Chart Pattern คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญต่อนักเทรด?

ในโลกของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดฟอเร็กซ์ หุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซี การอ่านกราฟราคาเป็นทักษะพื้นฐานที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและทันเหตุการณ์ หนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในกล่องเครื่องมือของนักวิเคราะห์ทางเทคนิคก็คือ Chart Pattern หรือที่รู้จักกันในชื่อ “รูปแบบกราฟราคา” ซึ่งไม่ใช่แค่เส้นกราฟธรรมดา แต่คือภาษาที่ตลาดใช้สื่อสารกับเราผ่านการเคลื่อนไหวของราคา
Chart Pattern เกิดจากการที่ราคาเคลื่อนที่ซ้ำรูปแบบเดิม ๆ ตามพฤติกรรมของกลุ่มนักลงทุน ซึ่งสะท้อนจิตวิทยาตลาดอย่างลึกซึ้ง ทั้งความโลภ ความกลัว และความลังเลใจ แรงซื้อและแรงขายที่ผลัดกันผลักดันราคา ทิ้งร่องรอยไว้ในรูปของรูปแบบที่สามารถระบุและตีความได้ เมื่อเรารู้จัก “อ่าน” รูปแบบเหล่านี้ จึงสามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาในอนาคตได้แม่นยำขึ้น
แล้วทำไม Chart Pattern ถึงกลายเป็นเครื่องมือที่นักเทรดระดับมืออาชีพให้ความสำคัญ? เพราะมันไม่ได้ช่วยแค่บอกว่า “ราคาจะไปทางไหน” แต่ยังช่วยให้การเทรดมีระบบและมีเหตุผลมากขึ้นในทุกขั้นตอน
- คาดการณ์ทิศทางราคาได้ล่วงหน้า: ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณแนวโน้มเปลี่ยนทิศ (Reversal) หรือการพักตัวเพื่อกลับมาวิ่งต่อ (Continuation) Chart Pattern ก็ช่วยให้เรารู้ว่าตลาดกำลังจะเลือกทางไหน
- หาจุดเข้าและจุดออกได้แม่นยำ: รูปแบบแต่ละแบบมีโครงสร้างที่ชัดเจน ช่วยให้เราสามารถระบุจุดเข้าซื้อหรือขาย รวมถึงจุดปิดทำกำไร (Take Profit) ได้อย่างมีเหตุผล
- จัดการความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ: การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไม่ใช่การสุ่ม แต่สามารถวางตามโครงสร้างของรูปแบบ เช่น ด้านนอกของ Neckline หรือขอบของรูปสามเหลี่ยม ซึ่งช่วยจำกัดความเสียหายหากคาดการณ์ผิด
การศึกษา Chart Pattern จึงไม่ต่างจากการเรียนรู้ “ภาษาระดับตลาด” ที่เปิดโอกาสให้เราได้ยินเสียงของตลาดก่อนที่ราคาจะขยับ ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทำกำไรอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ประเภทของ Chart Pattern ที่ต้องรู้จัก
Chart Pattern ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว แต่สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ตามสัญญาณที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมของราคา ซึ่งแต่ละประเภทก็บ่งบอกบริบทที่ต่างกันออกไป การเข้าใจการจำแนกประเภทนี้จะช่วยให้คุณตีความกราฟได้แม่นยำและมีเหตุผลมากยิ่งขึ้น
1. รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns)
เป็นรูปแบบที่บอกว่า “แนวโน้มเดิมอาจใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว” โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นหลังจากราคาเคลื่อนที่มาอย่างต่อเนื่อง เช่น แนวโน้มขาขึ้นที่ยาวนาน แล้วเริ่มเห็นรูปแบบกลับตัว นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าแรงซื้อเริ่มหมดแรง และแรงขายกำลังจะเข้าควบคุม นักเทรดที่รู้จักสังเกตรูปแบบเหล่านี้จะได้เปรียบในการเข้าทำกำไรก่อนที่ราคากำลังจะเปลี่ยนทิศอย่างชัดเจน
2. รูปแบบการไปต่อ (Continuation Patterns)
รูปแบบเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วงที่ราคา “พักตัว” หลังจากเคลื่อนที่แรงมาแล้ว เปรียบเสมือนนักวิ่งที่หยุดพักหายใจก่อนจะกลับมาวิ่งต่อ แม้ราคาจะดูนิ่ง แต่กำลังสะสมพลังอยู่ การรู้จักสังเกตรูปแบบนี้ช่วยให้คุณสามารถกลับเข้าสู่แนวโน้มเดิมได้อย่างมั่นใจ แทนที่จะรีบร้อนสวนทางโดยไม่จำเป็น
3. รูปแบบสองทิศทาง (Bilateral Patterns)
รูปแบบประเภทนี้มักสะท้อนความไม่แน่นอนของตลาด เป็นช่วงที่แรงซื้อและแรงขายยังสมดุลกัน ราคาจึงเคลื่อนที่ในกรอบแคบ ๆ โดยไม่ชัดเจนว่าจะทะลุขึ้นหรือทะลุลง ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ Symmetrical Triangle ซึ่งต้องรอให้เกิด Breakout อย่างชัดเจนเสียก่อน จึงจะสามารถตัดสินใจเทรดตามทิศทางได้อย่างมีน้ำหนัก
รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns) ที่พบบ่อยที่สุด

การจับจังหวะการกลับตัวของแนวโน้มได้ตั้งแต่ต้น เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สร้างกำไรก้อนโตให้กับนักเทรดได้มากที่สุด เพราะคุณได้เข้าตำแหน่งก่อนที่ราคากำลังจะวิ่งแรง มาดูกันว่ารูปแบบการกลับตัวที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดมีอะไรบ้าง
H3: Head and Shoulders & Inverse Head and Shoulders
ถือเป็น “ราชาแห่งรูปแบบการกลับตัว” ด้วยความน่าเชื่อถือที่สูงมาก โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นใน Timeframe ใหญ่
- Head and Shoulders: เกิดหลังแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยยอด (peak) สามยอด โดยยอดกลาง (หัว) สูงที่สุด และยอดข้าง (ไหล่) มีระดับใกล้เคียงกัน มีเส้น Neckline ที่เชื่อมจุดต่ำสุดระหว่างยอดทั้งสาม สัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อราคา “ปิดตัว” ต่ำกว่า Neckline อย่างชัดเจน
- Inverse Head and Shoulders: เกิดหลังแนวโน้มขาลง โครงสร้างตรงข้ามกัน โดยหุบเหวตรงกลางลึกที่สุด สัญญาณซื้อเกิดขึ้นเมื่อราคาปิดเหนือ Neckline ซึ่งบ่งบอกว่าแรงซื้อกำลังกลับมา
H3: Double Top & Double Bottom
รูปแบบที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะสังเกตได้ง่าย
- Double Top: ลักษณะคล้ายตัว “M” ราคาพยายามทำจุดสูงสุดใหม่สองครั้งแต่ล้มเหลว แสดงว่าแรงซื้ออ่อนลง สัญญาณขายเกิดเมื่อราคาปิดต่ำกว่าแนวรับระหว่างยอดทั้งสอง
- Double Bottom: ลักษณะคล้ายตัว “W” ราคาพยายามทำจุดต่ำสุดใหม่สองครั้งแต่ไม่สำเร็จ สะท้อนว่าแรงขายหมดแรง สัญญาณซื้อเกิดเมื่อราคาปิดเหนือแนวต้านระหว่างหุบเหวทั้งสอง
H3: Triple Top & Triple Bottom
เป็นเวอร์ชันที่ “แข็งแกร่งกว่า” Double Top/Bottom เพราะมีการทดสอบแนวต้านหรือแนวรับถึง 3 ครั้ง จึงมีน้ำหนักมากกว่า
- Triple Top: ราคาขึ้นไปชนแนวต้าน 3 ครั้งแต่ไม่สามารถผ่านได้ แสดงว่าแรงซื้อไม่สามารถเอาชนะแรงขายได้ สัญญาณขาลงชัดเจน
- Triple Bottom: ราคาลงมาแตะแนวรับ 3 ครั้งแต่ไม่ทะลุ แสดงว่าแรงซื้อกำลังสะสมพลัง และอาจเริ่มกลับมาควบคุมตลาด
H3: Falling Wedge & Rising Wedge
แม้ Wedge อาจเป็นได้ทั้ง Reversal และ Continuation แต่ในบริบทของแนวโน้มหลัก จะมีความหมายเฉพาะ
- Falling Wedge: เกิดในแนวโน้มขาลง โดยกรอบราคาค่อย ๆ แคบลงและลาดต่ำลง เมื่อราคาทะลุขึ้นอย่างมีน้ำหนัก มักเป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น
- Rising Wedge: เกิดในแนวโน้มขาขึ้น โดยกรอบราคาค่อย ๆ แคบลงและชันขึ้น เมื่อราคาหลุดต่ำกว่าขอบล่าง มักบ่งบอกถึงการกลับตัวเป็นขาลง
รูปแบบการไปต่อ (Continuation Patterns) ที่ต้องจับตามอง
หลังจากราคาเคลื่อนที่แรง ตลาดต้องการเวลาในการ “สะสมพลัง” รูปแบบการไปต่อคือสัญญาณว่าช่วงพักนี้ใกล้สิ้นสุด และราคากำลังจะกลับมาเคลื่อนที่ต่อในทิศทางเดิม
H3: Triangle Patterns (Ascending, Descending, Symmetrical)
รูปแบบสามเหลี่ยมเป็นหนึ่งใน Continuation Pattern ที่พบได้บ่อยที่สุด
- Ascending Triangle: เกิดจากแนวต้านแนวนอน และแนวรับที่ค่อย ๆ สูงขึ้น บ่งบอกว่าแรงซื้อค่อย ๆ เข้มแข็งขึ้น โอกาสทะลุขึ้นต่อในแนวโน้มขาขึ้นสูง
- Descending Triangle: เกิดจากแนวรับแนวนอน และแนวต้านที่ค่อย ๆ ต่ำลง แสดงว่าแรงขายกำลังกดดัน โอกาสทะลุลงต่อในแนวโน้มขาลงสูง
- Symmetrical Triangle: เส้นแนวโน้มทั้งบนและล่างบีบเข้าหากันอย่างสมมาตร เป็นรูปแบบสองทิศทางที่ต้องรอ Breakout ยืนยันทิศทาง
H3: Flag (Bullish & Bearish)
รูปแบบธงเกิดหลังการเคลื่อนไหวเร็วและแรง (Flagpole) แล้วราคาก็พักตัวในกรอบแนวนอนหรือลาดเล็กน้อย
- Bullish Flag: พักตัวในกรอบที่ลาดลงเล็กน้อยในแนวโน้มขาขึ้น หลังจากนั้นราคาอาจทะลุขึ้นต่อ
- Bearish Flag: พักตัวในกรอบที่ลาดขึ้นเล็กน้อยในแนวโน้มขาลง หลังจากนั้นราคาอาจทะลุลงต่อ
H3: Pennant (Bullish & Bearish)
คล้ายกับ Flag แต่ช่วงพักตัวมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ที่สมมาตร
- Bullish Pennant: เกิดหลังราคาพุ่งขึ้นแรง เป็นสัญญาณพักตัวก่อนจะขึ้นต่อ
- Bearish Pennant: เกิดหลังราคาดิ่งลงแรง เป็นสัญญาณพักตัวก่อนจะลงต่อ
H3: Rectangle (Bullish & Bearish)
เกิดเมื่อราคาวิ่งในกรอบแนวนอนที่มีแนวรับและแนวต้านขนานกันชัดเจน
- Bullish Rectangle: เกิดในแนวโน้มขาขึ้น เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป ถือเป็นการยืนยันว่าจะไปต่อ
- Bearish Rectangle: เกิดในแนวโน้มขาลง เมื่อราคาทะลุแนวรับลงมา ถือเป็นสัญญาณขายเพื่อตามเทรนด์ต่อ
เทคนิคการเทรดด้วย Chart Pattern ให้มีประสิทธิภาพ

การรู้จักรูปแบบกราฟเป็นเพียงขั้นเริ่มต้น ความสำเร็จจริง ๆ อยู่ที่การนำไปใช้ให้ถูกต้องและมีวินัย เพื่อลดสัญญาณหลอกและเพิ่มความแม่นยำ
1. การยืนยันสัญญาณ (Confirmation)
ห้ามเข้าเทรดทันทีที่เห็นราคา “แตะ” หรือ “เกือบ” ทะลุกรอบ นักเทรดมืออาชีพจะรอให้แท่งเทียน “ปิดตัว” อย่างสมบูรณ์นอกกรอบของรูปแบบก่อน เช่น ถ้าราคาทะลุแนวต้าน ต้องรอให้แท่งเทียนนั้นปิดเหนือเส้นนั้นจริง ๆ การยืนยันนี้ช่วยป้องกัน False Breakout ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยในตลาดที่มีความผันผวนสูง
2. การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
ไม่มีกลยุทธ์ใดที่รับประกันผล 100% ดังนั้นการตั้ง Stop Loss จึงเป็นสิ่งจำเป็น
- สำหรับ Head and Shoulders: ตั้ง Stop Loss เหนือไหล่ขวา
- สำหรับ Double Bottom: ตั้ง Stop Loss ใต้หุบเหวที่สอง
- สำหรับ Triangle หรือ Flag: ตั้ง Stop Loss ฝั่งตรงข้ามการ Breakout ภายในกรอบ
3. การตั้งเป้าหมายทำกำไร (Take Profit)
Chart Pattern สามารถใช้ “วัดระยะ” เพื่อตั้งเป้าได้
- Head and Shoulders: วัดระยะจากหัวถึง Neckline แล้วลากลงจากจุด Breakout
- Triangle/Rectangle: วัดความกว้างสุดของรูปแบบ แล้วลากต่อจากจุด Breakout
4. การใช้ร่วมกับปริมาณการซื้อขาย (Volume)
Volume เป็นปัจจัยยืนยันที่สำคัญ โดยเฉพาะในการ Breakout ตามที่ Investopedia ระบุไว้ หากการทะลุกรอบมาพร้อม Volume ที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน แสดงว่ามีแรงผลักดันจริง แต่ถ้า Breakout แต่ Volume ต่ำ อาจเป็นสัญญาณของ False Breakout ที่ควรระวัง
H3: เทรดกับโบรกเกอร์ที่เข้าใจ Chart Pattern — Moneta Markets
การวิเคราะห์ Chart Pattern จะมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อคุณเทรดกับแพลตฟอร์มที่ให้เครื่องมือครบ ความเร็วในการดำเนินคำสั่งที่แม่นยำ และค่าสเปรดที่แข่งขันได้ Moneta Markets คือหนึ่งในโบรกเกอร์ที่ได้รับการยอมรับจากนักเทรดทั่วโลก ด้วยการสนับสนุนกราฟขั้นสูงที่รองรับรูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคทุกประเภท รวมถึง Chart Pattern ต่าง ๆ ที่กล่าวมา
นอกจากนี้ Moneta Markets ยังให้บริการบัญชีแบบ Raw Spread ที่เหมาะกับนักเทรดที่เน้นความเร็วและประสิทธิภาพ พร้อมด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ในตัวที่ช่วยให้การวาดแนวโน้ม เส้น Neckline หรือกรอบรูปแบบต่าง ๆ ทำได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ไม่ว่าคุณจะเป็น Swing Trader หรือ Day Trader ก็สามารถใช้ศักยภาพของ Chart Pattern ได้เต็มที่
ชื่อรูปแบบ (Pattern Name) | ประเภท (Type) | สัญญาณ (Signal) | ลักษณะเด่น (Key Feature) |
---|---|---|---|
Head and Shoulders | Reversal (กลับตัว) | Bearish (ขาลง) | ยอดเขากลางสูงกว่าสองข้าง มีเส้น Neckline |
Double Bottom | Reversal (กลับตัว) | Bullish (ขาขึ้น) | ลักษณะคล้ายตัว “W” ทดสอบแนวรับ 2 ครั้ง |
Bullish Flag | Continuation (ไปต่อ) | Bullish (ขาขึ้น) | กรอบสี่เหลี่ยมลาดลงหลังราคาพุ่งขึ้นแรง |
Descending Triangle | Continuation (ไปต่อ) | Bearish (ขาลง) | แนวรับเป็นเส้นตรง แนวต้านเฉียงลง |
Rising Wedge | Reversal (กลับตัว) | Bearish (ขาลง) | กรอบราคาบีบตัวและชันขึ้นในเทรนด์ขาขึ้น |
แจกฟรี! สรุป Chart Pattern PDF ภาษาไทยฉบับสมบูรณ์
เพื่อให้คุณสามารถศึกษาและใช้งาน Chart Pattern ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เรารวบรวมรูปแบบสำคัญทั้งหมดไว้ใน “Chart Pattern Cheat Sheet PDF ภาษาไทย” ฉบับสมบูรณ์ พร้อมภาพประกอบ คำอธิบายกระชับ และเคล็ดลับการเทรดจริง
ไฟล์นี้เหมาะสำหรับ:
- นักเทรดมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นวิเคราะห์กราฟ
- เทรดเดอร์ที่ต้องการทบทวนรูปแบบอย่างมีระบบ
- ผู้ที่ต้องการพกสรุปไปวิเคราะห์ขณะเทรดจริง
ดาวน์โหลดได้ฟรีทันที เพียงคลิกที่ปุ่มด้านล่าง (อาจต้องกรอกอีเมลเพื่อรับลิงก์ดาวน์โหลด)
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Chart Pattern ไหนมีความแม่นยำที่สุด?
ไม่มีรูปแบบใดที่แม่นยำ 100% แต่รูปแบบที่ใช้เวลาในการก่อตัวนาน เช่น Head and Shoulders, Triple Top/Bottom มักมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า เพราะมีการทดสอบแนวรับ/แนวต้านหลายครั้ง และมักเกิดใน Timeframe ใหญ่ ทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น
ควรใช้ Chart Pattern ใน Timeframe ไหนดีที่สุด?
สามารถใช้ได้ทุก Timeframe แต่รูปแบบใน H4, D1 หรือ W1 มักมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า เพราะสะท้อนพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ ในขณะที่ Timeframe เล็กเช่น M15 หรือ M5 มักมีสัญญาณหลอกมากกว่า ควรเลือกตามสไตล์การเทรดของตัวเอง
Pattern Forex กลับตัวที่สำคัญและพบบ่อยมีอะไรบ้าง?
รูปแบบการกลับตัวที่พบบ่อยในตลาด Forex ได้แก่:
- Head and Shoulders / Inverse Head and Shoulders
- Double Top / Double Bottom
- Triple Top / Triple Bottom
- Rising Wedge / Falling Wedge
การสังเกตรูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้คุณจับจังหวะเปลี่ยนเทรนด์ได้เร็วขึ้น
จะหาดาวน์โหลด Chart Pattern PDF สรุปเป็นภาษาไทยได้จากที่ไหน?
คุณสามารถดาวน์โหลดไฟล์สรุป Chart Pattern PDF ภาษาไทยฉบับสมบูรณ์ได้จากบทความนี้โดยตรง โดยเลื่อนขึ้นไปที่หัวข้อ “แจกฟรี! สรุป Chart Pattern PDF ภาษาไทยฉบับสมบูรณ์” และคลิกที่ปุ่มดาวน์โหลดเพื่อรับไฟล์ได้ทันที
ความแตกต่างระหว่าง Price Pattern และ Candlestick Pattern คืออะไร?
ตามที่ Babypips อธิบายไว้:
- Candlestick Pattern: ใช้แท่งเทียน 1–3 แท่ง บ่งชี้การเปลี่ยนทิศในระยะสั้น เช่น Doji, Hammer, Engulfing
- Price Pattern / Chart Pattern: เกิดจากกลุ่มแท่งเทียนจำนวนมาก ใช้เวลานานกว่า ให้สัญญาณในภาพรวม เช่น Triangle, Head and Shoulders
เราสามารถเชื่อถือสัญญาณจาก Chart Pattern ได้ 100% หรือไม่?
ไม่ได้ 100% Chart Pattern เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่ม “ความน่าจะเป็น” ในการทำกำไร ไม่ใช่การันตีผลลัพธ์ ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มหลัก, Volume, อินดิเคเตอร์ (เช่น RSI, MACD) และที่สำคัญคือต้องมีแผนบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน
สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มศึกษาจาก Pattern ไหนก่อน?
แนะนำให้เริ่มจาก:
- Double Top & Double Bottom: รูปทรงชัดเจน จำง่าย (ตัว M และ W)
- Triangle Patterns: ช่วยฝึกการตีเส้นแนวโน้มและเข้าใจการบีบตัวของราคา
- Flag & Rectangle: เหมาะสำหรับฝึกเทรดตามแนวโน้ม
เมื่อคล่องแล้ว ค่อยเรียนรู้รูปแบบซับซ้อน เช่น Head and Shoulders หรือ Wedge