future trade คืออะไร: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักลงทุนในตลาด TFEX

Table of Contents

Futures คืออะไร: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักลงทุนในตลาด TFEX

ในโลกของการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ Futures กลายเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจและทรงพลังสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างโอกาสในการทำกำไรและบริหารจัดการความเสี่ยงไปพร้อมกัน คุณอาจเคยได้ยินคำว่า TFEX หรือตลาดอนุพันธ์มาบ้าง แต่คุณเข้าใจแก่นแท้ของเครื่องมือเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้วหรือยัง? บทความนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นคู่มือฉบับสมบูรณ์ ที่จะนำพาคุณดำดิ่งเข้าสู่โลกของ Futures และตลาด TFEX อย่างละเอียด พร้อมทั้งเจาะลึกถึงกลยุทธ์และข้อควรพิจารณาที่สำคัญ เพื่อให้คุณสามารถก้าวเข้าสู่สนามการลงทุนนี้ได้อย่างมั่นใจและชาญฉลาด

  • Futures เป็นสัญญาที่ตกลงซื้อขายสินค้าอ้างอิงในอนาคต
  • นักลงทุนสามารถใช้ Leverage เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร
  • การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการเดิมพัน Futures

เราจะเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจพื้นฐานของสัญญา Futures ว่าคืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยม และจะใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไร ก่อนที่จะพาคุณไปสำรวจตลาด TFEX ซึ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขายอนุพันธ์ของประเทศไทย ที่มีสินค้าอ้างอิงหลากหลายให้คุณเลือก และแน่นอน เราจะไม่อ้อมค้อมในการพูดถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับโอกาสอันน่าตื่นเต้นนี้

ทำความรู้จัก Futures: สัญญาแห่งอนาคตที่ชำระด้วยส่วนต่าง

แล้ว Futures คืออะไรกันแน่? พูดง่ายๆ ก็คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงที่จะซื้อหรือขายสินค้าอ้างอิง ณ ราคาที่กำหนดในปัจจุบัน แต่จะส่งมอบหรือชำระราคากันในอนาคตตามวันที่ระบุในสัญญา คุณอาจสงสัยว่าการส่งมอบสินค้าจริงเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน? ในตลาดปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนรายย่อย ส่วนใหญ่แล้ว Futures ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการส่งมอบสินค้าจริง แต่เป็นการชำระกำไรหรือขาดทุนจากส่วนต่างราคา ที่เกิดขึ้นระหว่างราคาที่ตกลงกันไว้กับราคาในตลาด ณ เวลาที่ปิดสัญญา นั่นคือแก่นแท้ของมัน

นักลงทุนในตลาด TFEX

สิ่งที่ทำให้ Futures มีเสน่ห์คือความยืดหยุ่น คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งสองทิศทางของตลาด ไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง หากคุณคาดการณ์ว่าราคาของสินค้าอ้างอิงจะเพิ่มขึ้น คุณสามารถเปิดสถานะ Long Position (ซื้อล่วงหน้า) เพื่อหวังทำกำไรจากราคาที่สูงขึ้น แต่หากคุณมองว่าราคากำลังจะปรับตัวลดลง คุณก็สามารถเปิดสถานะ Short Position (ขายล่วงหน้า) เพื่อทำกำไรจากราคาที่ต่ำลงในอนาคตได้ นี่คือข้อได้เปรียบที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากตลาดหุ้นทั่วไปที่มักจะทำกำไรได้เฉพาะเมื่อราคาปรับตัวขึ้นเท่านั้น

อีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นของ Futures คือการใช้ Leverage หรืออัตราทด คุณไม่จำเป็นต้องวางเงินลงทุนเต็มจำนวนของมูลค่าสัญญา คุณเพียงแค่วางเงินหลักประกัน (Margin) ซึ่งเป็นสัดส่วนเล็กน้อยของมูลค่าสัญญาจริงเท่านั้น สิ่งนี้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อและศักยภาพในการทำกำไรได้อย่างมหาศาล แต่ในขณะเดียวกัน ก็เพิ่มความเสี่ยงจากการขาดทุนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน หากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คุณคาดการณ์ไว้ ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่อง Leverage และการบริหารจัดการหลักประกันจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ข้อดี ข้อเสีย
ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ความเสี่ยงจาก Leverage สูง
ป้องกันความเสี่ยงได้ มีความซับซ้อนในการศึกษา
มีสภาพคล่องสูง อาจถูก Margin Call

TFEX: ศูนย์กลางการซื้อขาย Futures ที่หลากหลายโอกาส

เมื่อพูดถึง Futures ในประเทศไทย เราต้องนึกถึง TFEX หรือตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. นี่คือศูนย์กลางการซื้อขายอนุพันธ์ที่นำเสนอสินค้าอ้างอิงหลากหลายประเภท ตอบโจทย์นักลงทุนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเก็งกำไรระยะสั้น หรือการป้องกันความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ

สินค้าอ้างอิงในตลาด TFEX มีความหลากหลายอย่างน่าสนใจ ครอบคลุมตั้งแต่ดัชนีหลักทรัพย์ หุ้นรายตัว ทองคำ โลหะเงิน ยางพารา ไปจนถึงอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย ลองมาดูตัวอย่างสินค้าอ้างอิงยอดนิยมที่คุณสามารถซื้อขายได้ใน TFEX:

กลุ่มสินค้า รายละเอียด
ดัชนีหลักทรัพย์ SET50 Futures
หุ้นรายตัว Single Stock Futures
ทองคำ Gold Futures
โลหะมีค่า Silver Futures
สินค้าเกษตร Rubber Futures
อัตราแลกเปลี่ยน Currency Futures
อัตราดอกเบี้ย Interest Rate Futures

การลงทุนใน TFEX จึงมอบโอกาสที่หลากหลายให้คุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนประเภทใดก็ตาม

ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนใน Futures: โอกาสและความท้าทาย

ทุกการลงทุนย่อมมาพร้อมกับโอกาสและความเสี่ยง Futures ก็เช่นกัน การทำความเข้าใจทั้งสองด้านนี้อย่างถ่องแท้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งก่อนที่คุณจะก้าวเข้าสู่สนามการซื้อขายจริง

ข้อดีของการลงทุนใน Futures:

  • โอกาสทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง: ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว คุณสามารถทำกำไรได้ไม่ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด ไม่ว่าจะเป็น Long Position หรือ Short Position
  • การป้องกันความเสี่ยง (Hedging): สำหรับนักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นหรือมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ Futures สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ เช่น หากคุณถือหุ้นอยู่และกังวลว่าตลาดจะปรับตัวลง คุณสามารถเปิดสถานะ Short SET50 Futures เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต
  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย (Leverage): ด้วยการใช้ Leverage ทำให้คุณสามารถควบคุมมูลค่าสัญญาขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินหลักประกันเพียงเล็กน้อย ซึ่งเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรอย่างมาก
  • สภาพคล่องสูง: สินค้า Futures ยอดนิยมใน TFEX มีสภาพคล่องสูง ทำให้คุณสามารถเข้าและออกจากสถานะได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ SET50 Futures และ Gold Futures
  • โปร่งใสและอยู่ภายใต้การกำกับดูแล: ตลาด TFEX มีมาตรฐานและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในด้านความปลอดภัยและความโปร่งใสของการซื้อขาย

ข้อเสียและความเสี่ยงที่ต้องระวัง:

  • ความเสี่ยงสูงจาก Leverage: แม้ Leverage จะเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เป็นดาบสองคม หากราคาเคลื่อนไหวผิดทาง การขาดทุนของคุณก็จะทวีคูณอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ภายในเวลาอันสั้น
  • ความผันผวนของราคา: ตลาด Futures มักมีความผันผวนสูง ซึ่งอาจทำให้ราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ยากต่อการคาดการณ์และบริหารจัดการ
  • มีโอกาสถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call): หากราคาเคลื่อนไหวในทิศทางที่คุณขาดทุน และเงินหลักประกันของคุณลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด โบรกเกอร์จะเรียกให้คุณวางหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) หากคุณไม่สามารถวางได้ทันเวลา อาจถูกบังคับปิดสถานะ (Forced Sell) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในจังหวะที่คุณขาดทุนหนัก
  • ความซับซ้อนที่ต้องศึกษา: Futures เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อนกว่าการลงทุนในหุ้นทั่วไป คุณต้องทำความเข้าใจเรื่องวันหมดอายุสัญญา, การ Rollover สัญญา, ค่า Basis, และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อราคา
  • ผลกระทบจากปัจจัยภายนอก: ราคา Futures ได้รับผลกระทบอย่างมากจากข่าวสารเศรษฐกิจ การเมือง และปัจจัยมหภาคต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้ราคาผันผวนอย่างคาดไม่ถึง

คุณจะเห็นได้ว่า แม้ Futures จะมอบโอกาสอันน่าตื่นเต้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และวินัยในการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด

กลยุทธ์การเทรด Futures ขั้นพื้นฐาน: ปูทางสู่กำไร

เมื่อคุณเข้าใจลักษณะพื้นฐานของ Futures และตลาด TFEX แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำความเข้าใจกลยุทธ์การเทรดที่จะช่วยให้คุณเข้าสู่ตลาดได้อย่างมีทิศทาง เราจะเริ่มต้นจากกลยุทธ์ขั้นพื้นฐานที่นักลงทุนมือใหม่สามารถนำไปปรับใช้ได้

1. การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following):

นี่เป็นกลยุทธ์ที่นิยมและเข้าใจง่ายที่สุด คือการพยายามระบุและเทรดไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักของตลาด หากแนวโน้มเป็นขาขึ้น คุณจะเน้นการเปิดสถานะ Long Position หากแนวโน้มเป็นขาลง คุณจะเน้นการเปิดสถานะ Short Position คุณสามารถใช้เครื่องมือกราฟเทคนิคและตัวชี้วัดต่างๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), RSI (Relative Strength Index), MACD (Moving Average Convergence Divergence) หรือ Stochastic Oscillator เพื่อช่วยยืนยันแนวโน้มและหาจุดเข้าออกที่เหมาะสม การเทรดตามแนวโน้มมักจะเหมาะกับการถือสถานะที่ยาวนานกว่าการเก็งกำไรระยะสั้นมากๆ

2. การเทรดตามข่าว (News Trading):

กลยุทธ์นี้เน้นการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ การเมือง และปัจจัยสำคัญต่างๆ ที่มีผลต่อตลาดอย่างใกล้ชิด เช่น การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP, อัตราเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย), นโยบายของธนาคารกลาง, สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ หรือข่าวเฉพาะบริษัท (สำหรับ Single Stock Futures) การเทรดตามข่าวต้องอาศัยความรวดเร็วในการตัดสินใจและการวิเคราะห์ผลกระทบของข่าวที่มีต่อราคา การเทรดลักษณะนี้มีความผันผวนสูงมากในระยะสั้น และต้องระมัดระวังเรื่อง slippage

3. การเทรดแบบพักตัว (Consolidation/Range Trading):

เมื่อตลาดไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนและราคามักเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ คุณสามารถใช้กลยุทธ์การเทรดแบบพักตัว โดยการซื้อเมื่อราคาลงมาใกล้แนวรับ และขายเมื่อราคาขึ้นไปใกล้แนวต้าน กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับตลาดที่เคลื่อนไหวไร้ทิศทาง (sideways market) คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Bollinger Bands หรือแนวรับแนวต้านเพื่อช่วยในการระบุกรอบราคา

ไม่ว่าคุณจะเลือกกลยุทธ์ใด สิ่งสำคัญคือการมีวินัยในการเทรด การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ที่ชัดเจน และการบริหารจัดการเงินลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณรับได้

กลยุทธ์การเทรด Futures ขั้นสูง: เพิ่มความได้เปรียบ

เมื่อคุณมีความเข้าใจในกลยุทธ์พื้นฐานและเริ่มคุ้นเคยกับตลาด TFEX แล้ว เราสามารถก้าวไปสู่กลยุทธ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการเทรด หรือช่วยบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น

1. การเทรดแบบ Spread (Calendar Spread):

นี่คือกลยุทธ์ที่สำคัญและน่าสนใจอย่างมากในตลาด Futures การเทรดแบบ Spread หรือที่นิยมเรียกว่า Calendar Spread คือการเปิดสถานะซื้อสัญญา Futures หนึ่งตัว และเปิดสถานะขายสัญญา Futures อีกตัวหนึ่งของสินค้าอ้างอิงเดียวกัน แต่มีเดือนส่งมอบที่ต่างกัน เช่น ซื้อ SET50 Futures เดือน H (มีนาคม) และขาย SET50 Futures เดือน M (มิถุนายน) ไปพร้อมกัน

  • วัตถุประสงค์: เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคาระหว่างสัญญาเดือนใกล้และเดือนไกล ไม่ใช่จากการขึ้นลงของราคาโดยรวมของสินค้าอ้างอิงนั้นๆ
  • ข้อดี: Calendar Spread ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมลงอย่างมาก เนื่องจากความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะหักล้างกันบางส่วน และที่สำคัญคือ ใช้หลักประกันน้อยกว่าการเทรดแบบขาเดียว (Outright Position) อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้คุณสามารถเทรดด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่ต่ำลงอีก
  • ปัจจัยที่ส่งผลต่อส่วนต่างราคา: ส่วนต่างราคาของสัญญาเดือนใกล้และเดือนไกลได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น อายุสัญญาที่คงเหลือ, อัตราดอกเบี้ยในตลาด, และผลตอบแทนจากการถือครองสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น เงินปันผลสำหรับหุ้น หรือต้นทุนการเก็บรักษาทองคำ) การวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้อย่างเข้าใจลึกซึ้งจะช่วยให้คุณจับจังหวะในการเทรด Spread ได้ดียิ่งขึ้น

2. การเทรดแบบ Option (Options on Futures):

แม้จะมีความซับซ้อนสูง แต่ Options on Futures เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพใน TFEX มันคือสัญญาที่ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการซื้อหรือขายสินค้าอ้างอิงในราคาและเวลาที่กำหนด โดยไม่จำเป็นต้องซื้อหรือขายก็ได้ สิ่งนี้ทำให้ Option มีความยืดหยุ่นสูงในการสร้างกลยุทธ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันความเสี่ยง การเพิ่ม Leverage หรือการสร้างรายได้เพิ่ม

  • Call Option: ให้สิทธิในการซื้อสินค้าอ้างอิงในราคาที่กำหนด (Strike Price) หากคุณคาดว่าราคาจะขึ้น คุณสามารถซื้อ Call Option
  • Put Option: ให้สิทธิในการขายสินค้าอ้างอิงในราคาที่กำหนด (Strike Price) หากคุณคาดว่าราคาจะลง คุณสามารถซื้อ Put Option

การเทรด Option ต้องใช้ความเข้าใจเรื่องค่า Premium, Time Decay, Volatility และกลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น Straddle, Strangle ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และเวลาในการศึกษาอย่างจริงจัง

3. การเทรดแบบ Scalping:

เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการทำกำไรจากความผันผวนราคาในระยะสั้นมากๆ โดยการเปิดและปิดสถานะภายในระยะเวลาอันสั้น เพียงไม่กี่นาทีหรือไม่กี่วินาทีเท่านั้น นัก Scalper จะเข้าและออกตลาดบ่อยครั้งเพื่อสะสมกำไรเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นกำไรก้อนใหญ่ในแต่ละวัน

  • คุณสมบัติที่ต้องการ: กลยุทธ์นี้ต้องการความว่องไวในการตัดสินใจสูง, การวิเคราะห์ตลาดอย่างรวดเร็ว, การใช้เครื่องมือกราฟเทคนิคใน Timeframe ที่สั้นมากๆ (เช่น 1-5 นาที), และสภาพคล่องของสินค้าอ้างอิงที่สูง
  • ความเสี่ยง: แม้กำไรต่อครั้งจะน้อย แต่หากผิดทาง การขาดทุนก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้นการตั้งจุดตัดขาดทุนที่แม่นยำและการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจสำคัญของ Scalping

กลยุทธ์ขั้นสูงเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งการเทรดให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดและความเสี่ยงที่คุณรับได้ แต่สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถ่องแท้และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

การบริหารความเสี่ยงในตลาด Futures: หัวใจสำคัญสู่ความยั่งยืน

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมีประสบการณ์ การบริหารความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้คุณอยู่รอดและเติบโตในตลาด Futures ได้อย่างยั่งยืน การละเลยเรื่องนี้อาจนำไปสู่การขาดทุนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากลักษณะเฉพาะของ Leverage ที่ทวีคูณทั้งกำไรและขาดทุน เรามาดูกันว่าคุณควรบริหารความเสี่ยงอย่างไรบ้าง

1. กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่ชัดเจน:

นี่คือหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ก่อนที่คุณจะเปิดสถานะใดๆ คุณควรจะกำหนดจุดตัดขาดทุนเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงจุดที่คุณยอมรับการขาดทุนได้แล้ว ให้ปิดสถานะทันทีโดยไม่มีข้อแม้ การมี Stop Loss จะช่วยจำกัดการขาดทุนไม่ให้บานปลาย และป้องกันไม่ให้เงินลงทุนของคุณเสียหายเกินกว่าที่คุณจะรับไหว อย่าปล่อยให้ความหวังเข้ามาครอบงำการตัดสินใจของคุณ

2. กำหนดจุดทำกำไร (Take Profit):

ในทำนองเดียวกัน การกำหนดจุดทำกำไรไว้ล่วงหน้าก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงเป้าหมายกำไรที่คุณตั้งไว้ ให้พิจารณาปิดสถานะเพื่อรักษากำไรนั้นไว้ บางครั้งความโลภอาจทำให้คุณพลาดโอกาสทำกำไร เพราะหวังว่าจะได้กำไรเพิ่มขึ้นไปอีก การมี Take Profit ที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีวินัยในการล็อกกำไรและป้องกันไม่ให้กำไรที่มีอยู่กลายเป็นขาดทุนในภายหลัง

3. บริหารจัดการขนาดสถานะ (Position Sizing):

คุณไม่ควรทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดไปกับการเทรดเพียงครั้งเดียว ควรแบ่งเงินลงทุนออกเป็นส่วนๆ และจำกัดขนาดของสถานะที่คุณเปิดในแต่ละครั้งให้เหมาะสมกับเงินทุนที่คุณมีและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ หลักการง่ายๆ คือไม่ควรเสี่ยงเกินกว่า 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการเทรดหนึ่งครั้ง หากคุณมีเงินทุน 100,000 บาท คุณไม่ควรเสี่ยงขาดทุนเกิน 1,000-2,000 บาทต่อครั้ง

4. ทำความเข้าใจและบริหารจัดการ Margin:

เนื่องจาก Futures มีระบบ Margin (หลักประกัน) คุณต้องทำความเข้าใจเรื่อง Initial Margin (หลักประกันเริ่มต้น) และ Maintenance Margin (หลักประกันรักษาสภาพ) อย่างถ่องแท้ และคอยติดตามสถานะหลักประกันของคุณอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูก Margin Call หรือถูกบังคับปิดสถานะ หากเงินหลักประกันของคุณลดต่ำลงจนถึงระดับ Maintenance Margin คุณจะต้องเติมเงินเพิ่ม หากไม่สามารถเติมได้ โบรกเกอร์จะปิดสถานะของคุณโดยอัตโนมัติ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนและคุณกำลังขาดทุน

5. ศึกษาและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ:

ตลาด Futures มีพลวัตและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษากลยุทธ์การเทรดใหม่ๆ, การทำความเข้าใจกราฟเทคนิคและตัวชี้วัดต่างๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น, หรือการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด การมีความรู้ที่อัปเดตอยู่เสมอจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องของการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทั้งหมด แต่เป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงให้เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถเทรดได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

Futures เปรียบเทียบกับ Spot และ CFD: เลือกตลาดไหนดี?

ในโลกของการลงทุนมีเครื่องมือและตลาดที่หลากหลายที่อาจดูคล้ายกัน แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Futures, ตลาด Spot, และ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกตลาดที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุน เป้าหมาย และระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้

ประเภทตลาด ลักษณะ ข้อดี ข้อเสีย
ตลาด Spot ซื้อขายสินทรัพย์ทันที เข้าใจง่าย, สภาพคล่องสูง ใช้เงินลงทุนเต็มจำนวน
ตลาด Futures สัญญาซื้อขายในอนาคต Leverage สูง, ป้องกันความเสี่ยงได้ ความเสี่ยงสูงจาก Leverage
CFD เก็งกำไรจากราคาสินทรัพย์ Leverage สูง, ไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล

หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มต้นการเทรด Futures ใน TFEX หรือต้องการสำรวจทางเลือกอื่นๆ ที่มีความยืดหยุ่น เช่น CFD ที่สามารถเทรดสินค้าหลากหลายรวมถึงตลาดฟอเร็กซ์ได้ เราขอแนะนำให้คุณศึกษาข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างละเอียด

หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือและหลากหลายในการเทรดสัญญาซื้อขายส่วนต่างและอัตราแลกเปลี่ยน (Forex) Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ มันมาจากออสเตรเลียและนำเสนอสินค้าทางการเงินกว่า 1,000 รายการ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือนักเทรดมืออาชีพก็สามารถค้นหาสิ่งที่เหมาะสมได้

การเลือกตลาดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนของคุณ หากคุณต้องการความโปร่งใสภายใต้การกำกับดูแลของประเทศและสินค้าอ้างอิงที่ชัดเจน TFEX คือทางเลือกที่ดี แต่หากคุณต้องการ Leverage ที่สูงกว่า, ความหลากหลายของสินค้าที่มากกว่า และความยืดหยุ่นในการถือสถานะโดยไม่มีวันหมดอายุ CFD อาจตอบโจทย์ได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ทุกทางเลือกล้วนมีความเสี่ยง คุณจึงต้องศึกษาและทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน

ทำความเข้าใจ “ราคา Futures” และปัจจัยกำหนด

การทำความเข้าใจว่าราคา Futures ถูกกำหนดขึ้นมาอย่างไร เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ตลาดได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ราคา Futures ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของตัวสัญญาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความสัมพันธ์กับราคาของสินค้าอ้างอิง (Spot Price) และปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย แนวคิดหลักที่เราต้องทำความเข้าใจคือ “Basis” ซึ่งคือส่วนต่างระหว่างราคา Futures กับราคา Spot ของสินค้าอ้างอิง

Basis = ราคา Futures – ราคา Spot

โดยปกติแล้ว ในตลาดขาขึ้น (Contango) ราคา Futures มักจะสูงกว่าราคา Spot (Basis เป็นบวก) และในตลาดขาลง (Backwardation) ราคา Futures อาจจะต่ำกว่าราคา Spot (Basis เป็นลบ) ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลต่อ Basis และราคา Futures มีดังนี้:

  • อายุสัญญาที่คงเหลือ (Time to Expiration): สัญญา Futures ที่มีวันหมดอายุไกลออกไป มักจะมีราคาที่สูงกว่าสัญญาที่กำลังจะหมดอายุ (โดยเฉพาะในตลาด Contango) เนื่องจากมีปัจจัยเวลาและต้นทุนการถือครองที่มากกว่า
  • อัตราดอกเบี้ยในตลาด (Interest Rates): การถือสัญญา Futures เปรียบเสมือนการลงทุนที่ใช้เงินในวันนี้ไปซื้อของที่จะได้รับในอนาคต ดังนั้นต้นทุนของเงินทุน (อัตราดอกเบี้ย) จึงเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนอยู่ในราคา Futures ยิ่งอัตราดอกเบี้ยสูง ราคา Futures ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับราคา Spot
  • ต้นทุนการเก็บรักษา (Storage Costs): สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน ยางพารา หากการถือครองสินทรัพย์จริงมีต้นทุนการเก็บรักษา (ค่าโกดัง, ค่าประกัน) ต้นทุนเหล่านี้ก็จะถูกสะท้อนเข้าไปในราคา Futures ทำให้ราคา Futures สูงกว่าราคา Spot
  • ผลตอบแทนจากการถือครองสินทรัพย์ (Carry Yield): ในทางกลับกัน หากการถือครองสินทรัพย์อ้างอิงให้ผลตอบแทน เช่น หุ้นที่มีเงินปันผล (Dividends) หรือสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยรับ (สำหรับ Currency Futures) ผลตอบแทนเหล่านี้จะหักลบออกจากต้นทุนการถือครอง ทำให้ราคา Futures มีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าราคา Spot หรือมีส่วนต่างที่แคบลง
  • อุปสงค์และอุปทานของตัวสัญญา (Supply and Demand for the Contract): เช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ อุปสงค์และอุปทานของตัวสัญญา Futures เองก็มีผลต่อราคา ยิ่งมีความต้องการเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลให้ราคาผันผวนมากขึ้น

การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ “ค่า Premium” หรือ “ค่า Discount” ของสัญญา Futures ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์จะใช้ในการตัดสินใจเลือกเดือนสัญญาและวางกลยุทธ์การเทรด

เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับ Futures: อ่านใจตลาด

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเทรด Futures เนื่องจากตลาดนี้มีความผันผวนสูงและต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว การใช้เครื่องมือกราฟเทคนิคจะช่วยให้คุณอ่านใจตลาด ทำความเข้าใจแนวโน้ม และหาจังหวะเข้าออกที่เหมาะสมได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น แม้ว่าเราได้กล่าวถึงบางตัวไปแล้วในกลยุทธ์เบื้องต้น แต่เราจะมาเจาะลึกเพิ่มเติมถึงเครื่องมือยอดนิยมและวิธีใช้งาน

เครื่องมือวิเคราะห์ รายละเอียด
แท่งเทียน สะท้อนอารมณ์ของผู้ซื้อและผู้ขาย
แนวรับและแนวต้าน ระดับที่มีการซื้อหรือขายมาก
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ใช้บอกแนวโน้มของราคา
RSI บ่งบอกภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
MACD วัดความสัมพันธ์ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ย
Stochastic Oscillator ใช้วัดตำแหน่งของราคาปิดสัมพันธ์กับช่วงราคา
ปริมาณการซื้อขาย วิเคราะห์ควบคู่ไปกับราคา

แพลตฟอร์มการซื้อขายสมัยใหม่ เช่น MT4 (MetaTrader 4) และ MT5 (MetaTrader 5) มีเครื่องมือเหล่านี้ให้คุณใช้งานอย่างครบครัน และบางแพลตฟอร์ม เช่น Moneta Markets ยังรองรับ Pro Trader ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของตนเอง ทำให้คุณมีตัวเลือกที่ยืดหยุ่นและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ของคุณ

การใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกฝนและความเข้าใจในหลักการทำงานของแต่ละตัว และที่สำคัญคือการนำมาใช้ร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเทรดที่ประสบความสำเร็จ

บทสรุป: ก้าวสู่เส้นทางนักลงทุน Futures อย่างชาญฉลาด

เราได้เดินทางผ่านโลกที่ซับซ้อนและน่าตื่นเต้นของ Futures และตลาด TFEX ด้วยกัน คุณได้เรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐานของสัญญา Futures ว่าเป็นการชำระกำไรหรือขาดทุนจากส่วนต่างราคา ไปจนถึงความหลากหลายของสินค้าอ้างอิงใน TFEX ไม่ว่าจะเป็น SET50 Futures, Gold Futures, หรือ Currency Futures เราได้สำรวจทั้งข้อดีที่โดดเด่น เช่น ศักยภาพในการทำกำไรจาก Leverage และการป้องกันความเสี่ยง และข้อควรระวังสำคัญอย่างความเสี่ยงจาก Margin Call และความผันผวนของราคา

นอกจากนี้ คุณยังได้รู้จักกับกลยุทธ์การเทรดทั้งขั้นพื้นฐานและขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นการเทรดตามแนวโน้ม, การเทรดตามข่าว, การเทรดแบบ Calendar Spread ที่ช่วยลดความเสี่ยงและใช้หลักประกันน้อยลง หรือแม้แต่การเทรดแบบ Scalping ที่ต้องการความว่องไวสูง และสิ่งที่เราเน้นย้ำอยู่เสมอคือ การบริหารความเสี่ยง ด้วยการกำหนดจุด Stop Loss, การบริหารจัดการขนาดสถานะ, และการทำความเข้าใจเรื่องหลักประกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้คุณอยู่รอดในตลาดนี้

คุณยังได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง Futures, ตลาด Spot, และ CFD ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นและเข้าถึงตลาดระดับโลก แม้ว่า CFD จะไม่มีวันหมดอายุสัญญาและมีต้นทุนต่ำ แต่ก็มาพร้อมกับ Leverage ที่สูงมาก และการที่ไม่มีหน่วยงานกลางกำกับดูแลโดยตรง จึงต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ

โดยสรุปแล้ว Futures เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีศักยภาพสูงในการสร้างผลตอบแทนและจัดการความเสี่ยง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการปูพื้นฐานความรู้ให้คุณ และช่วยให้คุณมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เส้นทางสู่การเป็นนักลงทุน Futures ที่ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นเรื่องของวินัย, กลยุทธ์ที่รัดกุม, เทคนิคที่ถูกต้อง, และที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ขอให้คุณใช้ความรู้ที่ได้รับในวันนี้เป็นเข็มทิศนำทาง และก้าวสู่เส้นทางนักลงทุน Futures อย่างชาญฉลาดและมั่นคง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับfuture trade คือ

Q:การเทรด Futures คืออะไร?

A:การเทรด Futures เป็นการทำสัญญาซื้อขายสินค้าอ้างอิงที่ราคาจะถูกชำระในอนาคต โดยนักลงทุนสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาได้

Q:มีความเสี่ยงอะไรบ้างในการเทรด Futures?

A:ความเสี่ยงที่สำคัญได้แก่ความเสี่ยงจาก Leverage, ความผันผวนของราคา, และการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call)

Q:สามารถใช้กลยุทธ์ไหนในการเทรด Futures?

A:กลยุทธ์ที่นิยมใช้ได้แก่การเทรดตามแนวโน้ม, การเทรดตามข่าว, และการเทรดแบบ Scalping ซึ่งช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในตลาดนี้

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *