นฐานของ Bollinger Bands ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ Simple Moving Average (SMA) ย้อนหลัง 20 ช่วงเวลา (20-period SMA) เป็นตัวตั้งต้น เส้นนี้ทำหน้าที่เป็นแนวโน้มอ้างอิงที่แสดงถึงค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงระยะสั้นถึงกลาง หากราคาเคลื่อนที่อยู่เหนือเส้นกลางอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น ในทางกลับกัน หากเคลื่อนต่ำกว่าเส้นกลาง บ่งชี้ถึงแรงขายที่เหนือกว่า ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลง การใช้เส้นกลางร่วมกับพฤติกรรมของราคาจึงช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าควร “ตามเทรนด์” หรือ “รอโอกาสกลับตัว”

Upper Band (เส้นบน)

เส้นบนเกิดจากการนำค่าของเส้นกลางมาบวกกับ 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของราคาในช่วงเวลาเดียวกัน (Middle Band + 2SD) ยิ่งความผันผวนของราคาสูง เส้นนี้ก็จะขยายตัวออก แต่เมื่อตลาดนิ่ง เส้นก็จะแคบลง เส้นบนจึงทำหน้าที่เป็นแนวต้านแบบยืดหยุ่น เมื่อราคาขยับเข้าใกล้หรือแตะเส้นนี้ หลายครั้งจะถูกตีความว่าสินทรัพย์อยู่ในภาวะ “ซื้อมากเกินไป (Overbought)” ซึ่งอาจนำไปสู่การย่อตัวหรือการปรับฐาน อย่างไรก็ตาม การแตะเส้นบนเพียงอย่างเดียวไม่ใช่สัญญาณขายโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะในตลาดที่มีแนวโน้มขาขึ้นแรง

Lower Band (เส้นล่าง)

ตรงข้ามกับเส้นบน เส้นล่างคำนวณจากเส้นกลางลบด้วย 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Middle Band – 2SD) ทำหน้าที่เป็นแนวรับแบบไดนามิก เมื่อราคาปรับตัวลงมาใกล้หรือแตะเส้นนี้ มักถูกมองว่าอยู่ในภาวะ “ขายมากเกินไป (Oversold)” ซึ่งอาจส่งสัญญาณการดีดตัวกลับขึ้น อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเส้นบน การแตะเส้นล่างในช่วงแนวโน้มขาลงแรงไม่ได้แปลว่าจะเกิดการกลับตัวทันที

วิธีอ่านและตีความสัญญาณจาก Bollinger Bands

ความชาญฉลาดของ Bollinger Bands อยู่ที่การบอกเล่า “เรื่องราว” ของตลาดผ่านรูปทรงและพฤติกรรมของแถบ นักเทรดสามารถดึงข้อมูลเชิงลึกได้จากสามสัญญาณหลักที่เกิดขึ้นบ่อยในกราฟ

Bollinger Squeeze (แถบบีบตัว)

เมื่อเส้น Upper และ Lower Band เริ่มหดตัวเข้าหากันจนแคบมาก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Squeeze ซึ่งบ่งบอกว่าตลาดอยู่ในภาวะความผันผวนต่ำ ราคามักเคลื่อนไหวในกรอบแคบ คล้ายกับ “การสะสมพลัง” ก่อนเกิดเหตุการณ์สำคัญ สัญญาณนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมักเป็นตัวบ่งชี้ล่วงหน้าว่าการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างรุนแรง นักเทรดที่สังเกตเห็น Squeeze มักเตรียมพร้อมรับตำแหน่งเพื่อรอรับคลื่นราคาที่จะตามมา

dynamic market analysis using Bollinger Bands

Bollinger Breakout (การทะลุกรอบ)

หลังจากช่วง Squeeze การที่ราคาเคลื่อนตัวอย่างรุนแรงและทะลุผ่านเส้น Upper หรือ Lower Band อย่างชัดเจน เรียกว่า Breakout ซึ่งมักเป็นสัญญาณเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ หากราคาทะลุขึ้นไปเหนือเส้นบนพร้อมปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้น อาจบ่งชี้ถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ในทางกลับกัน การทะลุลงต่ำกว่าเส้นล่างอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง การยืนยันด้วย Volume ถือเป็นกุญแจสำคัญ เพราะ Breakout ที่เกิดขึ้นโดยไม่มี Volume สนับสนุน มีโอกาสสูงที่จะเป็น “สัญญาณหลอก” หรือ False Breakout

การเคลื่อนไหวของราคาภายในกรอบ

ในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน หรือที่เรียกว่า Sideways Market ราคาสินทรัพย์มักจะเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบที่กำหนดโดย Bollinger Bands ตามสถิติ ราคาจะอยู่ภายในกรอบนี้ประมาณ 90% ของเวลาทั้งหมด นักเทรดในตลาดแนวนี้จึงนิยมใช้กลยุทธ์ “Mean Reversion” หรือคาดการณ์ว่าราคาจะกลับเข้าหาค่าเฉลี่ย โดยพิจารณาเข้าซื้อเมื่อราคาลงมาแตะเส้นล่าง และพิจารณาขายเมื่อขึ้นไปแตะเส้นบน

กลยุทธ์การเทรดด้วย Bollinger Bands เบื้องต้น

เมื่อเข้าใจสัญญาณพื้นฐานแล้ว นักเทรดสามารถแปลงข้อมูลเหล่านี้เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ โดยปรับใช้ตามลักษณะของตลาดในแต่ละช่วง

กลยุทธ์สำหรับตลาด Sideways

ในตลาดที่ราคาวิ่งออกข้าง กลยุทธ์ Mean Reversion ถือว่าได้ผลดีที่สุด วิธีการคือ:

  • สัญญาณซื้อ (Buy): เมื่อราคาแตะหรือใกล้เคียงเส้น Lower Band และมีสัญญาณยืนยันจาก Price Action เช่น แท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick) หรือ Doji ก็สามารถพิจารณาเปิดสถานะซื้อ โดยตั้งเป้าหมายทำกำไรที่ Middle Band หรือ Upper Band
  • สัญญาณขาย (Sell): เมื่อราคาแตะหรือขึ้นไปใกล้เส้น Upper Band และมีสัญญาณกลับตัวจากกราฟแท่งเทียน เช่น Shooting Star หรือ Bearish Engulfing ก็สามารถพิจารณาเปิดสถานะขาย โดยตั้งเป้าหมายที่ Middle Band หรือ Lower Band

กลยุทธ์นี้เหมาะกับตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน แต่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงที่มีข่าวสำคัญหรือความผันผวนสูง และต้องไม่ใช้ในช่วงแนวโน้มแรง เพราะอาจส่งผลให้ขาดทุนอย่างหนัก

กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following)

สำหรับนักเทรดที่ต้องการจับคลื่นใหญ่ของตลาด กลยุทธ์นี้เน้นการใช้สัญญาณ Breakout หลังจาก Squeeze เกิดขึ้น วิธีการคือ:

  • สัญญาณซื้อ (Buy): หลังจากเห็น Squeeze ให้รอจนราคาทะลุขึ้นเหนือ Upper Band อย่างมั่นคง พร้อม Volume ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากนั้นจึงพิจารณาเข้าซื้อเพื่อตามเทรนด์ขาขึ้น
  • สัญญาณขาย (Sell): เมื่อเห็น Squeeze และราคาทะลุต่ำกว่า Lower Band อย่างหนักแน่น พร้อม Volume สูง ให้พิจารณาเข้าขายเพื่อตามเทรนด์ขาลง

กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักเทรดที่ยอมรับความเสี่ยงสูง เพราะต้องเผชิญกับ False Breakout ได้บ้าง จึงจำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม เช่น การตั้ง Stop Loss อย่างเหมาะสม และไม่ใช้เลเวอเรจสูงเกินไป โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มอย่าง Moneta Markets ที่ให้ความยืดหยุ่นในการตั้งค่าเลเวอเรจและการบริหารพอร์ตอย่างโปร่งใส จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ Bollinger Bands ร่วมกับกลยุทธ์ Breakout ได้เป็นอย่างดี

trader looking at Bollinger Bands indicators

เทคนิคขั้นสูง: การใช้ Bollinger Bands ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น (Differentiator)

แม้ Bollinger Bands จะทรงพลัง แต่การใช้เพียงตัวเดียวอาจทำให้เกิดสัญญาณผิดพลาดได้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง ดังนั้น John Bollinger เองก็แนะนำให้ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นเพื่อยืนยันสัญญาณ การผสมผสานจึงกลายเป็นเทคนิคขั้นสูงที่นักเทรดมืออาชีพนิยมใช้

การใช้คู่กับ RSI (Relative Strength Index)

RSI ช่วยวัดโมเมนตัมของราคา ทำให้การใช้ร่วมกับ BB เพิ่มความแม่นยำได้มาก โดยเฉพาะเมื่อสังเกตเห็น Divergence หรือการเบี่ยงเบนของสัญญาณ:

  • Bearish Divergence: ราคาทำจุดสูงใหม่และแตะ Upper Band แต่ RSI กลับทำจุดสูงต่ำลง แสดงว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนตัว อาจเกิดการกลับตัวลง
  • Bullish Divergence: ราคาทำจุดต่ำใหม่และแตะ Lower Band แต่ RSI ทำจุดต่ำสูงขึ้น บ่งบอกว่าแรงขายเริ่มหมด โอกาสกลับตัวขึ้นเพิ่มขึ้น

การใช้คู่กับ MACD (Moving Average Convergence Divergence)

MACD เหมาะสำหรับยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม โดยเฉพาะหลัง Breakout:

  • ยืนยัน Breakout ขาขึ้น: ถ้าราคาทะลุ Upper Band และ MACD ตัดขึ้นเหนือ Signal Line (Golden Cross) พร้อม Histogram เป็นบวก สัญญาณนี้มีความน่าเชื่อถือสูง
  • ยืนยัน Breakout ขาลง: ถ้าราคาทะลุต่ำกว่า Lower Band และ MACD ตัดลงต่ำกว่า Signal Line (Dead Cross) พร้อม Histogram เป็นลบ แสดงว่าแนวโน้มขาลงมีความมั่นคง

กลยุทธ์ “Walking the Bands”

ในตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งมาก ราคาจะไม่กลับเข้าหาเส้นกลาง แต่จะ “เดิน” หรือเคลื่อนตัวไปตามเส้น Upper Band (ในขาขึ้น) หรือ Lower Band (ในขาลง) อย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์นี้สอนให้นักเทรด “อย่ารีบสวนเทรนด์” เพราะการที่ราคาแตะเส้นบนในช่วงแนวโน้มขาขึ้นไม่ใช่สัญญาณขาย แต่เป็นสัญญาณของความแข็งแกร่ง นักเทรดที่เข้าใจปรากฏการณ์นี้จะไม่ตื่นตระหนกกับการ Touch Band แต่จะรอสัญญาณกลับตัวจากเครื่องมืออื่นแทน

การตั้งค่า Bollinger Bands (Bollinger Band ตั้งค่า)

ค่าตั้งต้นที่ John Bollinger แนะนำคือ:

  • Period: 20
  • Standard Deviations: 2

การตั้งค่า (20, 2) ถือว่าสมดุลและใช้ได้ดีกับสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในช่วงไทม์เฟรมตั้งแต่ 1 ชั่วโมงขึ้นไป แต่นักเทรดสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะกับสไตล์ของตนเองได้:

  • สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น: อาจใช้ Period 10 และ Standard Deviation 1.9 เพื่อให้เส้นตอบสนองเร็วขึ้น
  • สำหรับเทรดเดอร์ระยะยาว: อาจปรับ Period เป็น 50 เพื่อกรองสัญญาณรบกวนในระยะสั้น และโฟกัสที่แนวโน้มใหญ่

การ Backtesting หรือทดสอบกลยุทธ์ย้อนหลังกับข้อมูลจริงถือเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อหาค่าที่เหมาะสมที่สุดกับสินทรัพย์และสไตล์การเทรดของคุณ

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Bollinger Bands ที่ควรหลีกเลี่ยง

เพื่อให้การใช้ Bollinger Bands มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรระวังข้อผิดพลาดที่แม้แต่นักเทรดมือใหม่ก็มักตกหลุมพราง

  1. ใช้ BB เพียงตัวเดียวในการตัดสินใจ: การพึ่งพา Bollinger Bands แบบเดี่ยวๆ เสี่ยงต่อการเกิดสัญญาณผิดพลาด ควรใช้ร่วมกับ RSI, MACD, Volume หรือการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน (Price Action)
  2. รีบสวนเทรนด์เมื่อราคาแตะขอบบน/ล่าง: ในตลาดที่มีแนวโน้มแรง การแตะเส้นบนหรือล่างไม่ใช่สัญญาณกลับตัวเสมอไป การรีบเข้าเทรดสวนอาจทำให้ขาดทุนอย่างรวดเร็ว
  3. ไม่พิจารณา Volume ตอนเกิด Breakout: Breakout ที่ไม่มี Volume สนับสนุน มีโอกาสสูงที่จะเป็น False Breakout ควรรอให้ Volume เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก่อนตัดสินใจ

สรุป: Bollinger Bands เหมาะกับใครและควรใช้อย่างไร

Bollinger Bands เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ยืดหยุ่นและทรงพลังที่สุด ช่วยให้นักเทรดเข้าใจระดับความผันผวน ระบุแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก และจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มได้ทันเวลา ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดรายวัน นักลงทุนระยะกลาง หรือผู้เล่นระยะยาว เครื่องมือนี้สามารถปรับใช้ได้ในทุกสไตล์

อย่างไรก็ตาม ไม่มีเครื่องมือใดที่แม่นยำ 100% หัวใจสำคัญคือการใช้ Bollinger Bands เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่สมบูรณ์ ร่วมกับการวิเคราะห์ Price Action การใช้ตัวชี้วัดเสริม และการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม การทดลองใช้ในบัญชี Demo ก่อนเข้าเทรดจริง จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของเครื่องมือนี้ในสินทรัพย์ที่คุณเทรด และสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือครบครันอย่าง Moneta Markets ที่รองรับการใช้งาน Bollinger Bands พร้อมข้อมูลเรียลไทม์และสเปรดต่ำ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเทรดที่จริงจัง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Bollinger Bands คืออะไร?

Bollinger Bands (BB) คืออินดิเคเตอร์วิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้วัดความผันผวนของตลาดและกำหนดกรอบการเคลื่อนที่ของราคา ประกอบด้วย 3 เส้น คือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Middle Band), เส้นที่อยู่เหนือค่าเฉลี่ย 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Upper Band), และเส้นที่อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Lower Band)

ควรตั้งค่า Bollinger Bands อย่างไรสำหรับสไตล์การเทรดที่แตกต่างกัน?

ค่ามาตรฐานคือ Period 20, Standard Deviation 2 ซึ่งเหมาะกับการเทรดส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม สามารถปรับได้ตามสไตล์:

  • เทรดสั้น (Scalping/Day Trading): อาจปรับ Period ลดลงเป็น 10 หรือ 12 เพื่อให้ตอบสนองเร็วขึ้น
  • เทรดกลาง (Swing Trading): ค่ามาตรฐาน (20, 2) มักจะเหมาะสมที่สุด
  • เทรดยาว (Position Trading): อาจเพิ่ม Period เป็น 50 เพื่อมองแนวโน้มระยะยาวและกรองสัญญาณรบกวน

Bollinger Bands ใช้คู่กับอินดิเคเตอร์อะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มความแม่นยำ?

การใช้ BB ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นช่วยยืนยันสัญญาณได้ดีขึ้น ที่นิยมใช้กันคือ:

  • RSI (Relative Strength Index): เพื่อมองหาสัญญาณ Divergence ซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวที่น่าเชื่อถือเมื่อราคาแตะขอบบนหรือล่าง
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): เพื่อใช้ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มหลังเกิดการ Breakout
  • Volume (ปริมาณการซื้อขาย): เพื่อยืนยันว่าการ Breakout เป็นของจริงหรือไม่

สัญญาณ Squeeze ใน Bollinger Bands บอกอะไรเรา?

สัญญาณ Squeeze คือการที่เส้น Upper Band และ Lower Band บีบตัวเข้าหากันจนแคบลง มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าตลาดมีความผันผวนต่ำมากและกำลังอยู่ในช่วงสะสมพลัง ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวของราคาครั้งใหญ่ (Breakout) ในอนาคตอันใกล้

วิธีใช้ Bollinger Bands ในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม (Sideways) ทำอย่างไร?

ในตลาด Sideways สามารถใช้กลยุทธ์ “Mean Reversion” ได้ โดยพิจารณาเข้าซื้อ (Buy) เมื่อราคาลงมาแตะหรือใกล้เส้น Lower Band (โซน Oversold) และพิจารณาเข้าขาย (Sell) เมื่อราคาขึ้นไปแตะหรือใกล้เส้น Upper Band (โซน Overbought) โดยตั้งเป้าหมายทำกำไรที่เส้นกลาง (Middle Band) หรือขอบฝั่งตรงข้าม

เราสามารถใช้ Bollinger Bands เพื่อหาจุดกลับตัวของราคาได้หรือไม่?

ได้ แต่ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นเพื่อยืนยัน สัญญาณกลับตัวที่น่าเชื่อถือที่สุดคือการเกิด Divergence ร่วมกับอินดิเคเตอร์ประเภท Momentum เช่น RSI หรือ MACD เมื่อราคาแตะขอบบนหรือล่างของ BB การใช้เพียงราคาแตะขอบแบนด์อย่างเดียวเพื่อหาจุดกลับตัวในตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในการใช้ Bollinger Bands คืออะไร?

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือการขายทันทีที่ราคาแตะ Upper Band และซื้อทันทีที่ราคาแตะ Lower Band โดยไม่พิจารณาถึงสภาวะแนวโน้มของตลาด ในตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง (Strong Trend) ราคาอาจวิ่งเกาะขอบบนหรือล่างไปเรื่อยๆ (Walking the Bands) การสวนเทรนด์ในลักษณะนี้จะทำให้ขาดทุนได้ง่าย

Bollinger Bands สามารถใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ (หุ้น, Forex, คริปโต) หรือไม่?

ใช่ Bollinger Bands เป็นเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกตลาดและทุกสินทรัพย์ที่มีข้อมูลราคาและมีความผันผวน ไม่ว่าจะเป็น หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์, Forex, หรือคริปโทเคอร์เรนซี อย่างไรก็ตาม อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนการตั้งค่าเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะความผันผวนของแต่ละสินทรัพย์ ตามที่แหล่งข้อมูลอย่าง BabyPips ได้แนะนำไว้

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *