บอนด์ยีลด์ 10 ปี: ทำไมเราต้องจับตาในปี 2025

ช่วงเวลาที่ผ่านมา ตลาดพันธบัตรทั่วโลก โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ทั้งของสหรัฐอเมริกาและจีน ได้แสดงการเคลื่อนไหวที่น่าจับตาอย่างยิ่ง

การเปลี่ยนแปลงของบอนด์ยีลด์ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติเท่านั้น แต่ยังเป็นดัชนีชี้วัดที่ทรงพลัง ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนมุมมองต่อเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน แต่ยังส่งอิทธิพลสำคัญต่อตลาดการเงินและนโยบายภาครัฐในวงกว้าง

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกปัจจัยเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี ทั้งในสหรัฐฯ และจีน พร้อมทำความเข้าใจผลกระทบที่ตามมา เพื่อให้คุณในฐานะนักลงทุน สามารถรับมือและวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงของบอนด์ยีลด์ส่งผลต่อ:

  • อัตราดอกเบี้ยในระบบเศรษฐกิจ
  • ค่าของสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล
  • การตัดสินใจลงทุนของผู้คน

การเปลี่ยนแปลงของบอนด์ยีลด์ในตลาดโลก

ก่อนที่เราจะดำดิ่งสู่การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวล่าสุด สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่า “บอนด์ยีลด์ 10 ปี” คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในโลกการเงิน

พันธบัตร (Bond) คือตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่คุณ (ในฐานะผู้ลงทุน) ให้รัฐบาลหรือองค์กรกู้ยืมเงิน โดยจะได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยตามงวดที่กำหนด และได้รับเงินต้นคืนเมื่อพันธบัตรครบกำหนดไถ่ถอน

บอนด์ยีลด์ (Bond Yield) หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร ไม่ใช่เพียงแค่อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว แต่เป็นผลตอบแทนที่คุณจะได้รับต่อปี เมื่อเทียบกับราคาตลาดปัจจุบันของพันธบัตรนั้นๆ กล่าวง่ายๆ คือ หากราคาพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น ยีลด์จะลดลง ในทางกลับกัน หากราคาพันธบัตรลดลง ยีลด์จะเพิ่มขึ้น

พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี มักถูกใช้เป็น เกณฑ์อ้างอิง (Benchmark) ที่สำคัญสำหรับอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านระยะยาว, อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับธุรกิจ หรือแม้แต่อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ลงทุนอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงใกล้เคียงกัน

การเคลื่อนไหวของยีลด์ 10 ปี จึงสะท้อนถึงมุมมองโดยรวมของตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 10 ปีข้างหน้า ทั้งในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลาง

ประเภทพันธบัตร อายุ รางวัลยีลด์
รัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี 4.5%
รัฐบาลจีน 10 ปี 1.9995%

เมื่อคุณเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้น นั่นอาจบ่งชี้ถึงความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้น หรือเงินเฟ้ออาจจะสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง หรืออาจจะปรับขึ้นในอนาคต

ในทางตรงกันข้าม หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี ปรับตัวลดลง อาจสะท้อนความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอาจต้องใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดังนั้น การจับตาดูความเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี ก็เปรียบเสมือนการอ่านสัญญาณจากตลาดการเงินขนาดใหญ่ ที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญอยู่

การวิเคราะห์บอนด์ยีลด์ 10 ปีในสหรัฐอเมริกา

ในช่วงที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์ 10 ปี ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้สร้างความตกตะลึงให้กับหลายฝ่าย ด้วยการปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง

มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า อัตราผลตอบแทนเคยพุ่งสูงถึง 4.5% หรืออาจจะแตะ 4.486% ในบางช่วงเวลา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่รวดเร็วอย่างมากในระยะเวลาสั้นๆ โดยบางรายงานระบุว่าเพิ่มขึ้นกว่า 50 เบซิสพอยท์ (หรือ 0.50%) ภายในสัปดาห์เดียว

การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) ที่สำคัญที่สุดของโลก

เหตุการณ์สำคัญ รายละเอียด วันที่
การพุ่งขึ้นของบอนด์ยีลด์ การปรับตัวพุ่งขึ้นจนถึง 4.5% วันที่ 2 ธันวาคม

การที่ยีลด์ของสินทรัพย์ปลอดภัยพุ่งขึ้นในอัตราเร่งเช่นนี้ สร้างความกังวลอย่างมาก ไม่เพียงแต่ในตลาดการเงินวอลล์สตรีท แต่ยังรวมถึงในทำเนียบขาวด้วย

บางรายงานถึงกับเปรียบเทียบว่า การพุ่งขึ้นของยีลด์ในครั้งนี้ เป็นการเคลื่อนไหวที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายน (9/11) ซึ่งสะท้อนระดับความเครียดและความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน

คุณอาจสงสัยว่า อะไรคือเบื้องหลังของการพุ่งขึ้นที่น่าตกใจนี้? มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเราจะเจาะลึกในหัวข้อถัดไป

ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจผ่านบอนด์ยีลด์

การพุ่งขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวนี้มาจากหลายทิศทาง ทั้งในด้านนโยบายการเงิน ข้อมูลเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยทางการเมืองและการค้า

หนึ่งในปัจจัยพื้นฐานคือ การคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แม้ข้อมูลที่ให้มาจะไม่ได้ระบุถึงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อโดยตรงในบริบทของยีลด์พุ่ง แต่โดยทั่วไปแล้ว เมื่อตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง หรืออาจจะต้องพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หรือเนื่องจากเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งกว่าที่คาด สิ่งนี้จะไปเพิ่มความน่าสนใจของการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว ทำให้ยีลด์ของพันธบัตรระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น

ปัจจัยที่มีผลต่อบอนด์ยีลด์ รายละเอียด
นโยบายการเงินของเฟด การคาดการณ์เรื่องการคงอัตราดอกเบี้ย
ปัจจัยการเมือง ผลกระทบจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม กรณีล่าสุดดูเหมือนจะมีปัจจัยอื่นที่เข้ามาเสริมแรงอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ ปัจจัยทางการเมืองและการค้า รายงานระบุชัดเจนว่า การพุ่งขึ้นของยีลด์สหรัฐฯ มีความเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวทางการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์


เมื่อมีสัญญาณหรือความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้า หรือสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น สิ่งนี้สร้างความไม่แน่นอนและอาจทำให้นักลงทุนทั่วโลกเกิดความกังวลต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

ความกังวลเหล่านี้กระตุ้นให้ผู้ลงทุนบางส่วน ซึ่งโดยปกติจะถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เริ่ม เทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตร หรือแม้แต่เงินดอลลาร์เอง

การเทขายพันธบัตรจำนวนมากในตลาด ทำให้ราคาพันธบัตรลดลง และส่งผลให้อัตราผลตอบแทน หรือยีลด์ พุ่งสูงขึ้นตามกลไกตลาด

นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ตลาดพันธบัตรในตอนนี้กำลังทำหน้าที่เป็น “ตัวส่งสัญญาณ” ที่กดดันให้ทำเนียบขาวต้องพิจารณาถึงผลกระทบจากนโยบายทางการค้าที่อาจสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงิน นี่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่สำคัญของตลาดการเงินต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของภาครัฐ

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายเหล่านี้ ยังลดทอน “ความเชื่อมั่น” ในสถานะของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้นักลงทุนอาจเริ่มมองหาทางเลือกอื่นในการพักเงินในช่วงเวลาที่ผันผวน

พันธบัตรรัฐบาลจีนที่ลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ในขณะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากังวล สถานการณ์ในประเทศจีนกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม แสดงให้เห็นว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี ของรัฐบาลจีนได้ร่วงลงทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลุดระดับ 2% ไปอยู่ที่ 1.9995%

การร่วงลงนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ฉาบฉวย แต่เป็นแนวโน้มขาลงที่ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ห้าแล้ว

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ยีลด์ของพันธบัตรจีนดิ่งลงเช่นนี้?

สาเหตุหลักมาจาก ความคาดหวังอย่างแรงกล้าว่ารัฐบาลจีนและธนาคารกลางจีน (PBOC) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม เพื่อพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังเผชิญกับความท้าทาย

เหตุการณ์ ผลกระทบ
การลดอัตราดอกเบี้ย กระตุ้นการลงทุน
การผ่อนคลายทางการเงิน ส่งเสริมเศรษฐกิจ

แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนจะแสดงสัญญาณที่ดีขึ้น ซึ่งอาจบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญแรงกดดัน เช่น ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ หรืออุปสงค์ภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่า PBOC จะยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป โดยอาจมีการ ลดอัตราส่วนกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบ หรือแม้กระทั่งการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยตรง

เมื่อนักลงทุนคาดว่าอัตราดอกเบี้ยในระบบจะปรับตัวลดลงในอนาคต และมีความต้องการถือครองสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่แน่นอนในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน พวกเขาก็จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลจีนมากขึ้น

การที่ความต้องการซื้อพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้นนี้เอง ที่ไปผลักดันราคาพันธบัตรให้สูงขึ้น และส่งผลให้บอนด์ยีลด์ หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร ปรับตัวลดลง สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

การร่วงลงของบอนด์ยีลด์จีนจึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ตลาดกำลังคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าภาครัฐจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้

การลงทุนที่สะท้อนผ่านบอนด์ยีลด์

การที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี จีนร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวทางเทคนิคของราคา แต่สะท้อนถึงพลวัตเชิงโครงสร้างและความคาดหวังของตลาดที่มีต่อเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน

อย่างที่เรากล่าวไปแล้ว ข้อมูลเศรษฐกิจจีนบางตัว เช่น ดัชนี PMI อาจแสดงสัญญาณการฟื้นตัวในระดับจุลภาค แต่ในภาพใหญ่ เศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับความท้าทายจากหลายด้าน ทั้งอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ การลงทุนที่ชะลอตัว และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง

ความท้าทายเหล่านี้ทำให้ตลาดเชื่อว่า รัฐบาลจีนจะไม่สามารถพึ่งพาการฟื้นตัวตามธรรมชาติได้เพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ PBOC ใช้คือการจัดการสภาพคล่องในระบบการเงิน และการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การลดอัตราส่วน RRR หรือการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านเครื่องมืออื่นๆ เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าธนาคารกลางพร้อมที่จะทำให้ต้นทุนทางการเงินในระบบลดลง เพื่อสนับสนุนการกู้ยืมและการลงทุน

การที่ PBOC มีการอัดฉีดสภาพคล่องและเข้าซื้อสุทธิพันธบัตรรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา เป็นการยืนยันแนวโน้มนี้ และยิ่งตอกย้ำความคาดหวังของนักลงทุนว่านโยบายการเงินจะยังคงเป็นไปในทิศทางผ่อนคลาย

ในมุมมองของนักลงทุน การที่ยีลด์พันธบัตรระยะยาวลดลง หมายถึงการที่นักลงทุนยอมรับผลตอบแทนที่ต่ำลง เพื่อแลกกับความมั่นคงของพันธบัตรในสภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน และเป็นการเดิมพันว่านโยบายผ่อนคลายจะยังคงดำเนินต่อไป หรืออาจเข้มข้นขึ้น

นักวิเคราะห์อย่าง Tommy Xie จาก OCBC และ Kiyong Seong จาก Societe Generale ต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า การร่วงลงของยีลด์จีนเป็นผลมาจากการคาดการณ์มาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติม และสะท้อนถึงความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้ ในสภาพแวดล้อมที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน

นอกจากนี้ การที่นักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ อาจเห็นว่าการให้สินเชื่อภาคเอกชนยังมีความเสี่ยงสูง ก็อาจจะหันไปเพิ่มการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า ส่งผลให้ความต้องการพันธบัตรเพิ่มขึ้น และกดดันให้ยีลด์ลดต่ำลงไปอีก

การเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินจากผลกระทบของบอนด์ยีลด์

ดังนั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี จีนที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญยิ่งยวด ที่บอกเราว่า ตลาดกำลังส่งเสียงดังถึงความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดการณ์ว่ามาตรการผ่อนคลายทางการเงินจะมีตามมาอีกอย่างแน่นอน

การเปลี่ยนแปลงของบอนด์ยีลด์ โดยเฉพาะยีลด์ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่ในตลาดตราสารหนี้เท่านั้น แต่มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินอื่นๆ ด้วย

สำหรับสหรัฐฯ การที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี พุ่งสูงขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ ต้นทุนการกู้ยืม ทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ

บอนด์ยีลด์ 10 ปี มักเป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านระยะยาว หากยีลด์พุ่งสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านก็จะแพงขึ้น ทำให้การซื้อบ้านมีต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และกำลังซื้อของผู้บริโภค

ผลกระทบจากบอนด์ยีลด์ ด้านที่ส่งผลกระทบ
ต้นทุนการกู้ยืม การซื้อบ้าน
ธุรกิจลงทุน การขยายตัวทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ ทำให้ต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจสูงขึ้น ซึ่งอาจชะลอการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ในส่วนของตลาดการเงินอื่นๆ การที่ยีลด์พันธบัตรปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจทำให้สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่อย่างพันธบัตรดูน่าสนใจขึ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นเพื่อโยกเงินกลับเข้าสู่ตลาดพันธบัตร ในทางกลับกัน หากยีลด์ต่ำลง หุ้นอาจดูน่าสนใจขึ้นเพราะผลตอบแทนจากพันธบัตรต่ำ

ยีลด์พันธบัตรสหรัฐฯ ยังมีอิทธิพลต่อ ค่าเงินดอลลาร์ โดยปกติแล้ว เมื่อยีลด์สหรัฐฯ สูงขึ้น จะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ยีลด์พุ่งขึ้นจากความกังวลเชิงลบ เช่น สงครามการค้าหรือความไม่แน่นอนทางนโยบาย อาจเกิดภาวะที่ยีลด์สูงขึ้น แต่เงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลง เพราะนักลงทุนเทขายทั้งพันธบัตรและดอลลาร์พร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อน

สำหรับจีน การที่บอนด์ยีลด์ร่วงลง หมายถึงต้นทุนการกู้ยืมสำหรับรัฐบาลและภาคเอกชนลดลง ซึ่งเป็นผลดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรจีน ยังอาจส่งผลต่อค่าเงินหยวน และเป็นสัญญาณให้นักลงทุนทั่วโลกมองหาโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์จีนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในอนาคต หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจประสบความสำเร็จ

การเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันของยีลด์ในสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจนี้ จึงสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นทิศทางของเงินทุนไหลเข้าออกประเทศต่างๆ ความน่าสนใจของสินทรัพย์ลงทุนประเภทต่างๆ และแม้กระทั่งการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายในประเทศอื่นๆ ด้วย

ความเชื่อมโยงเหล่านี้ทำให้การทำความเข้าใจพลวัตของบอนด์ยีลด์เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่อยู่ในตลาดการเงิน

บอนด์ยีลด์ ไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของนโยบายและสภาพเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในบางครั้ง มันกลับกลายเป็น “แรงกดดัน” ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของภาครัฐและธนาคารกลางด้วย

กรณีของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน การที่ยีลด์สูงขึ้น หมายถึงต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ สูงขึ้นตามไปด้วย เมื่อรัฐบาลต้องออกพันธบัตรใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมหรือระดมทุนสำหรับงบประมาณแผ่นดิน ก็จะต้องจ่ายผลตอบแทน (ดอกเบี้ย) ที่สูงขึ้น ทำให้ภาระหนี้ของประเทศเพิ่มสูงขึ้น

สัญญาณที่ส่งผลต่อภาครัฐ ผลกระทบ
การพุ่งขึ้นของยีลด์ ภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น
ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น ความกังวลในงบประมาณแผ่นดิน

ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้เองที่สร้างความกังวลในทำเนียบขาว เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการบริหารจัดการการคลังของรัฐบาลในระยะยาว

นอกจากนี้ ดังที่นักวิเคราะห์บางส่วนชี้ให้เห็น การที่ตลาดพันธบัตรแสดงปฏิกิริยาเชิงลบ (ยีลด์พุ่ง) ต่อสัญญาณบางอย่างจากนโยบายภาครัฐ (เช่น นโยบายการค้าของทรัมป์) เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าตลาดไม่เห็นด้วย หรือมีความกังวลต่อทิศทางดังกล่าว

แรงกดดันจากตลาดนี้ อาจบีบให้ทำเนียบขาวต้องพิจารณาถึงผลกระทบของนโยบายเหล่านั้นอย่างจริงจัง และอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายในที่สุด แสดงให้เห็นว่าตลาดการเงินมีบทบาทสำคัญในการ “ตรวจสอบ” และ “ส่งสัญญาณ” ไปยังผู้มีอำนาจตัดสินใจ

ในอีกด้านหนึ่ง การที่ยีลด์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจสร้างความผันผวนในตลาดการเงินโดยรวม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินได้ หากความผันผวนรุนแรงเกินไป อาจเกิดความกังวลว่าตลาดตราสารหนี้อาจประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง หรือเกิดการเทขายสินทรัพย์อื่นๆ ตามมา

ผู้บริหารระดับสูงอย่าง Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan Chase เคยแสดงความเห็นในทำนองว่า หากบอนด์ยีลด์พุ่งขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง และสร้างความปั่นป่วนในตลาดมากเกินไป เฟดหรือธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะต้องพิจารณาเข้าแทรกแซงตลาดพันธบัตรอีกครั้ง

การแทรกแซงนี้ อาจมาในรูปแบบของการกลับมาใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อเพิ่มความต้องการในตลาด และกดดันให้ยีลด์ปรับตัวลดลง

ดังนั้น บอนด์ยีลด์ที่พุ่งขึ้น จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขที่น่าตกใจ แต่ยังเป็น “เสียงเตือน” จากตลาดที่ส่งตรงถึงธนาคารกลางและภาครัฐ ให้ตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และอาจนำไปสู่การพิจารณาใช้นโยบายเพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดต่อไป

การเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ที่รุนแรงและสร้างความปั่นป่วนนี้ นำไปสู่การพูดถึงแนวคิดสำคัญสองประการที่คุณควรทำความเข้าใจในฐานะนักลงทุน นั่นคือ “Bond Shock” และสถานการณ์ “สองสูง”

Bond Shock คือ สถานการณ์ที่ตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตร กลายเป็นแหล่งที่มาหลักของความผันผวนและความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน แทนที่จะเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและปลอดภัย

ในภาวะปกติ ตลาดหุ้นมักจะเป็นแหล่งความผันผวนหลัก ในขณะที่พันธบัตรจะทำหน้าที่เป็น “กันชน” ที่ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน

เส้นโค้งของบอนด์ยีลด์ที่บอกเล่าเรื่องราวเศรษฐกิจ

แต่เมื่อตลาดพันธบัตรเองเกิดการเคลื่อนไหวที่รุนแรงและคาดเดาได้ยาก เช่น ยีลด์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจากปัจจัยเชิงลบ ก็อาจสร้างความตื่นตระหนกและส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังตลาดสินทรัพย์อื่นๆ ได้ สถานการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อมีปัจจัยใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงมุมมองพื้นฐานต่อพันธบัตรอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

อีกแนวคิดที่เกี่ยวข้องคือ สถานการณ์ “สองสูง” (Two Highs) ซึ่งหมายถึงภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว (ยีลด์) และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ต่างก็ปรับตัวสูงขึ้นพร้อมๆ กัน

โดยทั่วไป ยีลด์ที่สูงขึ้นมักจะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอยู่แล้ว เพราะสะท้อนว่าการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดกว่า

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ “สองสูง” มักถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงสำหรับตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะสำหรับประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)

สภาวะสองสูง ผลกระทบ
อัตราผลตอบแทนสูง ภาระหนี้สูงขึ้น
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ต้นทุนการชำระหนี้สูงขึ้น

เมื่อยีลด์สหรัฐฯ สูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมในสกุลเงินดอลลาร์สำหรับบริษัทและรัฐบาลนอกสหรัฐฯ ก็จะสูงขึ้น ทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ก็ทำให้หนี้สกุลเงินดอลลาร์ของประเทศเหล่านี้มีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อแปลงกลับมาเป็นสกุลเงินท้องถิ่น เกิดเป็นภาระ “สองเท่า” (Double Whammy) ที่ทำให้ประเทศเหล่านี้เผชิญความยากลำบากในการชำระหนี้และการระดมทุน

นอกจากนี้ สถานการณ์สองสูงยังทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกลดลง เนื่องจากเงินทุนมีแนวโน้มไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ที่ให้ผลตอบแทนสูง

การทำความเข้าใจแนวคิด Bond Shock และสถานการณ์สองสูง จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของความเสี่ยงและความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในตลาดการเงินโลก และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้

สถานการณ์บอนด์ยีลด์ที่น่าจับตานี้ ทำให้นักวิเคราะห์และผู้บริหารระดับสูงในแวดวงการเงินออกมาแสดงความคิดเห็นและมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น และยังสะท้อนถึงความกังวลที่มีต่อเสถียรภาพในวงกว้าง

ข้อมูลที่เรามีระบุถึงความเห็นของบุคคลสำคัญหลายท่าน ซึ่งตอกย้ำถึงประเด็นที่เรากล่าวมาข้างต้น

Jamie Dimon, ซีอีโอของ JPMorgan Chase, เคยกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่เฟดอาจต้องพิจารณาเข้าแทรกแซงตลาดพันธบัตร หากความผันผวนรุนแรงขึ้น คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความปั่นป่วนในตลาดตราสารหนี้เป็นเรื่องที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่มองว่าเป็นความเสี่ยงที่แท้จริง และอาจจำเป็นต้องอาศัยการตอบสนองจากธนาคารกลางเพื่อรักษาเสถียรภาพ

ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ ประเด็นที่มองเห็น
Jamie Dimon การแทรกแซงตลาดจำเป็น
Tommy Xie มาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมดูเหมือนจะตอบสนอง

มุมมองจากนักวิเคราะห์อย่าง Tommy Xie จาก OCBC หรือ Kiyong Seong จาก Societe Generale ที่มองว่าการร่วงลงของยีลด์จีนเกิดจากความคาดหวังการผ่อนคลายของ PBOC ก็เป็นข้อบ่งชี้ว่า ตลาดกำลังพยายาม “บังคับ” ให้ธนาคารกลางดำเนินการบางอย่าง เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ

ในฝั่งสหรัฐฯ นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า การพุ่งขึ้นของยีลด์พันธบัตรกำลังสร้างแรงกดดันต่อทำเนียบขาว ให้ต้องพิจารณาถึงผลกระทบของนโยบายการค้าที่อาจนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ตลาดการเงินมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร

บุคคลอื่นๆ เช่น Scott Bessent จาก Key Square Capital Management หรือ Ray Dalio จาก Bridgewater Associates ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ “สองสูง” หรือความเสี่ยงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาดพันธบัตร ก็ยิ่งตอกย้ำว่า นี่ไม่ใช่เพียงประเด็นทางเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นปัจจัยมหภาคที่มีนัยสำคัญต่อภูมิทัศน์การลงทุนทั่วโลก

การที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ออกมาแสดงความเห็นอย่างเปิดเผย เป็นการเพิ่ม ความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness) และ อำนาจในหัวข้อ (Authority) ให้กับข้อมูลเหล่านี้ และบ่งชี้ว่าประเด็นเรื่องบอนด์ยีลด์กำลังเป็นจุดสนใจหลักของนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบาย

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ช่วยยืนยันว่า ตลาดพันธบัตรในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงตลาดที่ “น่าเบื่อ” อีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นศูนย์กลางของความเคลื่อนไหวและแรงกดดันที่กำหนดทิศทางของตลาดการเงินและนโยบายเศรษฐกิจในอนาคต

แม้ว่าการพูดถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี อาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับนักลงทุนรายย่อย แต่จริงๆ แล้ว การเปลี่ยนแปลงของมันส่งผลกระทบถึง “ต้นทุนชีวิต” ของคุณในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะหากคุณอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่ใช้ยีลด์เหล่านี้เป็นเกณฑ์อ้างอิง เช่น ในสหรัฐฯ

ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือ ต้นทุนการกู้ยืม อย่างที่เรากล่าวไปแล้ว บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำคัญสำหรับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านระยะยาว

หากคุณกำลังวางแผนที่จะซื้อบ้านและต้องการขอสินเชื่อบ้านระยะ 10 ปี หรือ 30 ปี การที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนของคุณเพิ่มขึ้น และทำให้การมีบ้านเป็นภาระทางการเงินที่หนักอึ้งกว่าเดิม

การกู้ยืมเงินและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

นอกจากสินเชื่อบ้านแล้ว ต้นทุนการกู้ยืมสำหรับธุรกิจก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อบริษัทต่างๆ ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในการออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนสำหรับขยายกิจการ หรือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ต้นทุนที่สูงขึ้นนี้อาจส่งผลให้บริษัทชะลอการลงทุน ลดค่าใช้จ่าย หรือแม้กระทั่งส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคในรูปของราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้น

ในภาพรวม การที่ต้นทุนการกู้ยืมในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้น อาจทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนชะลอตัวลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ และอาจนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต

สำหรับนักลงทุน การที่ยีลด์พันธบัตรระยะยาวสูงขึ้น อาจทำให้การลงทุนในพันธบัตรดูน่าสนใจขึ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น หากคุณมีพอร์ตการลงทุนที่กระจายตัวในสินทรัพย์หลายประเภท การเปลี่ยนแปลงของยีลด์ก็อาจส่งผลต่อความน่าดึงดูดของสินทรัพย์แต่ละประเภทในพอร์ตของคุณ

นอกจากนี้ การที่ยีลด์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังอาจบ่งบอกถึงความไม่แน่นอนในตลาด ซึ่งอาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ ตามมา ซึ่งคุณในฐานะนักลงทุนจะต้องเตรียมพร้อมรับมือ

การทำความเข้าใจว่าการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์มีความเชื่อมโยงกับต้นทุนทางการเงินในชีวิตประจำวันและโอกาสในการลงทุนของคุณอย่างไร จะช่วยให้คุณตัดสินใจทางการเงินได้อย่างรอบคอบมากขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบอนด์ยีลด์ 10 ปี

Q:บอนด์ยีลด์ 10 ปี คืออะไร?

A:บอนด์ยีลด์ 10 ปี คืออัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากการถือพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุ 10 ปี

Q:ทำไมบอนด์ยีลด์ถึงสำคัญกับเศรษฐกิจ?

A:บอนด์ยีลด์ใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับการตั้งราคาเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจ

Q:เหตุใดบอนด์ยีลด์ 10 ปีในสหรัฐฯ ถึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น?

A:การเพิ่มสูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ สะท้อนถึงความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะเติบโตหรือมีเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *