Divergence คืออะไร? ความรู้ที่นักเทรดควรรู้

Table of Contents

Divergence คืออะไร? ทำไมนักเทรดทุกคนต้องรู้จัก

ในโลกของการซื้อขายฟอเร็กซ์ที่เต็มไปด้วยความผันผวน การหาสัญญาณล่วงหน้าที่สามารถชี้ทิศทางของราคาได้ ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ และหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิคที่ทรงพลังที่สุดก็คือ Divergence หรือ “การแยกแนว” ซึ่งแม้ฟังดูเรียบง่าย แต่กลับซ่อนศักยภาพในการคาดการณ์การเปลี่ยนทิศทางของตลาดได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือวัดโมเมนตัมอย่างเหมาะสม

แก่นแท้ของ Divergence คือการสังเกตความไม่สอดคล้องกันระหว่างการเคลื่อนที่ของราคาและอินดิเคเตอร์ เช่น RSI หรือ MACD ลองนึกภาพว่า ราคากำลังทำจุดสูงสุดใหม่ แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันคือสัญญาณบอกว่าแรงขับเคลื่อนของเทรนด์เริ่มอ่อนตัวลง แม้ราคาจะยังคงเคลื่อนไหวตามเดิมอยู่ก็ตาม

illustration of market divergence concept

Divergence จึงทำหน้าที่เหมือนเรดาร์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงเบื้องลึกของตลาด ไม่ใช่แค่ดูผิวเผินจากกราฟราคาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการ “อ่าน” พลังซื้อขายที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่เบื้องหลัง ทำให้นักเทรดสามารถตั้งรับหรือเตรียมเข้าตำแหน่งได้ก่อนที่การกลับตัวจะเกิดขึ้นจริง และนี่คือเหตุผลที่นักเทรดระดับมืออาชีพต่างให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์นี้ เพราะมันไม่ได้บอกแค่ว่า “อะไรเกิดขึ้น” แต่ช่วยให้เข้าใจว่า “ทำไมถึงเกิดขึ้น”

ประเภทของ Divergence ที่ต้องรู้: มีกี่แบบและต่างกันอย่างไร

หลายคนเข้าใจว่า Divergence คือสัญญาณการกลับตัวของราคาเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ปรากฏการณ์นี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักที่ให้ความหมายตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง การสับสนระหว่างสองรูปแบบนี้อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาด ดังนั้นการแยกแยะให้ถูกต้องจึงเป็นทักษะพื้นฐานที่ขาดไม่ได้

ทั้งสองประเภทหลัก ได้แก่:

  1. Regular Divergence: สัญญาณเตือนว่าเทรนด์ปัจจุบันอาจหมดแรง และกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง
  2. Hidden Divergence: สัญญาณยืนยันว่าเทรนด์เดิมยังคงแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มจะดำเนินต่อไป

การสังเกตให้ออกว่ากำลังเผชิญกับ Divergence แบบไหน จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรเตรียมตัว “กลับตัว” หรือ “เข้าตามเทรนด์” ซึ่งเป็นความแตกต่างที่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการเทรดครั้งนั้นได้โดยสิ้นเชิง

1. Regular Divergence (สัญญาณการกลับตัวของเทรนด์)

Regular Divergence หรือ Divergence แบบปกติ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเครื่องมือช่วยหาจุดกลับตัวของตลาด เกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนที่ในทิศทางหนึ่ง แต่อินดิเคเตอร์กลับแสดงสัญญาณอ่อนแรงในทิศทางเดียวกัน นี่คือช่วงเวลาที่แรงซื้อหรือแรงขายเริ่มหมดพลัง แม้ราคาจะยังเคลื่อนตัวต่อไปก็ตาม

Regular Bullish Divergence

  • เงื่อนไข: ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low)
  • ความหมาย: แสดงให้เห็นว่าแรงขายเริ่มอ่อนตัวลง แม้ราคาจะยังคงลดต่อ แต่โมเมนตัมลบที่เคยหนักแน่นเริ่มคลายตัว สัญญาณนี้มักปรากฏก่อนการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณแนวรับสำคัญ
regular bullish and bearish divergence visualization

Regular Bearish Divergence

  • เงื่อนไข: ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) แต่อินดิเคเตอร์ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High)
  • ความหมาย: บ่งชี้ว่าแรงซื้อเริ่มหมดพลัง แม้ราคาจะยังคงพุ่งขึ้น แต่โมเมนตัมบวกเริ่มขาดความต่อเนื่อง สัญญาณนี้มักเกิดขึ้นในช่วงปลายของเทรนด์ขาขึ้น และเป็นคำเตือนว่าอาจมีการปรับตัวหรือกลับตัวลงในไม่ช้า

2. Hidden Divergence (สัญญาณยืนยันการไปต่อของเทรนด์)

แม้ Hidden Divergence จะไม่เป็นที่กล่าวถึงบ่อยเท่า Regular Divergence แต่กลับเป็นเครื่องมือชั้นยอดสำหรับนักเทรดแนวโน้ม (Trend Follower) เพราะมันช่วยยืนยันว่าการย่อตัวหรือการพักตัวของราคาในเทรนด์หลักนั้น ไม่ใช่การกลับตัว แต่เป็นเพียงการสะสมพลังเพื่อก้าวต่อไป

Hidden Bullish Divergence

  • เงื่อนไข: ในแนวโน้มขาขึ้น ราคาทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low) แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low)
  • ความหมาย: แสดงให้เห็นว่าแรงซื้อยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้โมเมนตัมชั่วคราวจะอ่อนลงในระยะสั้น สัญญาณนี้จึงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดย่อตัว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่าการพยายามกลับตัวสวนเทรนด์

Hidden Bearish Divergence

  • เงื่อนไข: ในแนวโน้มขาลง ราคาทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High) แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High)
  • ความหมาย: บ่งชี้ว่าแรงขายยังคงมีอยู่ และการดีดตัวขึ้นของราคาเป็นเพียงช่วงพักตัว สัญญาณนี้จึงเป็นโอกาสในการเข้าขาย (Sell) ต่อจากจุดที่ตลาดกลับมาทดสอบแนวต้านเดิม
traders analyzing divergence signals and momentum indicators
คุณสมบัติ Regular Divergence Hidden Divergence
ประเภทสัญญาณ สัญญาณกลับตัว (Reversal Signal) สัญญาณไปต่อ (Continuation Signal)
ความหมาย เทรนด์ปัจจุบันกำลังอ่อนแรงลง เทรนด์ปัจจุบันยังคงแข็งแกร่ง
Bullish (ขาขึ้น) ราคาทำ Low ใหม่, อินดิเคเตอร์ทำ Low สูงขึ้น ราคาทำ Low สูงขึ้น, อินดิเคเตอร์ทำ Low ใหม่
Bearish (ขาลง) ราคาทำ High ใหม่, อินดิเคเตอร์ทำ High ต่ำลง ราคาทำ High ต่ำลง, อินดิเคเตอร์ทำ High ใหม่
การใช้งาน ใช้หาจุดสูงสุด/ต่ำสุดของรอบ เพื่อเตรียมตัวกลับทิศทาง ใช้หาจังหวะเข้าเทรดตามเทรนด์หลักในช่วงที่ราคาย่อตัว

วิธีหา Divergence ด้วยอินดิเคเตอร์ยอดนิยม

Divergence ไม่ใช่อินดิเคเตอร์ตัวหนึ่ง แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เราต้องสังเกตจากความสัมพันธ์ระหว่างราคาและอินดิเคเตอร์ประเภท oscillator ซึ่งมีหน้าที่วัดความเร็วและความแรงของราคา ดังนั้นการเลือกอินดิเคเตอร์ที่ตอบโจทย์จึงมีความสำคัญต่อความแม่นยำในการวิเคราะห์

อินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้มากที่สุดในการตรวจจับ Divergence มีดังนี้:

  • RSI (Relative Strength Index): เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการหา Divergence เนื่องจากมีความชัดเจนในการแสดงสภาวะ overbought และ oversold ทำให้สังเกตความขัดแย้งกับราคาได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเคลื่อนที่ในกรอบแนวโน้ม
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): MACD ไม่เพียงวัดโมเมนตัม แต่ยังช่วยยืนยันการเปลี่ยนแปลงทิศทางผ่านการตัดกันของเส้น signal และ histogram ทำให้ Divergence ที่เกิดกับ MACD มักมีน้ำหนักมาก โดยเฉพาะเมื่อแท่ง histogram เริ่มแคบลงในขณะที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่
  • Stochastic Oscillator: อินดิเคเตอร์นี้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็ว จึงเหมาะกับการใช้หา Divergence ในตลาด sideways หรือในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวแบบระยะสั้น แต่ต้องระวังสัญญาณหลอกเนื่องจากความไวสูง

นอกจากนี้ นักเทรดหลายคนยังนิยมใช้ Divergence ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เช่น Volume Profile หรือ Fibonacci Retracement เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะกับโบรกเกอร์อย่าง Moneta Markets ที่รองรับการใช้งานอินดิเคเตอร์หลากหลายและมีกราฟที่ละเอียด ทำให้การวิเคราะห์ Divergence ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์การเทรดด้วย Divergence: เข้าตอนไหน ออกเมื่อไหร่?

การพบสัญญาณ Divergence ไม่ได้หมายความว่าควรรีบเข้าตลาดทันที เพราะตลาดอาจยังคงเคลื่อนที่ในทิศทางเดิมต่อไปได้นานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ดังนั้นการรอสัญญาณยืนยันจึงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้

จุดเข้า (Entry)

อย่าเพิ่งกดคำสั่งซื้อหรือขายทันทีที่เห็น Divergence เด็ดขาด ให้ถือว่ามันเป็น “คำเตือนเบื้องต้น” เท่านั้น

  • รอสัญญาณจาก Price Action: หลังจากพบ Bullish Divergence ให้รอรูปแบบแท่งเทียนที่ยืนยันการกลับตัว เช่น Hammer, Bullish Engulfing หรือ Pin Bar บริเวณแนวรับสำคัญ ส่วนในกรณี Bearish Divergence ให้รอ Bearish Engulfing หรือ Shooting Star
  • รอการเบรคเส้นแนวโน้มหรือระดับสำคัญ: หากมีเส้นแนวโน้มที่กดราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง การทะลุขึ้นไปเหนือเส้นนี้หลังจากเกิด Divergence จะถือเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่งว่าแรงซื้อกำลังกลับมา

จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)

ความผิดพลาดที่พบบ่อยคือการวาง Stop Loss ห่างเกินไป หรือไม่วางเลย ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนหนักได้

  • สำหรับ Bullish Divergence: วาง Stop Loss ใต้จุดต่ำสุดล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วงที่เกิดสัญญาณ
  • สำหรับ Bearish Divergence: วาง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดล่าสุดที่เกิดขึ้น

จุดทำกำไร (Take Profit)

เป้าหมายการทำกำไรควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์และสภาพตลาด

  • ใช้แนวรับ-แนวต้านเดิม: ตั้งเป้าที่ระดับที่เคยหยุดราคาในอดีต ซึ่งมีโอกาสถูกทดสอบซ้ำ
  • ใช้อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: ตั้งเป้า 1:2 หรือ 1:3 เพื่อให้มั่นใจว่าผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่รับไว้

ข้อควรระวัง: สัญญาณ Divergence ไม่ได้แม่นยำ 100%

แม้ Divergence จะเป็นเครื่องมือชั้นยอด แต่ก็ไม่ใช่ “สูตรสำเร็จ” ที่ใช้ได้ผลเสมอไป การพึ่งพาเพียงสัญญาณเดียวโดยไม่พิจารณาบริบทของตลาดอาจนำไปสู่ความสูญเสียได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีเทรนด์แรง

ตัวอย่างเช่น ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ราคาอาจเกิด Bearish Divergence ซ้ำๆ ถึง 2-3 ครั้ง ก่อนที่จะกลับตัวจริง หรือบางครั้งก็อาจไม่กลับตัวเลย การพยายามเข้าขายโดยไม่รอสัญญาณยืนยันจึงเป็นความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

วิธีลดความเสี่ยงในการใช้ Divergence:

  1. ใช้ใน Timeframe ใหญ่: สัญญาณในกราฟรายชั่วโมง (H4) หรือรายวัน (Daily) มีความน่าเชื่อถือสูงกว่า M15 หรือ M30 ซึ่งมี noise มากเกินไป
  2. ใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น: รวมการวิเคราะห์แนวโน้ม แนวรับ-แนวต้าน และ Price Action เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มความมั่นใจ
  3. อย่าต่อต้านเทรนด์หลัก: หากตลาดอยู่ในขาขึ้นแรง การเข้าขายเพียงเพราะเห็น Bearish Divergence อาจเป็นการ “ต่อกรกับตลาด” ที่มีโอกาสถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

การบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย เช่น การใช้ Risk Management ที่เหมาะสม คือสิ่งที่ทำให้นักเทรดประสบความสำเร็จในระยะยาว ไม่ใช่แค่การจับสัญญาณได้แม่นยำ

บทสรุป: การใช้ Divergence เพื่อยกระดับการเทรดของคุณ

Divergence ไม่ใช่แค่เทคนิคหนึ่งในหลายร้อยเทคนิค แต่คือมุมมองเชิงลึกที่ช่วยให้คุณ “อ่าน” ตลาดได้ดีกว่าแค่มองจากแท่งเทียนเพียงอย่างเดียว มันเปิดประตูสู่การเข้าใจพลังซื้อขายที่แท้จริง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่การคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคา

การแยกแยะ Regular และ Hidden Divergence ได้ คือพื้นฐานของการวิเคราะห์ที่มีมิติ ทั้งการเตรียมตัวกลับตัว และการเข้าตามเทรนด์ล้วนได้ประโยชน์จากเครื่องมือนี้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องใช้อย่างมีวินัย ต้องรอสัญญาณยืนยัน และบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม

กุญแจสู่ความเชี่ยวชาญคือการฝึกฝน ลองเปิดกราฟย้อนหลัง แล้วฝึกสังเกต Divergence ด้วยตาตนเอง สร้างความคุ้นเคยกับรูปแบบต่างๆ และทดสอบกลยุทธ์ในบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนใช้เงินจริง โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์มเช่น Moneta Markets ที่ให้สภาพแวดล้อมการเทรดที่เสถียรและเครื่องมือครบครัน ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Divergence แปลว่าอะไรในการเทรด?

ในการเทรด Divergence หมายถึงความขัดแย้งหรือการแยกแนวระหว่างการเคลื่อนที่ของราคาและอินดิเคเตอร์วัดโมเมนตัม เช่น RSI หรือ MACD ซึ่งบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงพลังซื้อขายที่อาจนำไปสู่การกลับตัวหรือการไปต่อของเทรนด์

Hidden Divergence คืออะไร และแตกต่างจาก Regular Divergence อย่างไร?

Hidden Divergence เป็นสัญญาณยืนยันว่าเทรนด์เดิมยังแข็งแกร่งและจะดำเนินต่อไป ส่วน Regular Divergence เป็นสัญญาณเตือนว่าเทรนด์ปัจจุบันอาจหมดแรงและกลับตัว ทั้งสองมีความหมายตรงข้ามกัน โดย Hidden เหมาะกับการเทรดตามแนวโน้ม ส่วน Regular เหมาะกับการหาจุดกลับตัว

Divergence มีทั้งหมดกี่ประเภทหลักๆ?

Divergence มี 2 ประเภทหลัก คือ Regular และ Hidden ซึ่งแต่ละประเภทแบ่งย่อยเป็น Bullish และ Bearish ได้อีก ทำให้มีรูปแบบย่อยทั้งหมด 4 แบบที่นักเทรดควรรู้จัก

Divergence และ Convergence คืออะไร และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

Divergence คือการที่ราคากับอินดิเคเตอร์เคลื่อนที่สวนทางกัน สื่อถึงการอ่อนตัวของเทรนด์ ในขณะที่ Convergence คือการที่ทั้งสองเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของเทรนด์นั้นๆ

อินดิเคเตอร์ตัวไหนที่นิยมใช้หา Divergence มากที่สุด?

RSI และ MACD เป็นสองอินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการหา Divergence เนื่องจากวัดโมเมนตัมได้ชัดเจนและใช้งานง่าย ส่วน Stochastic ก็มีคนใช้มากในตลาดระยะสั้น

เราสามารถใช้สัญญาณ Divergence ในการเทรดหุ้นไทยหรือคริปโตได้หรือไม่?

ได้แน่นอน Divergence เป็นหลักการวิเคราะห์เทคนิคที่ใช้ได้กับทุกตลาดที่มีกราฟราคา เช่น หุ้นไทย ฟอเร็กซ์ คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง

ทำไมบางครั้งเกิดสัญญาณ Divergence แล้วราคายังไปต่อในทิศทางเดิม?

เพราะตลาดอยู่ในสภาวะเทรนด์แรง ซึ่งสามารถสร้าง Divergence ซ้ำๆ ได้หลายครั้งก่อนจะกลับตัวจริง นี่คือเหตุผลที่ต้องรอสัญญาณยืนยันเพิ่มเติมจาก Price Action หรือระดับสำคัญ

ควรใช้ Divergence ใน Timeframe ไหนจึงจะน่าเชื่อถือที่สุด?

ยิ่ง Timeframe ใหญ่ ความน่าเชื่อถือยิ่งสูง โดยเฉพาะ H4 และ Daily ที่มีสัญญาณรบกวนน้อยกว่า ทำให้สัญญาณ Divergence ที่เกิดขึ้นมีน้ำหนักและควรใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *